พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 442 มาแล้ว (1)
เมืองหลวงยามเดือนเก้า สายฝนสาดเทลงมาเพิ่มความหนาวเย็น
คนและม้าขบวนหนึ่งควบเข้ามาบนถนนใหญ่ พอเห็นธงริมทางข้างหน้า หนึ่งในนั้นก็กระตุกม้าให้หยุดลง
“ดูนั่น นั่นเรือนไท่ผิง เต้าหู้ของพวกเขาไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย” เขาเอ่ยขึ้น “พวกเราไปแวะพักเอาแรงที่นั่นกันเถอะ”
ทุกคนพากันเหลียวไปมองพลางพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ขณะที่คนกลุ่มนั้นกำลังจะพากันเข้าไป ก็มีคนตะโกนรั้งพวกเขาจากริมถนน
“อย่าไปเลย อย่าไปเลย ตอนนี้ไปไม่ได้หรอก” คนริมถนนโบกมือพลางเอ่ยขึ้น
คนกลุ่มนั้นดูตกใจและงุนงง
“เหตุใดถึงไปไม่ได้” พวกเขาถาม
“เจ้ามาจากต่างถิ่นคงไม่รู้สินะ ตอนนี้เรือนไท่ผิงมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลน่ะสิ” คนริมถนนตอบ
คนหนึ่งได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา
“อ๋อ ขึ้นศาลนี่เอง มีอะไรน่ากลัวกัน” เขาเอ่ย
พวกพ้องที่มาด้วยกันได้ยินคำพูดนั้นก็ตกใจไม่น้อย
“มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลยังไม่น่ากลัวอีกหรือ” เขาเอ่ย
“พวกเจ้าไม่รู้อะไร เรือนไท่ผิงน่ะเส้นสายใหญ่โต” คนผู้นั้นเอ่ย “แต่ก่อนก็เคยมีเรื่องหนหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่มีปัญหาใด”
บรรดาพวกพ้องพยักหน้า
“แต่คราวนี้ไม่แน่” คนริมถนนเอ่ยพลางส่ายหน้า “เพราะคราวนี้เส้นสายใหญ่ต้องปะทะกับฮ่องเต้น่ะสิ”
ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ
คนกลุ่มนั้นตกตะลึง พวกเขาหันมาสบตากันพลางฟังคนริมถนนเล่าเรื่อง จากนั้นก็รีบกระตุกแส้ม้ากลับหลังในทันใด ก่อนจะควบออกไปตามถนนใหญ่โดยไม่รีรอ
แม้ผู้คนที่เดินขวักไขว่กันบนถนนจะไม่ได้พากันมาที่เรือนไท่ผิงเหมือนแต่ก่อน แต่ในเรือนไท่ผิงก็ใช่ว่าจะเงียบเหงาไร้ผู้คน
ภายในโถงใหญ่ยังมีคนนั่งอยู่หลายโต๊ะ มีทั้งชาวเมือง มีทั้งพ่อค้า ทั้งยังมีบรรดาบัณฑิตอีกหลายคนกินดื่มกันอย่างครื้นเครง แม้จะฐานะต่างกัน ทว่าหัวข้อสนทนาล้วนแต่พูดถึงเถ้าแก่ใหญ่ของเรือนไท่ผิงในยามนี้ และเรื่องข้อพิพาทของพี่น้องแห่งเขาเม่าหยวนซานกับราชสำนัก
เพราะข่าวลือที่ว่าแม่นางเฉิงเป็นลูกศิษย์ของนักพรตหลี่ เหล่าชาวมือจึงยืนอยู่ข้างนางเป็นส่วนใหญ่
“เหตุใดถึงไม่ลองคิดดู นางเป็นถึงศิษย์ของนักพรตหลี่เชียวนะ จะพูดโกหกได้อย่างไร”
“นั่นน่ะสิ แต่ว่าราชสำนักนี่น่าชังเสียจริง แม้แต่ลูกศิษย์ของเทพเซียนยังกลั่นแกล้งได้ คนธรรมดาอย่างพวกเราคงไร้หนทางรอด”
พอได้ยินชาวเมืองโต๊ะข้างกันหัวเราะกระซิบกระซาบ เหล่าพ่อค้าอีกโต๊ะหนึ่งก็พากันส่ายหน้า
“…เหตุใดจะกลั่นแกล้งไม่ได้ ในมือของลูกศิษย์เทพเซียนมีเคล็ดวิชามากมาย นั่นมันเงินทั้งนั้นเชียวนะ…”
“…เช่นนั้นก็แปลว่าแม้จะชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด หากไม่มีเส้นสายแล้วละก็…”
“…ก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นสายเลยเสียทีเดียว นางก็เป็นลูกสาวตระกูลขุนนางเหมือนกัน…”
“…ตระกูลขุนนางมีถมเถไป เกิดเป็นลูกสาวขุนนางแล้วอย่างไรเล่า พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ใครก็ช่วยไม่ได้ อำนาจก็ไม่มี ยังจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย”
พอได้ยินเหล่าพ่อค้าพูดคุยกัน บรรดาบัณฑิตก็พากันพยักหน้า
“จะว่าไปก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง คนเราไม่มีเส้นสาย แม้นจะมีชื่อเสียงก็เหมือนมีมีดคมอยู่กับตัว สุดท้ายก็กลายเป็นตัวเองที่เจ็บตัว” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ว่าแต่เรื่องมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ขึ้นอยู่กับปากคน” คนหนึ่งยกถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แต่ดูท่าทางแล้วตอนนี้…” บัณฑิตคนก่อนหน้าเอ่ยพลางยิ้มแล้วพเยิดหน้าบอกให้คนที่นั่งอยู่ในห้องโถง “ทุกหัวมุมถนน ทุกตรอกซอกซอย ล้วนแต่ก่นด่าราชสำนัก ไม่รู้ว่าหากมีหลายปากพูดขนาดนี้จะเป็นผลหรือไม่”
“อย่าว่าแต่ชาวเมืองเลย มีขุนนางออกมาพูดปกป้องแม่นางเฉิงมากมาย หากแม่นางพูดนั้นต้องติดคุกในกรมขุนนางเข้าจริงคงจะอยู่สบายเชียวล่ะ เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะตอบแทนพระคุณแม่นางหมอเทวดาอย่างไรเล่า คนเราก็เป็นเช่นนี้แล คนมีบุญคุณก็ย่อมต้องทดแทน พูดถึงเขาในแง่ดี ไม่ได้มีเหตุมีผลอันใดหรอก”
เสียงพูดคุยหัวเราะในห้องโถงลอดผ่านหน้าต่างขึ้นไปยังชั้นสอง ท่านชายโจวหกก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“ก็ปิดร้านไปเสียสิ จะเปิดร้านไปทำไม มีแต่พวกพูดจาเหลวไหล” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเขวี้ยงจอกเหล้าทิ้งข้างโต๊ะ
“ตอนนั้นก็บอกว่ามีธุระทางบ้านแล้วปิดร้านไปตั้งสามวัน เจ้าคิดว่าจะหยุดข่าวลือพวกนี้ไปอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับข้อกล่าวหาของทางการสิ” ท่านชายสิบสามเอ่ย
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด
“เจ้าคิดว่าเปิดร้านแล้วเท่ากับไม่ยอมรับอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย
“แน่นอนสิ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางแกว่งถ้วยชาในมือ “หากเจ้าไม่ยอมรับ เรื่องนั้นก็เป็นเพียงแค่ลมปากคน”
ท่านชายโจวหกยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างหงุดหงิด สายตาหันไปมองถนนใหญ่นอกหน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา แต่เพราะขยับร่างเร็วเกินไปจนลืมวางถ้วยชาในมือ น้ำชาจึงหกเลอะไปทั้งตัว
“มาแล้ว!” เขาตะโกนขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามรีบลุกขึ้นมองตาม แต่ม้าสองตัวบนถนนก็ควบผ่านไปเสียแล้ว แม้จะเคลื่อนไปอย่างว่องไว แต่ก็ยังมองออกว่านั่นคือม้าเร็วของราชสำนัก
“เร็วกว่าที่คาดไว้นัก ท่าทางเรื่องนี้คงมีคนรับช่วงต่อแล้วล่ะ” เขาเอ่ยเสียงเนิบ
ท่านชายโจวหกได้ยินเช่นนั้นก็หันควับไปมองเขา
เรื่องอะไร มีคนมารับช่วงต่ออะไร รับช่วงต่อเรื่องอันใด ที่พวกเขากังวลกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรอกหรือ
ม้าเร็วควบผ่านประตูเมืองวิ่งเข้าสู่ถนนอย่างคล่องตัวเพราะผู้คนที่สัญจรไปมาพากันหลีกทางให้ พาลให้เสียงตะโกนดังโหวกเหวกดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เรือนตระกูลโจวที่ตั้งอยู่ในตรอกกลางเมืองแสนพลุกพล่านย่อมรู้ข่าวนี้แล้ว
“รีบไปถามมา รีบไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น” ชายชราเร่งเร้าบ่าวหนุ่ม
“ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้ท่านลุงเป็นอะไรไป เหตุใดถึงได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านนัก” บ่าวหนุ่มบ่นพึมพำ แต่ก็ยังพาตัวเองเดินออกไปตามถนน
ไม่นานเขาก็กลับมา
“ม้าเร็วเพิ่งวิ่งผ่านมาขอรับ”
บ่าวหนุ่มเพิ่งจะพูดจบชายชราก็ลุกพรวดยืนขึ้น
“สวรรค์เมตตา ในที่สุดก็มาเสียที!” เขาเอ่ย ไม่รอให้บ่าวหนุ่มได้สติก็พุ่งตัวออกไปยังลานท้ายเรือนในทันใดราวกับถลาบิน
ระเบียงหน้าประตูเรือนของนายท่านที่ต้องอยู่ท้ายลานบ้าน มีสาวใช้นางหนึ่งกำลังก้มหน้าร้องไห้
“ปั้นฉินเอ๋ย เรื่องนี้ใช่ว่าใครที่ไหนจะช่วยได้”
นายท่านจางยืนอยู่กลางลานบ้าน บอกกับนางขณะตัดแต่งกิ่งของพุ่มต้นชา
“คราวนี้นายหญิงของเจ้าทำการมุทะลุนัก” เขาเอ่ย “แม้จะเป็นเรื่องอยุติธรรมถึงเพียงใด แต่ก่อเรื่องเสียวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ ในสายตาของฮ่องเต้อย่างไรก็ผิดอยู่วันยังค่ำ”
สาวใช้ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
“นายใหญ่ของเจ้าไม่ชอบเรื่องผีสางเทวดาอะไรพวกนั้นเสียด้วย ใช้ชื่อเสียงของตนมาบีบบังคับชาวเมือง บีบบังคับเหล่าขุนนาง เรื่องเช่นนี้ อย่าได้หวังว่าเขาจะออกหน้าพูดให้”
“แต่หากเกิดอันใดขึ้นกับนายหญิงของข้าขึ้นจริงๆ” สาวใช้สะอื้นเอ่ย “นางก็จะ…”
นางพูดถึงเพียงเท่านั้นก็หยุดลง
มือของนายท่านจางที่ถือกรรไกรอยู่ก็ชะงักไป ขณะกำลังโน้มตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับกระถาง
ก็คงถูกจับผูกกับสายล่อฟ้า รอให้ฟ้าผ่าลงมา
แม้จะพอเดาออกตั้งแต่ต้น แต่ก็เพิ่งได้ยินเองกับหูวันนี้
แม่นางน้อยผู้นี้หนอ...
นายท่านจางส่ายหน้าแล้วลุกยืนขึ้น
“ปั้นฉิน เจ้าอย่าได้กังวลไป” เขาเอ่ย
แม่นางผู้นี้โกงโชคชะตา บีบบังคับคนเก่งเหลือเกิน ถึงจะเป็นคนรักษากฎ แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเมตตา แม้ตอนแรกที่เขายกสาวใช้นางนี้ให้ไปใช้งานก็เพราะเห็นแก่อนาคต ส่วนนางนั้นก็ใช้ประโยชน์จากการนี้โดยไม่รีรอ ว่ากันตามตรงก็เหมือนคนไร้หัวใจ แต่ความจริงหากทำเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอันใดเสียหน่อย
คนไม่เคยกลัวตายเช่นนาง ผลใดที่ผู้อื่นคาดการณ์ได้ นางก็ย่อมรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วเช่นกัน คนเช่นนางจะเอาเท้าไปย่ำบนกองไฟอย่างนั้นหรือ
นางต้องวางแผนต่อจากนี้แล้วแน่นอน
เพียงแต่จะบอกเรื่องนี้กับสาวใช้ก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร
“ปั้นฉิน ปั้นฉิน ม้าเร็วมาแล้ว ม้าเร็วมาแล้ว” เสียงตะโกนของผู้เฒ่าดังมาจากลานบ้าน
เช่นนั้นก็รอดูก็แล้วกัน อีกไม่นานก็คงได้รู้กันแล้วสินะ
นายใหญ่เฉินยิ้มก่อนจะหันกลับไปตัดแต่งกิ่งในกระถางต้นไม้ต่อ
ขณะที่ม้าเร็วกำลังควบเข้ามาอย่างเร็วรี่นั่น การประชุมประจำราชสำนักก็กำลังดำเนินต่อไป
“ไม่ว่าจะเป็นกิจการทหารหรือราชสำนักก็ล้วนแต่เกี่ยวกับชาวเมืองทั้งนั้น ยามนี้บ้านเมืองวุ่นวาย มีแต่คนพูดถึงข่าวลือต่างๆ นานาของเขาเม่าหยวนซาน” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีหน้าเรียบเฉย
ตั้งแต่วันที่หลูเจิ้งยื่นคำร้อง ทั้งเมืองหลวงก็พากันพูดถึงเขาเม่าหยวนซานไม่หยุดหย่อน บวกกับฮ่องเต้ได้รับสั่งให้ไปตรวจสอบจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ขุนนางทั้งกรมขุนนางก็วุ่นกันสายตัวแทบขาด ทั้งยังมีคนมากมายถือโอกาสนี้ยื่นคำร้องต่อราชสำนักอีกด้วย