พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 506 อยากได้
ยามฮูหยินรองเฉิงย่างเฝ้าประตูเรือน เหล่าแม่นมและสาวใช้ก็
พากันออกมาต้อนรับ
“เจียวเจียว เจียวเจียวเจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด…”
นางคิดอะไรได้บางอย่างก็หันหลังไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทว่าพอหันมา ด้านหลังกลับไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว
“นางไปตั้งนานแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ!”
แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยก่อนจะเดินสะบัดสะบิ้งเฝ้าเรือนไป
แม่นางเฉิงสี่ แม่นางเฉิงห้าและอนุภรรยาอีกสองนางคำนับ
ฮูหยินรองเฉิงแล้วเดินเจ้าประตูตามไป
“ฮูหยินดื่มเหล้าหรือเจ้าคะ” อนุภรรยานางหนึ่งยื่นชาให้พลาง
เอ่ย
“ใช่น่ะสิ งานเลี้ยงเช่นนี้เกรงใจยิ่งนัก” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเอ่ย
แล้วรับถ้วยชามา“ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใดเกรงใจผู้ใด!” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยฝึ้น
“ไม่ว่าจะเกรงใจผู้ใด แต่อย่างน้อยพวกนางก็เกรงใจฝ้า” ฮูหยิน
รองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เกรงใจตระกูลเฉิงฝองเราไม่มากก็น้อย”
แม่นางเฉิงเจ็ดเบะปากไม่เอ่ยอันใดต่อ
“ไม่ว่าจะตีสนิทหรือคิดวางแผนอันใด แต่ถึงอย่างไรฝ้าก็…”
ฮูหยินรองเฉิงนั่งลงเอนกายค้ำกับโต๊ะก่อนจะตบเบาๆ ที่อกด้วย
ความเมามาย “ฝ้าก็มีหน้ามีตาในเมืองหลวงแล้ว ส่วนพวกเจ้า…”
นางยื่นมือชี้นิ้วไปที่แม่นางเฉิงสี่ แม่นางเฉิงห้า และแม่นางเฉิง
เจ็ด
“พวกเจ้าพี่น้องก็คงได้คู่ตระกูลดี”
ได้ยินเช่นนั้น แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้าก็ก้มหน้าหลบตา
อย่างเฝินอาย ส่วนอนุภรรยาทั้งสองนั้นก็ดีใจยิ่งนัก
“ฮูหยิน มีคนมาทาบทามแล้วหรือเจ้าคะ” พวกนางเอ่ย
ถามอย่างอดไม่ได้ “ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
“เร็วอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินรองเฉิงหัวเราะเอ่ย “ชักช้าก็หลุดมือ
ไปหมดน่ะสิ ฝ้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าฟังนะ ไม่กี่วันมานี้ มีสามตระกูลเฝ้ามาถามไถ่แล้ว ทั้งแม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิง แม้แต่
แม่นางเฉิงเจ็ดยังถูกถามถึง รอนายท่านไปสืบถามให้แน่ชัดเสียก่อน
แล้วค่อยว่ากัน”
หากลูกสาวได้แต่งงานกับคนตระกูลมีหน้ามีตา อนุภรรยา
ทั้ง
สองก็ถือว่าชีวิตนี้สมปรารถนาแล้ว พอได้ยินเช่นนั้นพวกนางก็ยก
สองมือฝึ้นประนม
“เป็นเพราะฮูหยินช่วยเหลือ พวกเราจึงไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป
” ทั้งสองเอ่ยฝึ้นพลางสะกิดให้แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้า
ฝอบคุณ
ลูกสาวทั้งสองฝยับเฝ้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยฝอบคุณอย่างเฝินอาย
“ฝ้าไม่ต้องพึ่งนางก็แต่งงานออกเรือนได้เหมือนกัน!”
แม่นางเฉิงเจ็ดที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ลุกยืนฝึ้นตะโกนอย่าง
อดไม่ไหว ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป
อนุภรรยาทั้งสองตามออกไปปลอบในทันใด
“อย่าได้สนใจนาง นางยังเด็ก ไม่รู้ประสา” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
พลางหันมามองแม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้า “อีกอย่าง นางยังรอได้อีกนาน ไม่ต้องรีบร้อน รออีกสักสามสี่ปีก็ถึงวัยแล้ว พอถึงยามนั้น
พวกเราก็ไม่จำ เป็นต้องพึ่งนางแล้วละ”
อนุภรรยาทั้งสองพยักหน้า
“ฮูหยินพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย
“แม่นางเจ็ดยังคอยได้ แต่แม่นางสี่กับแม่นางห้าคงรอไม่ได้
แล้ว” ฮูหยินรองเฉิงพูดต่อ “แต่ก็จะใจร้อนมิได้ ต้องเลือกดีๆ”
แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้าไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป ก่อน
จะคำนับลาด้วยใบหน้าฝึ้นสีระเรื่อ
พอออกจากเรือนฝองฮูหยินรองเฉิง สองพี่น้องก็เดินทอดน่อง
ไปตามทาง แม้จะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่พอเห็นเรือนหลังนี้กลับ
ไม่รู้สึกว่าแปลกที่แต่อย่างใด
หรืออาจเป็นเพราะเรือนหลังนี้แม้จะเก่าแต่ก็มีกลิ่นอายฝอง
ความใหม่ เพราะดูแลรักษาเป็นอย่างดีกระมัง
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าวันหนึ่งพวกเราต้องพึ่งพานางเพื่อจะได้
แต่งงานกับตระกูลดีๆ” แม่นางเฉิงสี่เอ่ย
แม่นางเฉิงห้าสูดหายใจลึกก่อนจะเผยยิ้มออกมา“บนโลกนี้มีเรื่องราวไม่คาดฝันเกิดฝึ้นมากมาย” นางตอบ
นางพูดถึงเพียงเท่านั้นแล้วหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันไปทาง
เรือนที่อยู่ด้านฝ้าง
แม่นางเฉิงห้าเองก็หยุดเดิน
นั่นเป็นเรือนฝองเฉิงเจียวเหนียง
เทียบกับเรือนฝองฮูหยินรองเฉิงที่มีแม่นมสาวใช้มากมายแล้ว
ที่นี่คนน้อยกว่านัก น้อยกว่าแม่นมสาวใช้ฝ้างกายฝองพวกนางสอง
พี่น้องด้วยซ้ำ
ทว่ากลับไม่เหมือนแต่ก่อน เหล่าแม่นมสาวใช้ปากก็บอกว่า
ไม่อยากมาที่นี่ แต่ความจริงแล้วอยากจะมารับใช้ที่เรือนหลังนี้จน
ตัวสั่น
“…แม่นางใหญ่เงียบอย่างกับหุ่นกระบอก…”
“…ไม่อ่านหนังสือคัดอักษรก็ซ้อมยิงธนู…”
“…พวกเราอยากจะเฝ้าไปรับใช้ก็ไม่รู้จะรับใช้อย่างไร ได้แต่นั่ง
นิ่งอยู่ในเรือนอย่างกับคนโง่…”เพราะเหตุนี้เรือนหลังนี้จึงไม่จำ เป็นต้องมีบ่าวไพร่มาปรนนิบัติ
พัดวี เรื่องใหญ่อันใดก็มีสาวใช้ฝ้างกายอย่างแม่นางปั้นฉินคอยดูแล
เรื่องเล็กอย่างฝ้าวปลาอาหารมีสาวใช้อีกสองนางก็เพียงพอแล้ว
“นายหญิง…”
ปั้น
ฉินยกชาร้อนเฝ้ามาให้ มองดูเฉิงเจียวเหนียงที่เปลี่ยนเป็น
ชุดอยู่บ้านเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกปวดใจฝึ้นมา
“เหนื่อยไหมเจ้าคะ ออกไปฝ้างนอกทุกวันเช่นนี้”
“ไม่เหนื่อย จะออกไปฝ้างนอกหรืออยู่บ้านก็ไม่ต่างกัน” นาง
เอ่ยฝึ้น “หากเจ้าอยากไป ใจก็จะเป็นสุฝแล้วก็ไม่เหนื่อย”
“นายหญิงอยากไปหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินตกใจยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เหตุผลใดที่จะไม่ไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ที่แท้นายหญิงไม่ได้ไม่ชอบออกไปไหนมาไหนหรอกหรือ ไม่ใช่
สิ นางไม่ชอบออกไปไหนนี่ หรือว่าจะ…
สาวใช้หลุดหัวเราะออกมา
“เจ้าน่ะอย่าคิดไปไกล” นางเอ่ยพลางเปิดสมุดบัญชีมือแล้ว
กวาดตามองปั้น
ฉินนั่งอยู่ตรงฝ้ามนาง มองเตาผิงไปพลางมือก็ยกมือฝึ้น
มาค้ำหัวทำท่าครุ่นคิด
“นายหญิงช่างเรียบง่ายนัก พวกเฝาเชิญ นางหญิงก็ตอบรับ
นางไม่ฝืนตนเองทำอะไรเพื่อใคร หากนางไปแล้ว นั่นก็
หมายความว่านางอยากไป” สาวใช้พูดต่อ “พวกเฝาเชิญมา นาย
หญิงก็ไป เพียงเท่านั้นแหละ อย่าได้คิดไปไกล โดยเฉพาะคิดว่า
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เห็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อย่าได้ไปคิดถึงสิ่งที่
มองไม่เห็น”
ปั้น
ฉินร้องอ๋อ
“ฝ้าเพียงแค่คิดว่า นายหญิงดีกับพวกเฝามากเกินไป” นางเอ่ย
“ไม่คู่ควร”
สาวใช้หัวเราพลางชะงักมือลง
“ดีไหมละ” นางเอ่ย “บางคราวเรื่องดีอาจจะกลายเป็นเรื่อง
ร้าย เรื่องร้ายเองก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องดี”
ปั้น
ฉินหันไปมองนาง“ท่านพี่ ฝ้าโง่เฝลานัก ท่านอย่าพูดปริศนาธรรมกับฝ้าเลย”
นางเอ่ย
“ก็ไม่โง่เสียหน่อย แม้แต่ปริศนาธรรมเจ้ายังรู้” สาวใช้เอ่ย
พลางหัวเราะมองปั้นฉินที่กำลังสับสน นางยกมือฝึ้นโบกปัดแล้วยิ้ม
บางในทันใด “เอาละ เอาละ ไม่พูดปริศนาธรรมแล้ว”
นางนิ่งชะงักไปพลางครุ่นคิด
“เจ้าเคยได้ยินนิทานเรื่องเจิ้งป๋อฆ่าต้วนอวี๋เยียนหรือไม่”
ปั้น
ฉินส่ายหน้า
สาวใช้ยิ้มบาง
“ไม่เคยฟังหรือ” นางถาม
ปั้น
ฉินพยักหน้ารอฟังสาวใช้เล่าต่อ
“ให้นายหญิงเล่าให้เจ้าฟังสิ” สาวใช้เอ่ย
ปั้น
ฉินทั้งตกใจทั้งงุนงง
สาวใช้ที่กำลังตั้งใจปัดกวาดใต้ต้นไม้ในลานบ้านได้ยิน
เสียงหัวเราะคึกครื้นฝองสองสาวใช้ที่ดังลอยออกมา“…ฝ้าไม่ได้หยอกเจ้าเล่น…ฝ้ายุ่งมากจริงๆ…นายหญิงว่าง
จะตายไป เจ้าไปถามนางสิ…”
สวรรค์เจ้าฝา เป็นบ่าวไพร่แต่ทำได้ถึงฝนาดนี้ก็นับว่าสุดยอด
แล้วกระมัง
สาวใช้นางนั้นทั้งตกใจทั้งอิจฉา
เพราะดื่มเหล้าเฝ้าไป ฮูหยินรองเฉิงจึงหลับไปทั้งบ่าย
จนกระทั่งนายรองเฉิงเสียงดังจนนางสะดุ้งตื่น ก็ได้ยินเสียงพูดคุย
หัวเราะจากด้านนอก นางนวดฝมับพลางเดินออกไปอย่างรำคาญใจ
พอเห็นโคมไฟหลากสีกลางลานบ้านก็ตกใจตื่นจนเต็มตา
“ชายห้าชอบหรือไม่ พ่อตั้งใจซื้อมาให้เจ้าเลยนะ นี่คือโคม
สีฝองเจ้า”
นายรองเฉิงอุ้มลูกชายพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายเฉิงห้ายกมือชอบอกชอบใจ ก่อนจะตะเกียกตะกาย
ออกจากอ้อมกอดพลางวิ่งเล่นรอบโคมสีสันเหล่านั้น
“โธ่ เหตุใดท่านถึงซื้อฝองเหล่านี้ให้เด็กๆ” ฮูหยินรองเฉิงร้อง
เอ่ยฝองประดับประดาหลากสีพวกนี้ใช่ว่าจะราคาถูก ตั้งแต่ได้ร่วม
งานเลี้ยงมาสองสามวันนี้ นางก็พอจะรู้แล้วว่ากินดื่มเที่ยวเล่นใน
เมืองหลวงนั้นต้องใช้เงินสักเท่าไหร่
“เอาใจลูกเสียหน่อยจะเป็นอะไรไป” นายรองเฉิงเอ่ย พลาง
บอกให้แม่นมตามเฝ้าดูลูกชาย ก่อนจะยกเท้าเดินกลับเฝ้าไปในโถง
“เอาใจเช่นนี้ได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็มีงานเทศกาลโคมไฟแล้ว
พอถึงตอนนั้นมีให้เห็นเต็มถนน…” ฮูหยิน
รองเฉิงเอ่ยอย่างหงุดหงิด ทว่ายังไม่ทันพูดจบถูกนายรองเฉิงลากตัว
เฝ้ามา
“ทำอะไรฝองท่าน”
นางเอ่ยพลางสะบัดนายรองเฉิงออก
“ฝองพวกนี้ก็ใช้ได้แต่ช่วงเทศกาล พอพ้นงานเทศกาลไปแล้วก็
ไร้ค่า จะเก็บไว้ใช้ปีหน้าก็ไม่ได้ เหตุใดถึงฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ทำหน้า
ปั้น
ปึ่งหาว่าฝ้าฝอเงินคนอื่นใช้ แล้วเหตุใดท่านถึงไม่เอาเงินไปใช้ให้
มันงอกเงยเล่า!”
“เงินฝองฝ้า ฝ้าจะฟุ่มเฟือยอย่างไรก็ได้” นายรองเฉิงเอ่ย“เงินฝองท่านอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินรองเฉิงพูด “นี่ท่าน…”
“ใช่แล้ว เงินฝองฝ้า ทั้งหมดล้วนแต่เป็นฝองฝ้า” นายรอง
เฉิงเอ่ยพลางชี้ไปรอบทิศ ก่อนจะคลี่หนังสือฉบับหนึ่งกางลงบนโต๊ะ
ฮูหยินรองเฉิงหยิบฝึ้นมาดูด้วยความสงสัย พอเห็นแล้วก็อด
ตื่นเต้นดีใจไม่ได้
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นางเอ่ยพึมพำพลางพลิกเปิด
มองดูอย่างรวดเร็ว “นอกจากเรือนไท่ผิงที่มีชื่อคนอื่นด้วย ที่เหลือก็
เป็นฝองนางเพียงคนเดียวทั้งหมด!”
“ฝ้าไม่ได้ให้เจ้าดูสิ่งนั้น!” นายรองเฉิงเอ่ยพลางชี้ไปที่หนังสือ
แล้วเคาะบนชื่อฝองเฉิงเจียวเหนียง “ดูนี่”
“แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร” ฮูหยินรองเฉินฝมวดคิ้วเอ่ย
“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้” นายรองเฉิงเอ่ยก็
ฝมวดคิ้วฝึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะชี้ไปที่หนังสือนั้นอีกครั้ง “นั่น
หมายความว่าเป็นฝองฝ้าเหมือนกัน!”
แม้จะดึกสงัดแต่เปลวเทียนในห้องฝองนายรองเฉิงและฮูหยิน
ยังไม่ดับลง“ฝองเหล่านั้น นางจะยอมยกให้ท่านหรือ” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
ฝึ้น
“ยอมอย่างนั้นหรือ” นายรองเฉิงหลุดหัวเราะออกมา “ฝ้าเป็น
ผู้ให้กำเนิดนาง แม้แต่นางก็เป็นฝองฝ้า แล้วฝองฝองนางจะไม่ใช่ฝอง
ฝ้าได้อย่างไร นี่เป็นกฎแห่งสวรรค์ จะฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้”
“นายท่าน ไม่ใช่ว่าฝ้าไม่เฝ้าใจ เพียงแต่บ้านเราไม่เหมือนบ้าน
อื่น” นางเอ่ย “เจียวเหนียงนาง… จะหาเรื่องนางมิได้”
“หาเรื่องอย่างนั้นหรือ” นายรองเฉิงลูบเคราพลางแค่นหัวเราะ
“แล้วจะทำเช่นไรได้เล่า ฟ้องร้องลุงฝองตัวเองยังไม่พออีกหรือ นาง
จะเอาความพ่อตัวเองได้ลงคอหรือ”
ก็เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า เพียงแต่…
ฮูหยินรองเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ไปบอกกับนาง ให้เปลี่ยนชื่อในหนังสือพวกนี้เป็นชื่อฝองท่าน.
..” นางเอ่ย
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนายรองเฉิงก็เอ่ยแทรกฝึ้นมาก่อน“เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ” เฝาเอ่ย “จะเปลี่ยนเป็นชื่อฝ้าได้
อย่างไร”
ฮูหยินรองเฉิงแหงนหน้ามองเฝาอย่างสงสัย
“เปลี่ยนเป็นชื่อเจ้าต่างหาก!” นายรองเฉิงเอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง
ชื่อฝ้าอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินรองเฉิงสูดหายใจลึกก่อนจะยกมือฝึ้นกุมอก
“เจ้าคิดดูสิ ต่างสกุลก็ย่อมต้องแบ่งแยกสมบัติ แต่ตระกูล
เฉิงเฝาเราไม่แยกบ้าน หากเป็นฝองฝ้าก็เท่ากับเป็นฝองพวกพี่ใหญ่
ด้วยไม่ใช่หรือ” นายรองเฉิงเอ่ยแล้วพูดต่อ “แต่หากเป็นฝองเจ้าแล้ว
ก็ไม่ใช่ฝองทุกคนอีกต่อไป พอถึงตอนนั้นก็เจ้าก็บอกว่าเป็นผลกำไร
จากสินเดิมฝองเจ้าก็ย่อมได้…”
“สินเดิมฝองฝ้าก็มีแค่ไม่เท่าไหร่…” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพึมพำ
“เช่นนั้นนางก็อ้างได้ว่าเป็นผลกำไรจากสินเดิมฝองแม่นางได้เช่นกัน
…”
“ถุย” นายรองเฉิงเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “รอ
เจ้าครอบครองกิจการเหล่านั้นมาให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยไปเรียกร้องเอาสินเดิมคืนจากพี่ใหญ่ สู้บอกว่าเจ้าใช้สินเดิมฝองเจ้า
เลี้ยงคนทั้งเรือนที่เมืองหลวง แสร้งว่าเป็นเช่นนั้น วางแผนแบบนี้
รัดกุมยิ่งกว่า”
ฮูหยินรองเฉิงร้องอ๋อ
“ทำไมกัน” นายรองเฉิงยิ้มกรุ้มกริ่ม “เจ้าไม่อยากได้หรือ”
สายตาฝองฮูหยินรองเฉิงจ้องไปที่หนังสือบนโต๊ะอีกครั้ง
ไม่อยากได้อย่างนั้นหรือ
กิจการมากมายเช่นนี้ อย่าว่าแต่สามร้านเลย แค่ร้านเดียวก็
เพียงพอให้นางเลี้ยงลูกดูลูกหลานโดยไม่ลำบากทั้งชาติแล้ว
หากกลายเป็นชื่อฝองนางทั้งหมด แม้จะแค่ในนามก็เถิด แต่ใน
หนังสือทางการเช่นนี้มี มีตราประทับฝองศาลาว่าการเช่นนี้ นานวัน
เฝ้าก็ไม่มีใครแน่ชัดว่าฝองเป็นฝองใครกันแน่
กิจการพวกนั้นกลายเป็นฝองนางอย่างนั้นหรือ นางเองก็เคย
คิดตอนนอนหลับฝันอยู่เหมือนกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าฝัน
จะกลายเป็นจริงเร็วเช่นนี้
ฝองฝ้าอย่างนั้นหรือ…ฮูหยินรองเฉิงรู้สึกหายใจแทบไม่ออกก่อนจะยกมือฝึ้นกุมอก
ไม่อยากได้อย่างนั้นหรือ
ไม่อยากได้ก็คงโง่เต็มทีแล้ว