พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 505 เรื่อง
ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนบนท้องถนนเนืองแน่นขนัดตา ทว่าหน้า
ประตูเรือนตระกูลเกากลับแสนเงียบเหงา เพราะฮ่องเต้อนุญาตให้
เกาหลิงปอออกจากเมืองหลวงจามที่เขาร้องขอ
แม้หน้าประตูจะเงียบเหงา แต่ภายในกลับครื้นเครงดังเช่นเคย
ไม่ว่าจะหน้าโถงหรือท้ายเรือน ก็มีคนเดินเข้าออกขวักไขว่
ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีละลานตา
“ถ้าเต็มเวทีก็เสร็จแล้ว” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพลางชี้ไปที่
เวทีว่างเปล่าริมศาลา
“ปีก่อนมีทั้งกบกินเดือนกินตะวัน มีทั้งภัยหิมะทั้งกบฏ ฮ่องเต้
ทุกข์ใจยิ่งนัก ชาวเมืองร้อนใจถึงได้ออกคำสั่งห้ามจัดงานรื่นเริง ยาม
ปีใหม่จุดพลุได้ วันที่สิบห้ามีเทศกาลโคมไฟเหมือนเดิมได้ก็นับว่า
ไม่เลวแล้ว” คนที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้น“แต่พวกเราร้องรำทำเพลงกันในเรือนเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าผิดหรือ”
มีคนเอ่ยขึ้นต่อพลางชี้ไปที่หญิงสาวที่ซอยเท้าถี่เข้าไปในห้องโถง
“โอ้โห้ เชิญแม่นางจูมาได้เชียวหรือ”
เหล่าชายหนุ่มที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ในห้องเหลียวมอง
“ไม่ใช่ว่าเชิญยากนักหรือ”
“เชิญยากอย่างนั้นหรือ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดเชิญต่างหาก!”
เสียงโกลาหลวุ่นวายนอกโถงลอยเข้ามาในห้อง เกาหลิงปอที่
หลับตาอยู่หลังม่านพร้อมกับสาวใช้สองนางที่คอยทุบขานวดหัวให้ก็
ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ใต้เท้าจะไปยามเริ่มฤดูใบไม้ผลิหรือ” ข้าหลวงที่อยู่ข้างกันเอ่ย
ถาม
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” เกาหลิงปอหลับตาเอ่ย “ข้ารับผิด
จากใจจริงแล้ว ก็ต้องรับโทษอย่างจริงใจ หลังวันที่สิบห้าข้าก็ไปแล้ว
”
“ใต้เท้าสะดวกเช่นไรก็เช่นนั้น” ข้าหลวงพยักหน้าเอ่ย “ผิงอ๋อง
เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน ปีนี้ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ผนวกกับปีก่อนมีทั้งกบกินเดือนกบกินตะวัน การเมืองปีนี้ย่อมกลับสู่ปกติอย่างแน่นอน คงได้
แต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทแล้ว”
“หากได้แต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว คนแรกซวยเป็นคนแรกก็คือ
ข้า” เกาหลิงปอเอ่ย
“นั่นสินะ ใต้เท้าเป็นเพราะญาติ ไม่อาจอยู่ในราชสำ นักได้นาน
” ข้าหลวงเอ่ย “ยามนี้ท่านออกจากเมืองหลวงไปก็เป็นประสงค์ของ
ฝ่าบาท ถือเสียว่าไปหลบฟ้าฝน รอวันฟ้าสงบอีกครั้ง จะมีอันใด
หยุดยั้งได้เท้าได้อีกใช่หรือไม่”
พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็หัวเราะออกมา เกาหลิงปอที่หลับตา
อยู่กับหัวเราะเช่นกัน
“ถึงได้บอกอย่างไรเล่าหากพบเจอเรื่องร้ายก็อย่าได้ร้อนใจไป
เรื่องร้ายอาจกลายเป็นดีได้” เขาเอ่ยเสียงเนิบ “แต่เรื่องดีก็อาจกลาย
เป็นเรื่องร้ายได้เช่นกัน”
คนในห้องพากันหัวเราะชอบใจ
ทันใดนั้นเกาหลิงปอก็ยกมือขึ้นหยุดเสียงหัวเราะของทุกคน
ก่อนจะลืมตาขึ้นโดยมีสาวใช้พยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง“เพลงฉินด้านนอกบรรเลงได้ไพเราะนัก” เขาเอ่ย
ได้ยินดังนั้น คนที่อยู่สองฝั่งก็รีบชักม่านขึ้น ร่างของหญิงสาว
ที่นั่งดีดฉินอยู่กลางโถงปรากฏขึ้นสู่สายตา
“แม่นางจูจากหอเต่อเซิ่งขอรับ” ข้าหลวงเอ่ย
เกาหลิงปอพยักหน้า
หญิงสาวที่อยู่กลางโถงนั้นคือยอดบุปผางามสมดั่งคำล่ำลือ
ชดช้อยดั่งดอกโบตั๋น เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างกายหรูหราแต่กลับ
ไม่ประเจิดประเจ้อ
“ไม่เลว ไม่เลว” เขาเอ่ย
ไม่รู้ว่าชมเสียงเพลงหรือชมตัวคน เขาค้ำร่างกับสาวใช้พลาง
ปรบมือเข้าจังหวะ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแสนผ่อนคลายยามต้นปี
…
ฮูหยินรองเฉิงพาเฉิงเจียวเหนียงเข้ามาในรอบรั้วของเรือน
ตระกูลหนึ่ง
เหล่าแม่นมเบื้องหน้าออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม“… กวนเก้าย่วน นามว่าจย่าจื้อเกา เป็นคนเมืองหลวง
โดยกำเนิด ต้นตระกูลแต่งงานกับราชนิกุล แย่งชิงกิจการมาได้
มากมายถึงได้ร่ำรวย” แม่นมกระซิบบอกข้าหูฮูหยินรองเฉิง
“ข้าจำ ได้แล้ว” ฮูหยินรองเฉิงกระซิบตอบ “ปั้นฉินบอกว่าอะไร
อีก”
“ไม่ได้บอกอะไรอีกเจ้าค่ะ บอกแค่ว่าฮูหยินทำตัวตามสบายก็
พอ” แม่นมเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ตามสบายอย่างนั้นหรือ
นี่นางมาเยือนตระกูลขุนนางเมืองหลวงถึงเรือนเชียวนะ
จะเหมือนยามอยู่เจียงโจวได้อย่างไร
ฮูหยินรองเฉิงเหลียวกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ ก็เห็นเฉิงเจียว
เหนียงและสาวใช้ยืนอยู่ด้านหลังตน
ชื่อปั้นฉินเหมือนกัน แต่เหตุใดไม่ยอมให้ปั้นฉินนางนั้นมา
ภายในเรือนด้านหลังมีคนนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วไม่น้อย มีทั้ง
คนหนุ่มคนแก่ แต่งกายสีสันสวยสดราวกับสวนดอกไม้กันทั้งห้อง
ฮูหยินจย่าเดินเข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง“ฮูหยินเฉิง ท่านมาแล้วหรือ”
“ฮูหยินจย่า” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางคำนับกลับอย่างรีบร้อน
ยังไม่ทันคำนับเสร็จ ฮูหยินจย่าก็หันไปมองเฉิงเจียวเหนียงด้วย
ใบหน้ายิ้มแย้ม
“แม่นางเฉิง เชิญเข้ามาข้างในก่อน” นางเอ่ย
คำพูดนั้นฟังดูพิลึกนัก แต่พอเห็นรอยยิ้มแสนเป็นมิตรของ
ฮูหยินตรงหน้าแล้ว… ช่างเถิด
ฮูหยินรองเฉิงพยักหน้ายิ้ม ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามเข้าไป
คนในห้องพากันยืนขึ้นพลางส่งเสียงทักทายด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่ายิ้มให้ใคร ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ
“ฮูหยินโจว เหตุใดงานเลี้ยงคราวก่อนที่เรือนท่านถึงไม่
เชิญหลานสาวมาด้วยเล่า เช่นนั้นคงครื้นเครงยิ่งนัก”
หากมองจากด้านนอกคงเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังถูกรุมล้อม
ราวกับดาวล้อมเดือน ฮูหยินนางหนึ่งยิ้มเอ่ยกับฮูหยินที่อยู่ข้างกัน
สายตาของฮูหยินโจวมองไปที่ด้านหลังของฮูหยินรองเฉิง หญิง
สาวผู้นั้นปลดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นชุดฤดูหนาวผืนงามต้อนรับปีใหม่ ทั้งยังเข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเป็นอย่างดี หากผู้ใดเห็นเป็น
ต้องชื่นชมในความงาม ทว่าฮูหยินโจวกลับหนาวสั่นไปทั้งตัว
ราวกับสัมผัสถึงสายตาที่แอบมองมา หญิงสาวผู้นั้นจึงเงยหน้า
ขึ้นมอง
ดั่ง
เข็มแหลมทิ่มแทงดวงตา ฮูหยินโจวตกใจจนเหลียวไปทาง
อื่นในทันที รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาจากลำคอ
ข้าหวังดีกับนาง ข้าหวังดีกับนางจริงๆ ข้าไม่เคยมีจิตคิดร้าย
ต่อนาง
ฮูหยินโจวเอ่ยย้ำกับตัวเองราวกับท่องบทสวดคาถาอยู่ในใจ
“ฮูหยินโจว ฮูหยินโจว” ฮูหยินที่อยู่ข้างกันสังเกตเห็นท่าทีที่
แปลกไปของนางจึงยื่นมือออกมาสะกิด “เป็นอะไรไปหรือ”
ฮูหยินโจวได้สติคืนมาก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
“ไม่มีอะไร” นางเอ่ย
ฮูหยินนางนั้นยิ้มย่องราวกับเข้าใจ
“อิจฉาหรือ อย่าได้อิจฉาไปเลย นางเป็นเพียงแค่แม่เลี้ยง เจ้า
เป็นถึงท่านป้าเชียวนะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากท่านก้าวออกไป ก็ไม่มีที่ให้นางยืนแล้ว”
อิจฉาอย่างนั้นหรือ
หากรู้ก่อนหน้าว่าพวกนางจะมา นางคงไม่มาที่นี่อย่างแน่นอน
ฮูหยินโจวเหลียวกลับไปมองอีกครั้ง มองดูฮูหยินรองเฉิงยก
แขนเสื้อป้องปากหัวเราะท่ามกลางผู้คนที่กำลังยกยอปอปั้น
“ข้าไม่อิจฉาหรอก” นางเอ่ยพึมพำ “หากข้าไปยืนแทนที่นางคง
หัวเราะไม่ออก”
ฮูหยินรองเฉิงผู้น่าสงสาร…
นางคิดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือพระโพธิสัตว์ที่เรียกเงินเรียก
ทองอย่างนั้นหรือ นั่นมันปีศาจร้ายชัดๆ!
“อย่ามัวแต่พูดจาเหลวไหลอยู่ที่นี่เลย เร็วเข้า รีบพาข้าไปหา
หลานสาวเจ้า ไม่แน่ว่าอาจจะโชคดีได้เบิกเนตรตรัสรู้อะไรกับเขา
บ้าง” ฮูหยินที่อยู่ข้างกันดันหลังเชิงเร้าเร่ง
ทว่าฮูหยินโจวกลับหันหลังกลับ
“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา ขอตัวลาก่อน” นางเอ่ยขึ้น ไม่รอ
ให้ฮูหยินผู้นั้นไปตั้งสติก็เดินจ้ำ ออกไปเดือนหนึ่งนี้ ฮูหยินโจวพักฝื้นอยู่ที่เรือน ไม่รับแขกหรือจัด
งานเลี้ยงอันใด
ยามฟ้าสาง นายรองเฉิงพลิกตัวลุกพรวดขึ้นนั่ง
ฮูหยินรองเฉิงที่นั่งเชยชมเครื่องประดับอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
สะดุ้งตกใจ
“นายท่านเหตุใดถึงได้ตื่นเช้านัก” นางถามอย่างประหลาดใจ
นายรองเฉิงเหลียวมองนาง
“เจ้าเองก็ตื่นเช้า” เขาเอ่ย
ฮูหยินรองเดินเข้ามานั่งใกล้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นายท่าน วันนี้มีงานเลี้ยงต้องไปร่วม ท่านช่วยดูหน่อยสิ
เจ้าคะว่าข้าเสียบปิ่นทองอันไหนดี” นางเอ่ยพลางยืนปิ่นทองห้าอัน
ในมือให้นายรองเฉิงดูท่ามกลางแสงรุ่งอรุณ
ปิ่นทองเล็กใหญ่ห้าอันดูลายตาเสียเหลือเกิน
นายรองเฉิงขมวดคิ้ว
“ข้าน่ะคิดว่าสวยทุกอัน” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มกับตัวเองพลาง
ยกขึ้นมาเทียบบนหัว “แต่จะเอามาใช้ทั้งหมดคงไม่ได้ ต้องเหลือเก็บไว้ วันหน้าจะได้เป็นสินเดิมของหญิงเจ็ด”
ปิ่นทุเรศทุรังที่สาวใช้ของคนอื่นซื้อมาให้นี้หรือจะเก็บเอาไว้เป็น
สินเดิมของลูกสาวเขา!
“ของทุเรศทุรังเช่นนี้เจ้าเห็นว่าดีงามแล้วหรือ!” นายรอง
เฉิงเดือดดาลขึ้นมาในทันใด ยื่นมือออกไปปัดปิ่นทองทิ้ง “ตาต่ำ
ยิ่งนัก!”
ฮูหยินรองเฉิงรีบลงไปเก็บ
“โมโหอะไรของท่าน” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้า
ไม่เคยเห็น แล้วก็เคยมีใครมอบข้าวของมากมายให้ข้าเช่นนั้น ข้า
มาจากตระกูลบัณฑิตแร้นแค้น พอเห็นเงินก็จ้องไม่วางตาเช่นนี้”
ไม่เคยเห็นและเคยมีใครมอบข้าวของมากมายให้ข้าเช่นนั้น
ยามสองประโยคลอยเข้าหูนายรองเฉิง เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้น
มา
ของที่เขาส่งให้ทางบ้านตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นยังน้อยไป
หรือ ยังเทียบไม่ได้กับที่สาวใช้นางหนึ่งมอบให้นางอย่างนั้นหรือพอได้ยินคำแสลงหูนั้น ประโยคสุดท้ายจากฮูหยินรองเฉิงที่ว่า
บัณฑิตแร้นแค้นนั้นก็เหมือนกับเปลวไฟที่เผาไหม้แผ่นหลังของเขา
“ฮูหยินอย่างเจ้าไปตายเสียเถอะ!” นายรองเฉิงกระเด้งตัว
ลุกขึ้นตวาดลั่น
ฮูหยินรองเฉิงเองก็เดือดดาลขึ้นมาในทันใด
“ปีใหม่เช่นนี้ท่านก็ด่าว่าข้าแล้วหรือ” นางขมวดคิ้วเอ่ย “ตาย
ไปคนหนึ่งแล้วยังไม่พอหรือไร อยากให้คนที่สองตายไปด้วยหรือ”
นายรองเฉิงโกรธจนหน้าเขียว อยากจะทุบตีนางแต่ก็ไม่กล้า
อยากจะด่าแต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก
“มีอย่างที่ไหนกัน!” เขาทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วจ้ำ อ้าว
ออกไป
พอได้ยินเสียงตึงตังนอกประตู ฮูหยินรองเฉิงก็เบะปาก ก่อน
จะยกปิ่นทองในมือขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งฟ้าสว่างขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งพินิจ
อย่างละเอียดยิ่งกว่าเดิม
“ที่ข้าถูกอกถูกใจไม่ได้มีเพียงของพวกนี้” นางยิ้มเอ่ย “แต่ข้าก็
ไม่รังเกียจเบี้ยน้อยหอยน้อยพวกนี้หรอก”โถงว่าการยามเดือนนั้นช่างเงียบเหงาเมื่อเปรียบกับยามอื่น
“วันนี้พวกเรากลับกันเร็วหน่อยเถิด จะได้ไปกินแกงแพะตุ๋นที่
ประตูตะวันออก ช่วงบ่ายก็ไปเดินเที่ยวเล่นที่ตรอกจินเถียนต่อ”
ขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งยิ้มเอ่ยกับอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างกัน
ทว่าอีกคนหนึ่งกลับเบะปากส่ายหน้า
“กลัวเสียแต่ว่าจะไม่ได้กลับเร็วน่ะสิ เอาไว้รอบดึกไม่ดีกว่าหรือ
” เขาสอดมือไขว้กันในแขนเสื้อพลางเอ่ย
“เพราะเหตุใด” ขุนนางผู้น้อยคนก่อนหน้าถามอย่างสงสัย
ขุนนางผู้น้อยอีกคนก็ยู่ปากพเยิดหน้าชี้ไปทางโถงว่าการห้อง
หนึ่ง
“ใต้เท้าผู้ขยันขันแข็งผู้นั้นยังทำงานอยู่เลย” เขาเอ่ย
ใต้เท้าผู้ขยันขันแข็งอย่างนั้นหรือ
ขุนนางผู้น้อยชะงักไป
พอเห็นประตูของโถงว่าการห้องนั้นถูกเปิดออก ก็มีขุนนางหน้า
ยักษ์คนหนึ่งมองออกมาด้านนอก“ใครก็ได้มานี่ที ใครก็ได้มานี่ที ไปหาหนังสือเหล่านี้มาจาก
ศาลาว่าการจิงเจ้ามาให้ข้าที” เขาเอ่ยเสียงดังก้อง
ขุนนางผู้หน่อยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกคน ก่อนจะขานรับแล้วรีบ
วิ่งไป ค้อมตัวพยักหน้าแล้วยื่นมือออกไปรับงานก่อนจะหายไป
ราวกับหมอกควัน
ม้วนหนังสือกองใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ โต๊ะที่มีของวาง
กระจัดกระจายเต็มไปหมดอยู่ก่อนหน้าก็ยิ่งดูยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น
“ใต้เท้า นี่คือของที่ท่านให้ข้าไปยืมมากจากศาลาว่าการจิง
เจ้า” ขุนนางผู้น้อยเอ่ย
นายรองเฉิงขานตอบพลางเอื้อมมือเปิดพลิกดู
“ใต้เท้า ยังมีเวลาอีกนัก ท่านมิต้องรีบร้อนทำคดีหรอกขอรับ”
ขุนนางผู้น้อยเอ่ยประจบประแจง “พวกข้าจะช่วยเหลือใต้เท้าอย่างดี
”
ได้ยินมาว่าเฉิงต้งเป็นขุนนางชั้นต่ำที่เอาแต่สำ มะเลเทเมาจาก
เมืองห่างไกล แต่เพราะฮ่องเต้แต่งตั้งถึงได้มาเป็นขุนนางที่ศาลต้าห
ลี่ ไม่ว่าสำ นักใดในเมืองหลวงก็อยู่ยากเหมือนกันทั้งนั้นขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสร้างผลงาน
ยิ่งใหญ่ แต่ต้องเอาอกเอาใจผู้ใต้บังคับชาเก่าแก่ให้อยู่ในโอวาสเสีย
ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ สั่งสมผลงาน คดีเก่าที่ค้างมาแรมปีก็หยิบ
ยกขึ้นมาสะสาง หากทำได้ไม่ดีก็คงขายขี้หน้า ทั้งยังบั่นทอน
ความมั่นใจของตน
ดูท่าทางเฉิงต้งคงเกรงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น แต่คราวนี้เขา
คงกังวลมากไปเอง
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูเขามากำชับว่า
ห้ามกลั่นแกล้งเขาเป็นอันขาด แม้ผู้นั้นจะไม่เอ่ยปากกำชับ เพียงแค่
เขาแซ่เฉิงนามว่าต้ง มีลูกสาวแซ่เฉิง ก็เพียงพอให้เหล่าใต้เท้าคนอื่น
มาสอพลอแล้ว ใครจะไปกลั่นแกล้งกัน! ผู้ใดจะอยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่อง
ใส่ตัวเช่นนั้น
มีแค่เฝิงหลินเพียงคนเดียวก็พอแล้ว!
ขณะที่ขุนนางผู้น้อยกำลังเหม่อลอยคิดไปต่างๆ นานา ก็ได้ยิน
เสียงปึงดังขึ้น เฉิงต้งตบเข้าที่โต๊ะ
“หาเจอแล้ว!” เขาเอ่ยอย่างหน้าชื่นตาบานพอเงยหน้าขึ้นมาเห็นขุนนางผู้น้อยที่กำลังงุนงง ก็รีบปรับ
สีหน้าให้เรียบเฉย
“เจ้าออกไปเถิด”
พอไล่ขุนนางผู้น้อยออกไป นายรองเฉิงก็สูดหายใจลึกพลาง
เปิดพลิกหนังสืออย่างเร็วไว ไม่นานม้วนหนังสืออื่นบนโต๊ะก็ถูกดัน
ตกลงไป เหลือเพียงสี่ห้าม้วนที่กางอยู่
ภายในห้องมืดสลัว สายตานั้นพร่ามัว ทว่านายรองเฉิงกลับ
มองเห็นอักษณซื่อตัวที่เขียนว่าเจียวเหนียงแซ่เฉิงอย่างชัดเจนบน
หนังสือสีหน้าฉบับตรงหน้า
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ …” เขาเอ่ยเสียงเนิบช้า “ที่แท้ของที่ทิ้งไว้
ล้วนแต่เป็นชื่อของนาง แต่ไม่ใช่ตระกูลโจว…”
พูดถึงเพียงเท่านั้น เขาก็ยื่นมือออกไปตบโต๊ะอย่างแรงอีกหน
“เด็กบ้านี่เหลวไหลเสียจริง!”
เขาตวาดลั่น
“หากปู่ย่าพ่อแม่ยังอยู่ ไม่อาจแบ่งแยกสมบัติ อกตัญญู จำ คุก
สามปี”“ทำอะไรตามใจตนเช่นนี้ได้อย่างไร! มิน่าละถึงได้มีคนคอย
เล่นงานอยู่ตลอด เพราะตัวเองเผยจุดอ่อนให้คนเห็น!”
แม้ปากจะเอ่ยคำพูดแสนดุดัน ทว่าใบหน้าของนายรอง
เฉิงกลับเผยยิ้มออกมา
“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว ยังโชคดี ยังโชคดี ที่ข้ามาทันเวลา
ทั้ง
ยังมีคนเตือนให้รู้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าคงถูกคนเล่นงานเพราะเรื่อง
นี้เป็นแน่”