พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 38 เลือก
“จะให้ส่งไปวัดเต๋าตามที่เจ้าว่างั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงกล่าว
สาวใช้ยกน้ำชาให้ นายใหญ่ยกขึ้นจิบอย่างพอใจ
“ชานี้ดีนัก พระสงฆ์จากวัดว่านหนิงที่มาอยู่ใหม่เป็นคนคั่ว ข้าไหว้วานให้หลายคนช่วยกว่าจะได้มากาหนึ่ง” เขากล่าว
“ก็แค่จ่ายเงินมากหน่อย ไม่เห็นจะยากอะไรนี่เจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยขึ้น
นายใหญ่เฉิงหัวเราะ
นอกจากชาแล้ว เขาไม่มีอะไรที่โปรดปรานเป็นพิเศษ
“ส่งไปวัดเต๋าไม่ใช่ความตั้งใจของข้า” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “แต่เป็นความตั้งใจของท่านแม่”
สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามาจากโถงด้านนอก นางกระซิบข้างหูฮูหยินใหญ่สองสามคำแล้วถอยออกมา
“มีเรื่องอะไรให้น่าอับอายอีกหรือ” นายใหญ่เฉิงถาม
“น้องรองขายสาวใช้ไปแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจอย่างจนปัญญา “พออายุมากขึ้น ชิงเนียงก็ดูเหมือนจะอารมณ์ร้อนยิ่งขึ้น”
“พาลหาเรื่องอีกแล้ว” นายใหญ่เฉิงวางถ้วยน้ำชาลงอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่ดูแลนางบ้าง”
“ข้าไม่กล้าหรอกจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว นางหยุดพูดไปชั่วขณะ “ตั้งแต่เด็กคนนี้เข้ามา ก็เอาแต่สร้างเรื่องวุ่นวายให้แก่ตระกูล”
“หากเป็นเช่นนั้น ก็ส่งนางไปออกไปเสีย” นายใหญ่เฉิงกล่าว
“ต้องไปบอกคนของตระกูลโจวก่อนหรือไม่เจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม
พูดยังไม่ทันจบประโยค สาวใช้นางหนึ่งก็เดินเข้ามาจากประตูด้านนนอกอย่างรีบเร่ง
“นายใหญ่ ฮูหยินเจ้าคะ ตระกูลโจวส่งคนมาเจ้าค่ะ” นางกล่าว
พูดยังไม่ทันขาดคำก็โผล่มาเสียแล้ว แล้วเหตุใดถึงมาอีกเล่า
นายใหญ่เฉิงและภรรยาสบตากันด้วยความประหลาดใจ
การมาเยือนของตระกูลโจวคราวนี้ถือว่าดีกว่าคราวก่อน ครั้งนี้มีชายสี่คนและหญิงอีกสี่คน กิริยาท่าทางเหมือนกับเจ้านายตระกูลโจวคนอื่นๆ ที่เคยพบมา
“นายใหญ่และฮูหยินให้พวกข้ามาในวันนี้ เพื่อมาจัดการเรื่องสินสอดทองหมั้นของนายหญิงใหญ่ตระกูลโจวขอรับ” พ่อบ้านหนึ่งในบรรดาผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น
คนตระกูลเฉิงต่างตกตะลึง
“เหลวไหลสิ้นดี!” นายรองเฉิงตะโกนพลางนั่งตัวตรง
“นายรองอย่าโกรธไปเลยขอรับ” พ่อบ้านโค้งตัวกล่าว “ตอนที่แม่นางเจียวเหนียงยังไม่ได้กลับมา ก็คิดว่านางจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้นาน ดังนั้นนายใหญ่กับฮูหยินจึงไม่ได้วางแผนใดๆ ไว้ แต่ตอนนี้แม่นางเจียวเหนียงกลับมาแล้ว อายุก็ไม่น้อยแล้ว หากวันหน้านางออกเรือน สินสอดเหล่านี้ก็ต้องเอาไปด้วย”
นายใหญ่และฮูหยินเฉิงสีหน้าประหลาดใจ
คนบ้าอย่างนางยังคิดว่าตนจะได้ออกเรือนอีกหรือ
คนของตระกูลโจวหน้าแดงเพราะรู้ตัวว่าตนพูดจาเหลวไหล
“ดังนั้นนายใหญ่และฮูหยินจึงให้พวกเรามาดูแลสินสอดทองหมั้นของนายหญิงใหญ่ เพื่อให้นายหญิงแต่งออกเรือนอย่างสง่างาม” พ่อบ้านพูดต่อ
“พวกเจ้าคิดว่าตระกูลเฉิงของเราอยากได้สินสอดของเจียวเนียงอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มเยาะถาม
“นายใหญ่และฮูหยินไม่คิดเช่นนั้นหรอกขอรับ เพียงแค่อยากให้สินน้ำใจแก่เฉิงเจียวเหนียงขอรับ” พ่อบ้านกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “หากไม่แน่ชัดว่าสิ่งใดใช่หรือไม่ใช่ จะเชิญขุนนางมาช่วยตรวจสอบสินสอดตามบัญชีก็ย่อมได้ นายใหญ่และฮูหยินจะได้มิต้องถูกตราหน้าอย่างไร้เหตุผลขอรับ”
“มีบัญชีทั้งหมดอยู่ จะไม่แน่ชัดได้อย่างไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “อยู่ๆ จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร”
ในเมื่อตนไม่ได้ผลประโยชน์อันใด ผู้อื่นก็ต้องไม่ได้เช่นกัน
ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจ
“พวกเจ้ามาที่นี่พอดี” นางกล่าว “ไปพบแม่นางเจียวเหนียงสิ อีกไม่กี่วันนางก็จะไปวัดเต๋ารักษาตัวแล้ว”
คนของตระกูลโจวต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ทว่าพวกเขาได้รับคำสั่งก่อนหน้านี้ว่าให้พ่อบ้านเป็นผู้ตัดสินใจ พวกเขาจึงก้มหน้าไม่พูดอะไร
“แม่นางไม่ได้ป่วยสักหน่อย เหตุใดถึงต้องส่งไปวัดเต๋า” พ่อบ้านถาม “หากข่าวนี้เล็ดลอดออกไป คนอื่นเขาจะพูดว่าอย่างไร“
“พูดว่าอย่างไรอย่างนั้นหรือ นักพรตเต๋าเคยดูดวงชะตาของนางแล้วว่ามีแค่สามหุนหกพ่อ ขาดไปหนึ่งพ่อ จึงต้องส่งไปวัดเต๋าถึงจะทำให้พ่อครบทั้งเจ็ด” นายรองกล่าวด้วยถ้อยคำเสียดสี “พวกเจ้าไม่ใช่ไม่รู้นี่ หากไม่เชื่อพวกข้า ในเมืองหลวงมีหมอดีมากมาย พวกเจ้าลองส่งนางไปหาหมอดู”
พ่อบ้านยิ้มและโค้งคำนับ
“มิบังอาจขอรับ ท่านจะทำอย่างไรก็ดีทั้งนั้น เพราะนายหญิงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ผิดที่ข้าเองที่เชื่อในคำโกหกเหล่านั้น” เขากล่าวขอโทษ
นายใหญ่เฉิงกับนายรองเฉิงสบตากันแล้วส่ายหน้า
สิ่งที่ตระกูลโจวต้องการมีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น ส่วนแม่นางเจียวเหนียง พวกเขาไม่แม้แต่จะพูดถึง
“เมื่อรู้ว่าเป็นเลือดเนื้อของตระกูลข้า เรื่องสินสอดนั้น พวกข้าเองก็ไม่วางใจที่จะส่งมอบให้พวกเจ้า” นายใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “เหล่าบรรดาน้องชายและน้องสาวไม่อยู่แล้ว เหลือแต่เจียวเนียงที่ยังอยู่กับพ่อ ข้าที่เป็นลุงก็ยังอยู่ ยังไม่ถึงตาคนแซ่โจวมาชี้นิ้วสั่ง”
ฮูหยินรองเฉิงยืดหลังตรงในทันที
ถูกต้อง พ่อก็ยังอยู่ ยังไม่ถึงตาที่ลุงจะมาชี้นิ้วสั่งเช่นกัน
ถึงเวลาที่จะต้องพูดเรื่องสินสอดให้กระจ่างและเข้าใจกันถ้วนหน้าแล้ว
ต่างคน ต่างใจ ต่างฝ่ายเริ่มวางแผนต่อสู้เพื่อเป็นฝ่ายครอบครองสินสอดนั้น และคงไม่สามารถจัดการให้แล้วเสร็จภายในวันสองวันได้ เหล่าคนใช้ไม่สนใจการจัดการเรื่องสินสอดมากนัก ตรงกันข้ามกลับสนใจเรื่องที่เฉิงเจียวเหนียงจะถูกส่งไปวัดเต๋าอีกรอบมากกว่า
“อะไรกัน จะส่งนายหญิงไปวัดเต๋าหรือ”
บรรดาสาวใช้ของเฉิงเจียวเหนียวที่อยู่ตรงลานหน้าบ้านเริ่มสับสน
ต้องไปสถานที่อย่างวัดเต๋าเช่นนั้น แถมยังต้องติดตามคนบ้านั่นด้วย ชาตินี้พวกนางคงออกหนีไปที่ไหนไม่ได้แล้ว
ตั้งแต่นางบ้าผู้นี้มาเยือนก็ไม่เคยเกิดเรื่องดีๆ เลยสักครั้ง ข้อแรกทำให้คนใช้ของทั้งสองเรือนต้องถูกขับไล่ออกไป และตอนนี้ยังจะทำให้พวกนางเดือดร้อนไปตลอดชีวิตอีก หากเทียบกับการถูกขายแล้ว ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่ากันเลย!
นางบ้าผู้นี้คือตัวกาลกิณีเป็นแน่แท้ ใครเจอ คนนั้นฉิบหาย!
ทันใดนั้นเหล่าสาวใช้ที่อยู่ ณ ลานหน้าบ้านก็พากันวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก หาที่พึ่งวิงวอนร้องขอให้ตนหลุดพ้น
สาวใช้นางหนึ่งนั่งเย็บถุงเท้าอยู่ตรงระเบียงอย่างเงียบๆ
เมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากในบ้าน นางจึงรีบวางเข็มและด้าย แล้วเดินเข้าไปในทันที
เฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง
“นายหญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยพร้อมกับยื่นมือช่วยพยุง
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าเสร็จ เฉิงเจียวเหนียงจึงนั่งลงตรงหน้าโต๊ะไม้เตี้ยริมหน้าต่าง สาวใช้ยื่นแก้วน้ำอุ่นให้แก่นายหญิง ทั้งหมดนี้สาวใช้ทำมันได้อย่างคล่องแคล่ว
“นายหญิงเจ้าคะ ข้าไปเอาเม็ดบัวขาวมาต้ม แล้วเอาไปนึ่งกับแป้งข้าวเจ้าแล้วก็น้ำผึ้งที่คนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปตากแดด ทิ้งไว้จนเย็นตามที่นายหญิงสั่งแล้วเจ้าค่ะ ให้ข้าตัดแบ่งมาให้นายหญิงชิมเลยหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
ขนมโก๋สีขาวเหลืองปนเขียววางอยู่บนจานกระเบื้องสีขาวใบเล็ก หน้าตาน่าทาน เฉิงเจียวเหนียงหยิบกินไปเพียงไม่กี่ชิ้น
“ก็ดีนะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ยิ้มอย่างมีความสุข
“เจ้าเก็บของเสร็จหรือยัง” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ เหลือเพียงหนังสือที่นายหญิงอยากอ่านเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว “ไว้วันเดินทาง ข้าจะถือเองเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง
“เจ้าจะไปกับข้าหรือ” นางถาม
“ใช่เจ้าค่ะ ข้ามีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้นายหญิง นายหญิงไปที่ใด ข้าก็จะตามไปทุกที่เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
“ไปกับข้า ดีอย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ข้ามารับใช้นายหญิงที่นี่ คนในเรือนก็ไม่ชอบใจนักหรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับวางมือไว้บนหัวเข่า “อยู่ที่นี่ต่อไป อาจจะฟังดูดี แต่ต้องอยู่อย่างอึดอัดเป็นแน่ ตอนนี้ข้าเองก็อายุมากแล้ว อีกสักปีสองปีคงต้องหาคู่ครอง คนอย่างข้าในตอนนี้คงได้คู่ครองที่มีฐานะไม่ต่างกัน ที่ผ่านมาข้ารับใช้นายหญิง ข้ากลับรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ สบายใจมากกว่าเดิม ข้าคิดว่า กินอะไร ดื่มอะไร มีชื่อเสียงหรือไม่ ไม่สำคัญหรอกเจ้าค่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนๆ หนึ่งจะสมปรารถนาทุกสิ่งตลอดชีวิตข้าไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้อยู่อย่างอิสระก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วเม้มปาก
“เจ้าพูดเยอะเพียงนี้ คนบ้าอย่างข้าจะเข้าใจหรือ” นางถาม
สาวใช้ปิดปากหัวเราะ
“นายหญิงล้อเล่นอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ หากนายหญิงเป็นคนบ้า ข้าก็คงเป็นคนบ้าเหมือนกันเจ้าค่ะ” นางเอ่ยหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงหยุดพูดแล้วก้มอ่านหนังสือ
สาวใช้หยุดพูดเช่นกัน นางถอยออกไปก่อนจะนั่งลงแล้วหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมาใหม่
“ชีวิตคนเราจะสมปรารถนาทุกประการ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้น
นายหญิงพูดช้ากว่าคนปกติทั่วไปหนึ่งจังหวะ สาวใช้รู้ดี นางจึงหัวเราะแล้วขานตอบว่า “เจ้าค่ะ” โดยไม่ได้เก็บไปคิด
เสียงคนเรียกดังจากประตูด้านนอก
ทั้งสองมองออกไปนอกหน้าต่าง แม่นมแปลกหน้านางหนึ่งแต่งกายแตกต่างจากบ่าวในเรือนตระกูลเฉิง
เช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นเฉิงเจียวเหนียงเป็นครั้งแรก แม่นมตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นเฉิงเจียวเหนียงเหม่อมองมา นางถึงได้สติ
“นี่คือของที่ตระกูลโจวมอบให้แก่นายหญิงเจ้าค่ะ” นางโค้งตัวแล้วผลักกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้
“ปั้นฉิน” เฉิงเจียวเหนียงโพล่งขึ้นมา
แม่นมตกใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ไม่ใช่ว่าคนบ้าจดจำคนกับเรื่องราวไม่ได้หรือ เหตุใดถึง…
“เจ้าค่ะนายหญิง” สาวใช้ขานตอบ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกล่อง
แม่นมงุนงงเล็กน้อย รู้สึกเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก แต่ก็เหมือนจะนึกไม่ออก
“ของกินเจ้าค่ะนายหญิง” สาวใช้เปิดกล่องดู นางเอ่ยด้วยแววตาประหลาดใจ
เมื่อเปิดกล่องอาหารทั้งสองชั้นออก ก็พบกับผลไม้แช่อิ่มหลากสี สีสันสวยงามที่วางอยู่เต็มตะแกรงสี่เหลี่ยมด้านใน
“นี่เป็นขนมขึ้นชื่อของเมืองหลวงเจ้าค่ะ ครอบครัวของปั้น…บอกว่านายหญิงชอบกินขนม จึงเลือกสรรมาเป็นพิเศษ” แม่นมพูดขึ้น ทว่านางพูดกับสาวใช้ของเฉิงเจียวเหนียง “แต่อย่ากินมากไป เพราะอาจทำให้มวนท้องได้”
สาวใช้ยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“ข้าขอตัวลาก่อนเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว แม้ว่าคนบ้านางนี้จะงดงามเพียงใด แต่การที่ต้องอยู่กับคนบ้านั้นทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“อันนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหยิบสมุดที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยขึ้น “เจ้าเอาไปให้นาง”
แม่นมนิ่งไปครู่หนึ่งพร้อมกับมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
นางที่พูดถึงคือใครกัน คนบ้าแยกออกว่าใครเป็นใครหรือ เป็นไปได้อย่างไร
สาวใช้รับสมุดมาแล้วส่งต่อให้กับแม่นม
แม่นมเหลือบมองและเห็นว่าเป็นสมุดสอนตัดเย็บเล่มบางที่เขียนขึ้นมาด้วยมือ นางอ่านหนังสือไม่ออก และไม่รู้ว่าข้างในเขียนอะไรไว้ จึงทำได้เพียงหยิบขึ้นมา ก่อนจะแสดงความเคารพอีกครั้งแล้วเดินจากไป
สาวใช้ส่งนางถึงระเบียง
“ข้าขอถามหน่อยว่าเจ้าชื่ออะไร” หลังจากที่แม่นมเดินลงบันไดไป นางนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงถามออกไป
สาวใช้มองไปที่นางแล้วยิ้ม
“ข้าชื่อปั้นฉิน” นางกล่าว
…………………………………………………………………