พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 509 รอบคอบ
ท่านชายเฉิงสี่โยนม้วนหนังสือในมือลงแล้วยืนขึ้น เขาเดินวน
ไปมาด้วยความหงุดหงิด
“ท่านชาย ใกล้จะสอบแล้ว อย่าได้เป็นกังวลไป” เด็กรับใช้เอ่ย
อย่างเป็นกังวล
“ข้าไม่ได้กังวล ข้าโมโหต่างหาก” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
“ท่านชาย แม่นางใหญ่บอกให้ท่านตั้งใจอ่านหนังสือมิใช่หรือ
นางไม่ได้เป็นอะไร” เด็กรับใช้เอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่หยุดฝีเท้าลง
“หากนางเป็นอะไรไปแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า” เขาเอ่ยเสียง
หงุดหงิด “แม้ทุกข์ใจเพียงใดก็คงบอกกับใครไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ จะไม่
ให้นางทุกข์ใจได้อย่างไร!”
“แล้วจะทำเช่นไรเล่าขอรับ” เด็กรับใช้เอ่ยเสียงสั่น
นั่นสินะ แล้วจะทำเช่นไรดีเล่าท่านชายเฉิงสี่เดินวนไปมาอีกครั้ง
“ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเป็นพยานให้ ข้าจะช่วยนางจับตาดู พอ
ถึงวันที่เจียวเหนียงแต่งงานออกเรือนไป พวกเขาก็อย่าหวังว่าจะได้
สมบัติเหล่านั้นไปแม้แต่แดงเดียว ไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้นข้า
จะไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ แน่!” เขาหยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้น
ใช่แล้ว เขาจะจับตาดูให้ดี พอถึงตอนนั้นแล้วหากพวกเขา
กลับคำละก็…
อ่านตำรา เขาต้องสอบให้ได้! พอถึงตอนนั้นเขาจะเป็นคน
ออกหน้าแทนน้องสาวเอง!
ท่านชายเฉิงสี่เดินจ้ำ กลับไปนั่งหน้าโต๊ะหนังสือแล้วหยิบตำรา
ขึ้นมาอ่าน
เด็กรับใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะกำลังจะออกไปอย่าง
เบามือเบาเท้า ก็เห็นท่านชายเฉิงสี่ลุกขึ้นยืนพรวดอีกครั้ง
“ไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น
“ท่านชาย เป็นอะไรไปอีกขอรับ” เด็กรับใช้ถามอย่างจนใจ“ข้าต้องเขียนจดหมายบอกท่านพ่อเสียก่อน” ท่านชายเฉิงสี่
เอ่ยขึ้น
…
“นายท่าน”
ฮูหยินรองเฉิงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนพลางเอ่ยขึ้น
พอเห็นว่าภายในห้องโถงไม่มีแม้แต่เงาของนายรองเฉิง ก็รีบ
จ้ำ เข้าห้องไป
นายรองเฉิงเอนกายพิงเก้าอี้ท่าทางเกียจคร้าน ทั้งยังมีสาวใช้
อีกสองนางคอยนวดขาให้
ฮูหยินรองเฉิงโบกมือไล่ สองสาวใช้ก็ออกไปในทันใด
“ชายสี่เจ้าค่ะ เขียนจดหมายส่งข่าวไปที่เจียงโจวแล้ว ต้อง
เป็นเรื่องนี้อย่างแน่นอน” นางคุกเข่าลงพลางเอ่ย
นายรองเฉิงแทบจะไม่ลืมตามองเสียด้วยซ้ำ
“แล้วอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยถาม
“บ้านใหญ่รู้แล้ว ก็คงจ้องหาผลประโยชน์จากเราไม่ใช่หรือ”
ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยนายรองเฉิงหัวเราะออกมา
“จะกล้าหรือ” เขาลืมตาขึ้น “หากเขากล้าแล้วอย่างไรเล่า จะ
มาแย่งไปอย่างนั้นหรือ อย่าลืมว่าแม้ชื่อจะเป็นของข้าและเจ้า แต่
ความจริงแล้วเป็นของนาง… ฮุบสินเดิมของนางแล้วผลเป็นอย่างไร
ยังไม่รู้แก่ใจอีกหรือ”
ก็จริงอย่างที่ว่า ฮูหยินรองเฉิงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อน
จะยิ้มร่าในทันใด
“นายท่านคิดการรอบคอบดีแท้” นางเอ่ยชื่นชมพลางเรียก
สาวใช้ด้านนอกเข้ามาทุบขานวดบ่าให้นายรองเฉิง
นายรองเฉิงหลับตาลงอย่างลำพองใจ ก่อนจะฮัมเพลงออกมา
พลางตบหัวเข่าเข้าจังหวะ
ร้านรวงในเมืองหลวงจะผลัดเปลี่ยนเฒ่าแก่ก็ล้วนแต่เป็นเรื่อง
ภายในตระกูล คนนอกไม่มีทางรับรู้ ทั้งยังไม่กระทบถึงผู้ใดด้วย แต่
คนนอกที่สนใจใคร่รู้ก็ได้ข่าวอย่างเร็วไว
“นายรองเฉิงผู้นั้นลงมือรวดเร็วดีแท้” เกาหลิงปอเอ่ยด้วย
รอยยิ้ม“คงใฝ่ฝันมานานแล้วกระมัง” ข้าหลวงเอ่ยขึ้น “คราวนี้แม่นาง
เฉิงผู้นั้นคงได้เป็นใบ้ แม้ทุกข์ทนเพียงใดก็คงพูดออกมามิได้”
“กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นก็ย่อมต้องรับผลกรรม” เกาหลิงปอเอ่ย
“ใครใช้ให้นางไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบแต่แรก ทั้งเขียนชื่อตัวเองเด่น
หราเสียขนาดนั้น โอ้อวดเอง จะโทษใครก็ไม่ได้”
“นอกจากจะโทษใครไม่ได้แล้ว” ข้าหลวงเอ่ยพลางหัวเราะ
“เดิมทีก็เป็นกฎแห่งสวรรค์”
“ใช่แล้ว เพราะเป็นกฎแห่งสวรรค์ ข้าถึงได้วางใจเช่นนี้” เกาห
ลิงปอเอ่ยก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง “ยามข้าจากเมืองหลวงไปแล้ว
พวกเจ้ามีเรื่องสำ คัญต้องทำอยู่สองเรื่อง”
พอเห็นเขาสีหน้าจริงจัง ข้าหลวงและลูกน้องคนสนิทที่นั่งอยู่ก็
ผุดนั่งหลังตรงตั้งใจฟัง
“เรื่องแรก ฉวยโอกาสยามเกิดภัยพิบัตินี้ส่งจิ้นอันจวิ้นอ๋องออก
ไปจากเมืองหลวงให้ได้”
“เรื่องที่สอง เสนอแต่งตั้งองค์รัชทายาทให้ได้หลังพ้นเดือน
สาม”ข้าหลวงและผู้ใต้บังคับบัญชาขานรับด้วยความเคารพ
“ใต้เท้า ท่านจะเดินทางวันที่ยี่สิบสามจริงหรือ”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเงยหน้าถาม แววตาแสนอาลัย “เข้า
ฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยไปไม่ดีหรือ รีบเร่งเดินทางหน้าหนาวเช่นนี้ พวก
เข้ากังวลใจยิ่งนัก”
เกาหลิงปอหัวเราะชอบใจ
“หากผู้อื่นไม่กังวลใจ เช่นนั้นต่างหากที่ข้ากังวลใจ” เขาเอ่ย
ด้วยรอยยิ้ม พูดถึงเพียงเท่านั้นก็ชะงักไป “อีกอย่าง ดูแลผิงอ๋องและ
พวกกุ้ยเฟยในวังหลวงด้วย หากจะถามว่าข้าไม่วางใจเรื่องใด ก็คง
ไม่ว่าใจพวกเขาจริงๆ โดยเฉพาะกุ้ยเฟย”
ยังไม่ทันสิ้นเดือนหนึ่ง เกาหลิงปอที่ถูกลงโทษก็ออกจาก
เมืองหลวงไป เหตุเพราะรายงานเหตุภัยพิบัติล่าช้าจนเกิดกบฏ
เขาไปอย่างกะทันหันทั้งยังไม่มีพิธีรีตองยิ่งใหญ่ มีเพียง
ญาติสนิทมิตรสหายที่มาส่งลา มีเพียงแค่รถม้าหนึ่งคันพร้อมกับบ่าว
อีกไม่กี่คน
“สงสารหรือ”ฮ่องเต้เอ่ยถาม
กุ้ยเฟยที่ปาดน้ำตาก็พลันสัมผัสได้ถึงความหมายของเขา
“น่าสงสารเสียที่ไหนเล่าเพคะ เหล่าชาวเมืองที่ต้องไร้บ้าน
เพราะภัยพิบัติมากกว่าที่น่าสงสาร” นางเอ่ยเสียงขุ่นเคือง “ยังดีที่
เขาสำ นึกได้ จึงไม่ได้จัดงานอำลาก่อนออกจากเมืองหลวงอย่าง
เอิกเกริก”
ฮ่องเต้ยิ้ม
“นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าชาวเมืองต่างหากที่มีอำนาจสูงสุด”
เขาส่ายหน้าพลางเอ่ยอย่างจนใจ
“ใช่แล้วเพคะ คราวนี้ให้เขาออกไปพบไปเห็นเสียบ้าง” กุ้ยเฟย
เอ่ย “จะได้รู้ความทุกข์ยากของชาวเมือง จะได้รู้ว่าฝ่าบาทลำบาก
เพียงใด”
ฮ่องเต้ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ฟังเจ้าพูดราวกับเข้ามิใช่ญาติแต่เป็นศัตรูเสียมากกว่า” เขา
เอ่ย “เจ้ามิอาลัยหรือ”“ฝ่าบาท เพราะเป็นญาติอย่างไรเล่าเพคะ หม่อมฉันถึงได้
เดือดดาลเช่นนี้” กุ้ยเฟยเอ่ย “เขาเป็นญาติของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็
เคารพนับถือไว้หน้าเขามาตลอด แต่พอเกิดเรื่องเช่นนี้ เขาเสียหน้า
หม่อมฉันก็เสียหน้าเช่นกัน แถมยังทำให้ฝ่าบาทอับอายอีกด้วย คน
คงเอาไปพูดลับหลังกันว่าฝ่าบาทให้ท้ายเขา กล่าวหาว่าฝ่าบาท
เลือกปฏิบัติกลับพระญาติต่างๆ นานา อยู่ดีๆ ก็ต้องมาโดนหางเลข
เช่นนี้ หม่อมฉันเกลียดยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ยิ้มพลางถอดทอนใจ
“อยากให้เขารู้ว่าเรานั้นลำบากแค่ไหนอยู่เหมือนกัน” เขาเอ่ย
พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยก็ได้ใจไม่น้อย
นึกถึงคำที่เกาหลิงปอกำชับตนก่อนจะไปว่าอย่าได้เรียกร้อง
ความเห็นใจให้แก่เขา เขาคิดว่านางโง่เง่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ
ยามไหนควรพูดอะไร หลายปีที่ผ่านนี้นางไม่ได้ซึมซับเลยหรือ
อย่างไร
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ถามว่าผิงอ๋องไม่มาด้วยหรือ“ไม่ได้มาเพค่ะ ไม่รู้ว่าง่วนอยู่กับสิ่งใดเช่นกัน” กุ้ยเฟยเอ่ย “ให้
คนไปเชิญตั้งหลายหนแล้วก็บอกว่ายุ่งตลอด แถมยังตำหนิหม่อมฉัน
อีก หาว่าหม่อมฉันไม่รักษากฎเกณฑ์ ลักลอบเรียกตัวเขาเข้า
วังหลวง หม่อมฉันก็โมโห ไม่สนใจเขาอีกเลย”
ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจ
“เด็กคนนี้ช่างเถรตรงเสียจริง” เขาเอ่ย “จะแหกกฎสักหน่อย
จะเป็นอะไรไป”
คนไม่รักษากฎเกณฑ์นั่นเองที่ฮ่องเต้รักใคร่เอ็นดูเสียเหลือเกิน
กุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นในใจ แม้ปากจะพูดออกมาไม่ได้ แต่ฮ่องเต้เองก็
คงรู้ดีอยู่แก่ใจ
“ฝ่าบาทต้องสั่งสอนเขาเสียหน่อยนะเพคะ” นางยิ้มเอ่ย
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” ฮ่องเต้เองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พอเห็นฮ่องเต้อารมณ์ดี กุ้ยเฟยก็ส่งสายตาให้กับนางกำนัล
ที่อยู่ข้างกาย
“ฝ่าบาท กุ้ยเฟย มื้อค่ำจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ”
นางกำนัลผู้นั้นรีบเดินขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นฮ่องเต้พยักหน้า เขากำลังจะปริปากพูด ก็มีนางกำนัลพรวดเข้า
มาจากประตู
“ฝ่าบาทเพคะ พระสนมอันไม่สบาย ตามหมอหลวงมาแล้ว
ฝ่าบาทโปรดช่วยไปดูด้วยเถิดเพคะ” นางกำนัลเอ่ย
กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาในทันใด นางเหลียว
มองฮ่องเต้ก็เห็นว่าเขาลุกยืนขึ้นแล้ว
“เหตุใดจู่ๆ ถึงป่วยได้” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม พลางตะโกนสั่งให้
เตรียมรถ
มองดูเหล่าผู้คนที่พากันวิ่งวุ่น นางก็รู้ได้ในทันทีว่าคืนนี้ฮ่องเต้
คงไม่กลับมาแน่ กุ้ยเฟยเดือดดาลจนปาจอกทองลงกับพื้น
“อยู่ดีไม่ว่าดีก็ใช้ไม้นี้ ระวังเถิดจะกลายเป็นจริงอย่างปากว่า”
นางเอ่ย
“กุ้ยเฟยเพคะ หมอหลวงบอกว่าพระสนมอันตั้งครรภ์พระโอรส
เพคะ” นางกำนัลเอ่ยกระซิบ
“เป็นพระโอรสแล้วอย่างไรเล่า” นางเอ่ย “ข้าเองก็คลอดพระ
โอรสออกมา ตอนนั้นฮองเฮายังเป็นผู้ดูแลวังหลัง ข้าเคยอาละวาดเช่นนี้หรือ”
“พระสนมอันจะเทียบกับท่านได้อย่างไร” นางกำนัลรีบเอ่ยใน
ทันใด
กุ้ยเฟยส่งเสียงฮึดฮัด
นางกำนัลเหลียวซ้ายแลจวา
“มีอะไรก็พูดมา อย่ามาทำลับๆ ล่อๆ” กุ้ยเฟยถลึงตาเอ่ย
“กุ้ยเฟย แต่มีคนบอกมาว่าพระสนมอันตั้งครรภ์ครั้งนี้
ไม่ธรรมดา” นางกำนัลกระซิบเอ่ย
กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะ
“เป็นพระโอรส เป็นบุตรชายของฮ่องเต้ ก็ย่อมไม่ธรรมดา
อยู่แล้ว” นางเอ่ย “มิใช่ภรรยาของชาวบ้านทั่วไป คิดจะใช้เล่ห์กล
เช่นนี้ในวังหลวงหรือ ช่าง…”
“กุ้ยเฟยเพคะ ได้ข่าวมาตอนที่พระสนมอันตั้งท้อง นางฝันว่า
เป็นดาวพระศุกร์มาเกิดเพคะ” นางกำนัลเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ดาวพระศุกร์มาเกิดอย่างนั้นหรือ
กุ้ยเฟยนั่งหยัดตัวตรง กระแทกจอกทองในมือลงกับโต๊ะ“ถุย!” คิ้วเรียวของนางยกขึ้น “นางช่างกล้าพูด!”
ขณะเดียวกันพระสนมอันกำลังคุกเข่าลง น้ำตาคลอเบ้า ยื่นมือ
ออกไปคว้าชายเสื้อของฝ่าบาทไว้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้พูดจริงๆ นะเพคะ” นางเอ่ยสะอื้น
“หม่อมฉันไม่เคยพูดอะไรเช่นนั้น หม่อมฉันเกลียดที่ตนเองร่างกาย
อ่อนแอ พอตั้งครรภ์พระโอสรก็สามวันดีสี่วันไข้ จนคนปล่อยข่าวลือ
ไปทั่ว…”
“เจ้าร่างกายอ่อนแอแล้วจะเกิดข่าวลือได้อย่างไร!” ฮ่องเต้
ขมวดคิ้วเอ่ย มองดูสนมอันผู้งดงามที่บัดนี้รูปร่างเริ่มอวบอัดขึ้นมา
เขายื่นมือออกไปกุมมือนางไว้ “ลุกขึ้นเถิด”
พระสนมอันเอ่ยขอบพระทัยเสียงสะอื้นแล้วยืนขึ้น
“เพราะหม่อมฉันเอาแต่ใจ คนถึงได้นินทาลับหลังว่าหม่อม
ตั้ง
ครรภ์เป็นทองคำหรืออย่างไร นินทาว่าลูกที่หม่อมฉันสูงส่งมาก
เชียวหรือ ถึงได้เกิดข่าวลือเช่นนั้น ฝ่าบาทหม่อมฉันมิบังอาจเช่นนั้น”
นางเอ่ยน้ำตานองหน้า
อันที่จริง…มิใช่เรื่องบังอาจมิบังอาจหรอก…หรือจะบอกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเราจะเป็นดาวนำโชคมาจุติ
ไม่ได้เลยหรือ
ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของฮ่องเต้
แต่จะพูดออกไปก็คงไม่ได้
“ฝ่าบาทอย่างได้โกรธหม่อมฉันเลยนะเพคะ” นางออดอ้อน
ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจ
“เรื่องเช่นนี้มีอะไรน่าโมโหกัน” เขายิ้มอย่างจริงใจพลาง
เอื้อมมือไปลูบหน้าท้องของพระสนมอัน “เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา
ย่อมสูงส่งอยู่แล้ว!”
“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ” พระสนมอันยิ้มเอ่ยพลางยกแก้ว
เหล้าป้อนฮ่องเต้ถึงปาก ขณะที่กำลังชื่นมื่นอยู่นั้น ก็มีขันทีวิ่ง
พรวดพราดเข้ามาอย่างร้อนรน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ข่าวด่วนพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางค้อมตัวยื่น
หนังสือที่มีตราประทับของสำ นักราชเลขาให้
มีข่าวด่วนยามนี้หรือ
“จากที่ใดกัน” ฮ่องเต้ถาม“จากถนนเม่าผิงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตอบเสียงแผ่วเบา
เม่าผิงอย่างนั้นหรือ!
ฮ่องเต้หัวใจกระตุกวูบ สัมผัสได้ว่าคงมิใช่ข่าวดีแน่ เขาลังเลอยู่
ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปรับ พอเปิดอ่านสีหน้าก็แข็งทื่อไป
โดยไม่รู้ตัว ก่อนร่างทั้งร่างจะโอนเอนแล้วล้มเซ
“ฝ่าบาท!” พระสนมอันตกใจจนหน้าถอดสีพลางยื่นมือไป
ประคอง
นางกำนัลและขันทียืนอยู่สองฝั่งกรูเขามาพยุง
ฮ่องเต้ฝืนตัวลุงขึ้นนั่งเอง พลางโบกมือบอกว่าตนไม่เป็นอะไร
ก่อนจะอ้าปากพูด
ทว่าพอปากเปิดออกกลับกลายเป็นเลือดที่พุ่งออกมา
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไปทั้งตำหนักยามค่ำคืน
…………..