พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 449 ความคิด
หลังจากงานฉลองในวังหลวงจบลง แม้จะยังไม่ประกาศแต่งตั้งตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่วาจาสิทธิ์ของฮ่องเต้ แถมยังกล่าวต่อหน้าคนมากมายเช่นนั้น ทำให้งานเลี้ยงในครั้งนี้มีผู้คนมากหน้าแปลกตาจากหลายตระกูลเข้าร่วม ของขวัญที่เหล่าแขกเหรื่อมอบให้เพื่อแสดงความยินดีจึงกองล้นออกมาหน้าประตู
“ชายหกเล่า ชายหกเล่า” เสียงของฮูหยินโจวดังมาจากลานบ้าน “นายใหญ่ให้เขาไปรับแขก”
“หมอ หมอ หมอมาแล้วเจ้าค่ะ” บรรดาสาวใช้ตะโกน
“ใครให้ตามหมอมา ข้าให้ตามชายหก” ฮูหยินโจวเอ่ย
ในวันนั้นฮูหยินโจวหน้ามืดไปถึงสอบรอบ ครั้งแรกเป็นลมเพราะเห็นท่านชายโจวหกถือธนูเดินผ่านที่หน้าประตูเมือง พอฟื้นกลับมาได้ไม่นาน ก็เป็นลมไปอีกรอบเพราะรู้ข่าวเรื่องที่ฮ่องเต้เลื่อนยศให้ท่านชายหก นางหมดสติไปถึงสองครั้ง ครั้งแรกเพราะตื่นตกใจ ครั้งที่สองเพราะความดีใจ นายใหญ่โจวไม่วางใจนักจึงเชิญหมอมา
ฮูหยินโจวผลักสาวใช้ออกแล้วเดินจ้ำออกไปจากห้อง แสงแดดยามบ่ายยังคงเจิดจ้า ราวกับแสงสวรรค์สาดส่องลงมา
“ชายหกยังไม่กลับมา” มีคนเอ่ยขึ้น “หลังจากงานเลี้ยงในวังจบลง ก็ไม่เห็นเขาแล้ว”
ฮูหยินโจวนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมาในทันใด
“คงไปหาน้องสาวเขากระมัง” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเร่งเร้าบ่าวในเรือน “เร็วเข้า รีบส่งของขวัญในเรือนไปให้เจียวเจียวร์ด้วย แล้วก็ถามนางด้วยว่าอยากจะมาอยู่ที่เรือนสักวันสองวันหรือไม่… พูดจาอะไรก็เกรงใจนางด้วย… อย่าได้พูดมาก... รบกวนนาง…”
เหล่าแม่นมขานรับแล้วออกไป
ท่านชายโจวหกมาถึงเรือนสะพานอวี้ไต้ตั้งนานแล้ว แต่ฟ่านเจียงหลินกลับยังมาไม่ถึง เพราะเหล่าแม่ทัพไม่รีรอพาตัวเขาไปที่กองธนูแล้ว แต่เพราะข่าวการเลื่อนยศได้ถูกส่งมาถึงแล้ว ภายในเรือนก็จัดการตกแต่งประดับประดา เหล่าองครักษ์ บ่าวและสาวใช้ต่างยิ้มแย้มกันถ้วนหน้า
แม่นางหวงอุ้มเด็กน้อยนั่งประจันหน้ากับชายหนุ่มด้วยท่าทางร้อนรนไม่น้อย แต่เพราะในเรือนไม่มีใครอยู่เลย นางที่เป็นสะใภ้ใหญ่จึงต้องมารับแขกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อันที่จริงใครเป็นแขกกันแน่ก็บอกได้ไม่แน่ชัดเช่นกัน เพราะชายหนุ่มตรงหน้าก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่นางเฉิง
“ตอนพวกเจ้ามาถึง นางก็ออกไปแล้ว” แม่นางหวงเอ่ย
“ไปที่ใดหรือ” ท่านชายโจวหกถาม
แม่นางหวงส่ายหน้า
หญิงผู้นั้นก็แปลกคนเช่นนี้ ทำการอันใดก็ไม่เคยบอกใคร ท่านชายโจวกหกขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แต่พอก้าวพ้นประตูได้ก็อะไรขึ้นได้อีกจึงหันหลับกลับ ท่าทางดูกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
“รบกวนสะใภ้ใหญ่แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นในทันใด ไม่รอให้แม่นางหวงตอบก็ขึ้นม้าแล้วควบออกไปโดยพลัน
แม่นางหวงมองดูชายหนุ่มที่ออกไปอย่างรีบร้อนจึงได้สติขึ้นมา
“ไม่รบกวนเลย ไม่รบกวนเลย” นางเอ่ยไม่หยุดปาก
ผู้คนบนถนนเดินกันพลุกพล่าน พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ยิงธนูหน้าประตูเมืองกันไม่หยุดหย่อน
“เช่นนั้นธนูก็ใหญ่มากน่ะสิ…”
“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า เจ้าเห็นแล้วหรือ ขนาดพอๆ กับธนูธรรมดาเลย…”
“…ฮ่องเต้ตั้งชื่อให้ด้วยว่าธนูเสินปี้…”
“…ชักอยากจะให้พวกโจรตะวันตกได้เห็นของวิเศษนี้แล้วสิ ไม่รู้ว่าพวกมันจะกลัวจนฉี่ราดหรือเปล่า…”
“…เอาเป็นว่าดอกเดียวก็ยิงทะลุโล่ที่ตั้งอยู่ไกลมากได้ก็แล้วกัน…”
“…แม่ทัพมากมายกำลังแย่งกันยกกองทัพของตัวเองออกไปฆ่าศัตรู… เจ้าเจียงเหวินหยวนนั่นรีบไสหัวไปสักที อย่าได้ขวางทางผู้อื่น”
ท่านชายโจวหกฝ่าฝูงชนจนออกมาจากประตูเมืองตะวันออก มองออกไปก็เห็นรถม้าและเหล่าองครักษ์แสนคุ้นตาอยู่ไกลออกไปอย่างที่คิดไว้ เขากระตุกม้าให้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกเขาจากอีกฝั่ง
ท่านชายโจวหกเหลียวมอง ก็เห็นท่านชายฉินสิบสามที่ยืนอยู่ริมทางกำลังโบกมือยิ้มให้
“ไม่รู้ว่าสายตาเจ้าดีหรือไม่ดีกันแน่ โล่กำบังตั้งอยู่ไกลเสียขนาดนั้นแต่กลับยิงทะลุด้วยธนูดอกเดียว แต่ท่านชายรูปงามอย่างข้ายืนอยู่ใกล้เจ้าเพียงแค่นี้ เจ้ากลับมองไม่เห็น” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุยออกมา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เขาถลึงตาถาม
“แน่นอนว่าไม่ได้มารอเจ้า” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย
ท่านชายโจวกหกส่งเสียงฮึดฮัด ไม่สนใจเขาก่อนจะเดินต่อไป ท่านชายฉินสิบสามเอื้อมมือไปรั้งเขาไว้
“อย่าไปเลย” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
“ข้าว่าตอนนี้นางคงอยากอยู่ตามลำพังสักพัก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยก่อนจะเพยิดคางชี้ออกไป
ท่านชายโจวหกมองตาม ก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่บนพื้น กำลังแกะสลักป้ายชื่อหน้าหลุมศพอย่างตั้งใจ เสียงกะเทาะครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงตึงตังที่ดังขึ้นราวกับเสียงหัวใจของมนุษย์ที่เต้นตึกตัก
ท่านชายโจวหกหยุดฝีเท้าลง ยืนอยู่ข้างกายท่านชายฉินสิบสาม
“ยินดีด้วยนะ” จู่ๆ ท่านชายฉินสิบสามก็เอ่ยขึ้น
ท่านชายโจวหกหน้าบึ้งตึง
“เจ้านี่ หัดรับคำยินดีจากคนอื่นเสียบ้าง ไมตรีจิตจากผู้อื่นไม่ได้ทำให้เจ้าเสียหายอันใดเสียหน่อย” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“พูดมาก” ท่านชายโจวหกเอ่ยแล้วหันไปมองค้อนเขา “ปีหน้าก็จะสอบแล้ว เจ้าจะสอบติดกับเขาจริงหรือ ออกมาเที่ยวเล่นทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้”
ท่านชายฉินสิบสามราวกับไม่ยิน เอาแต่จับจ้องไปยังเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่อีกฝั่ง
ท่านชายโจวหกยกเท้าขึ้นเตะเขา ท่านชายฉินสิบสามถอยหลังหลบ
“คำถามงี่เง่าเช่นนี้ของเจ้า ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดก็ได้ยินเสียงม้าควบมาอย่างว่องไวบนถนน เขาเหลียวกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นฟ่านเจียงหลิน
เหมือนกับท่านชายโจวหกไม่มีผิด ดวงตาของฟ่านเจียงหลินจับจ้องเพียงเฉิงเจียวเหนียง ไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่ในสายตา ก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าไป
“ท่านชายใหญ่” ปั้นฉินคำนับแล้วยิ้มให้ “ยินดีกับท่านชายใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”
คำยินดีนั้นพาลให้ดวงตาของฟ่านเจียงหลินแดงก่ำขึ้นมา เขาก้าวฉับเข้าไปใกล้ มองดูเฉิงเจียวเหนียงที่ถือสิ่วอยู่ในมือเหลียวมองมา
“น้องสาว” เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาเพียงคำเดียว
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“วันหน้าคงลำบากท่านพี่แล้ว” นางเอ่ย
“หากมีชีวิตอยู่ก็อย่าได้กลัวความยากลำบาก” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย สายตามองไปที่ป้ายหลุมศพ
อักษรสองตัวคำว่าสวีและเม่าปรากฏเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เหลือเพียงอักษรซิวอีกหนึ่งตัว
สวีเม่าซิว…
ฟ่านเจียงหลินนั่งลงในทันใด เขาก้มหน้าลงบีบน้ำตาหยดให้ลงดินแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม
“พี่ช่วยน้องเอง” เขาพูดออกมาแม้จะไม่รู้ว่าช่วยอะไรได้
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ท่านพี่ช่วยส่งของให้ข้าก็แล้วกัน” นางเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินขานรับ มองดูเฉิงเจียวเหนียงเริ่มแกะสลักตัวอักษรอีกครั้ง ค่อยๆ กะเทาะทีละนิดทีละน้อย ไม่พลิ้วไหวเหมือนยามเขียนด้วยพู่กัน ทว่าลึกซึ้งกว่านัก
“…พี่พูดตามที่น้องสอนทั้งหมด ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่นิด ฮ่องเต้พอใจยิ่งนัก” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย
“คำพูดทั้งหมดล้วนแต่เป็นความสัตย์จริง ไม่มีโป้ปด คนฟังย่อมพอใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้า
“…ท่านชายโจวได้เลื่อนยศ จากนั้นฝ่าบาทก็ถามข้า… แล้วก็ แล้วแม่นางตระกูลเฉินก็ได้อวยยศเป็นรางวัลเช่นกัน แต่ตำแหน่งใดข้าได้ยินไม่ชัดนัก… เอาแต่ตั้งใจฟังพวกใต้เท้าทั้งหลายพูดคุยกัน…”
ท่ามกลางเสียงกะเทาะแกะสลัก ฟ่านเจียงหลินบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้ม แม้จะไม่ได้เอ่ยคำใดมากนัก แต่ดูจากแววตาก็รู้ว่านางนั้นตั้งใจฟังอยู่
ความจริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดล้วนแต่เกี่ยวข้องกับนาง ทว่าตอนนี้นางกลับกลายเป็นคนนอกที่ฟังเรื่องเล่าจากผู้อื่น
จู่ๆ เสียงของฟ่านเจียงหลินก็เงียบลง สิ่วในมือของเฉิงเจียวเหนียงชะงักไปก่อนจะเหลียวมองเขา
“น้องสาว” เขาเอ่ย “เดิมทีทุกอย่างควรเป็นของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่รับไว้ แต่กลับมอบให้ข้า… ให้พวกข้า…”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม
“สิ่งเหล่านั้นอยู่กับท่านพี่แล้วมีค่า แต่อยู่กับค่าแล้วไร้ค่า ของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เขาจะมีไว้ทำไมกัน เหนื่อยใจเสียเปล่า” นางเอ่ย “สิ่งของนั้นต้องใช้ให้สมประโยชน์ ไม่ใช่แค่สิ่งของ คนก็เช่นกัน”
ของไม่มีประโยชน์…
จึงไม่ต้องการ...
ฟ่านเจียงหลินเข้าใจเพียงแค่กึ่งหนึ่ง ในเมื่อน้องสาวบอกว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างที่ว่ากระมัง เขาพยักหน้าพลางส่งค้อนให้เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยังคงแกะสลักตัวอักษรต่อไป
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ไม่มีอะไร สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ดีกว่านี้ พวกเขาก็เคยครอบครองทั้งหมดแล้ว
มีแล้วอย่างไรเล่า ใช่ว่าจะไม่มีอีกต่อไปเสียหน่อย
ท้องฟ้ายามราตรีคืบคลานเข้ามา ภายในงานเลี้ยงของเรือนตระกูลเฉินนั้นไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่นางเฉินสิบแปดผู้เป็นคนสำคัญในงาน
“นางออกไปข้างนอกหรือ” ฮูหยินเฉินถามอย่างตกใจ
สาวใช้เบื้องหน้าพยักหน้า
“ค่ำมืดป่านนี้ไปที่ใดกัน” ฮูหยินเฉินถาม อีกอย่างญาติมิตรทั้งหลายตั้งใจมาพบนางขนาดนี้ เด็กคนนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไม่รู้ความเสียมารยาทกับแขกมากมายเช่นนี้
“ไปเรือนแม่นางเฉิงเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
ฮูหยินเฉิงและเฉินเซ่าสบตากัน
คิดอย่างไรถึงได้ไปหานางดึกดื่นเช่นนี้
“เดิมทีนอกจากตันเหนียงแล้ว ก็มีแม่นางสิบแปดที่สนิทสนมกับนาง วันนี้ได้อวยยศ ก็คงอยากให้นางร่วมยินดีกระมัง” ฮูหยินเฉินเอ่ย
“ก็ไม่จำเป็นต้องไปยามนี้เสียหน่อย ไปวันพรุ่งนี้ก็ยังได้” เฉินเซ่าเอ่ยพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “แต่ก่อนตอนที่แม่นางสิบแปดไปที่เรือนแม่นางเฉิงบ่อยๆ นางบอกว่าไปคัดอักษรใช่หรือไม่”
ฮูหยินเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว นางก็จำไม่ได้
“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” นางเอ่ย
อย่างนั้นหรือ เฉินเซ่าลูบเคราขมวดคิ้วไม่เอ่ยคำใด
ขณะเดียวกันแม่นางเฉินสิบแปดกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเฉิงเจียวเหนียง นางค้อมตัวลงแล้วยื่นราชโองการให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจอันอยากจะปกปิด
เฉิงเจียวเหนียงหยิบขึ้นมาดูแล้ววางลง
“ขอข้าดูอักษรของเจ้าหน่อย” นางเอ่ย
แม่นางเฉินสิบแปดขานรับ ก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนอักษรไว้ขึ้นมาหนึ่งแผ่น พลางจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาประหม่าและคาดหวัง
ภายใต้แสงของโคมไฟทั้งสี่ ใบหน้าของหญิงผู้นั้นดูอ่อนโยนนัก ความรู้สึกแสนห่างเหินนั้นจางหายไปหลายเท่าตัว ทว่าไม่นานดวงตาทั้งสองที่ก้มอยู่ของหญิงสาวก็เงยขึ้นมา แววตาอันล้ำลึกนั้นปิดบังประกายจากแสงไฟไปหมดสิ้น
แม่นางเฉินสิบแปดเบือนสายตาไปทางอื่น
“ไม่เลว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ไม่…ไม่เลวอย่างนั้นหรือ
รอยยิ้มของแม่นางเฉินสิบแปดดูกระอักกระอ่วน
“ขอบคุณแม่นางนัก” นางคำนับเอ่ย
ภายในห้องเงียบสงัด บรรยากาศแสนอึดอัด
“อ๋อ มีอีกอย่าง ยินดีกับแม่นางด้วย ที่สมปรารถนา” แม่นางเฉินสิบแปดนึกขึ้นได้ก็เอ่ยขึ้นในทันใด หมายจะคลายบรรยากาศแสนกระอักกระอ่วนนี้ลง
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ขอบใจ” นางเอ่ย
ขอบใจแต่กลับส่ายหน้า ตกลงนางดีใจหรือไม่ดีใจกันแน่
แม่นางเฉินสิบแปดเม้มริมฝีปากล่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ตัวเองมาหานางเช่นนี้
ภาพที่เคยคิดว่าอยากจะขอบคุณนางและร่วมยินดีกับตนราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ…
อันที่จริงตนเองกับนางคงไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นตั้งแต่แรกกระมัง นางถึงไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอันใดกับตนมากนัก
หรือว่าในสายตาของนางการได้อวยยศนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด…
“แม่นางเองก็ถวายอักษรที่แม่นางเขียนให้ฝ่าบาทดูสิ ฝ่าบาทโปรดการเขียนอักษรนัก…ต้องได้อวยยศ…” นางเอ่ยขึ้นในทันใด
นางยังไม่ทันได้พูดจบ สายตาของหญิงสาวเบื้องหน้าก็จ้องเขม็งมาที่นาง
พอถูกสายตาเช่นนั้นจับจ้อง แม่นางเฉินสิบแปดก็ลนลานขึ้นมาในทันใดจนพูดต่อไม่ออก
“เฉินซู่ เหตุใดเจ้าถึงเขียนอักษร” เฉิงเจียวเหนียวถาม
แม่นางเฉินสิบแปดชะงักไป
“เพราะชอบข้าชอบคัดอักษร..” นางเอ่ย
“ไม่ใช่ เจ้าคัดอักษรเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมเจ้าว่าเก่ง” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าแล้วเอ่ยแทรกขึ้น “เฉินซู่ อยากจะเป็นคนที่ตนเองชอบ อยากเป็นคนที่ตัวเองนับถือ”
นี่เป็นคำพูดที่นางเคยพูดในตอนนั้น…
แม่นางเฉินสิบแปดนิ่งไป
“เฉินซู่” เฉิงเจียวเหนียงมองนาง “เจ้ากลัวอะไรอยู่”
กลัวอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ
ข้ากลัวอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ
แม่นางเฉินสิบแปดกัดริมฝีปากล่างของตน ใบหน้าซีดเผือด
“ข้ากลัว…” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ข้ากลัวว่าจะไม่ดี…ดีไม่พอ… ดีไม่เท่าแม่นาง… ข้าสู้แม่นางไม่ได้…”
นางพูดถึงเพียงเท่านี้แล้วเงยหน้าขึ้น
“ใช่ ข้ากลัวว่าจะสู้แม่นางไม่ได้ ข้าสู้แม่นางไม่ได้”
ปั้นฉินที่นั่งอยู่หน้าประตูก้มหน้าทอดถอนใจ
“น่ารังเกียจใช่ไหมเจ้าคะ เฉินซู่คิดเช่นนี้น่ารังเกียจใช่ไหมเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดพูดด้วยใบหน้าขาวซีด มือที่วางอยู่บนตักกำแน่น “ข้าอยากจะชอบตัวเอง อยากเป็นคนที่ตัวเองชอบ แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าคิดว่าข้าทำได้แล้ว แต่ว่า… แต่ว่า…”
พอได้พบหน้ากับหญิงผู้นี้ ไม่สิ พอได้ยินชื่อของหญิงผู้นี้ นางก็รู้อยู่แล้ว ว่านางไม่มีทางทำได้…
นางยกมือขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้สะอื้น
“เช่นนี้นี่เอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า “หากเจ้าแข่งกับผู้อื่นเช่นนี้ก็ยากแล้วล่ะ เช่นนั้นแล้วเจ้าคงไม่มีวันชอบตัวเองได้”