พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 291 กลับมาอีกครั้ง
ตอนที่ 291 กลับมาอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าตอนที่เห็นผ้าปักลายผืนนั้นก็รู้สึกดีใจมาก คิดว่าอันหลิงอีตั้งใจเย็บปักถักร้อยเพื่อเอาใจนาง คิดว่าหลังจากได้รับการอบรมสั่งสอนไปก็คงรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวและแก้ไขข้อผิดพลาดของตนในอดีตได้
แต่คาดมิถึงว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น อันหลิงอีก็เผยโฉมหน้าแท้จริงออกมาแล้วร้องตะโกนเอะอะโวยวายเสียงดังไร้มารยาทของลูกผู้ดีมีสกุล
แววตาที่มองอันหลิงอีในทางที่ดีเมื่อครู่หายไปชั่วพริบตา จากนั้นจึงโบกมือให้สาวใช้ส่งพวกนางกลับเรือน
“น่าเสียดายผ้าปักลายที่งดงามของน้องหญิงสามเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเก็บผ้าปักลายที่โดยเหยียบย่ำจนสกปรกขึ้นมา มีท่าทีเสียดายอยู่มิน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่แม้แต่ชายตามอง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความโกรธ “ปักได้ดีแล้วจักมีประโยชน์อันใด เอาเวลาไปปรับปรุงนิสัยยังดีเสียกว่า”
นางมิชอบท่าทางเสแสร้งของอันหลิงอีเอาเสียเลย แต่หารู้ไม่ว่าเหตุผลแท้จริงที่อันหลิงอีกลัวจนลนลานถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด
แม้แต่อันหลิงเกอก็ยังมิรู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ แต่จากที่รู้จักสองแม่ลูกนั้น เข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้าปักลายต้องมิใช่เข็มธรรมดาอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นอันหลิงอีต่อให้อ่อนแอเพียงใดก็มิมีท่าทางตกใจราวกับโลกจักถล่มเช่นนี้หรอก
อีกทั้งเมื่อครู่สีหน้าของหลี่ซื่อก็ดูหวาดกลัวมาก
หากแค่โดนเข็มทิ่ม การที่อันหลิงอีร้องออกมาก็มิใช่เรื่องแปลกมากนัก ทว่าเหตุใดสีหน้าของหลี่ซื่อจึงเปลี่ยนไปถึงเพียงนั้น ? เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างแอบแฝงอยู่เป็นแน่
แม้อันหลิงเกอคิดเช่นนั้นแต่สีหน้ามิได้แสดงอารมณ์อันใดออกมา คิดแค่ว่ากลับเรือนไปคงต้องให้คนไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาของหลี่ซื่อและอันหลิงอีเสียหน่อย
เมื่อเห็นท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่า อันหลิงเกอจึงส่งยิ้มไปให้ รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและความสุภาพ “ท่านย่าอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรน้องหญิงสามก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมิใช่หรือเจ้าคะ ? ”
เดิมทีอันหลิงอีมีนิสัยบุ่มบ่ามเอาแต่ใจ ตอนนี้กลับรู้จักอดทนมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็ถือว่ามีการพัฒนามิน้อยแล้ว
แต่การที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิอยากพูดถึงอันหลิงอีอีกก็แสดงให้เห็นว่านางรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
อันหลิงเกอจึงตามใจฮูหยินผู้เฒ่าและเปลี่ยนมาเล่าเรื่องราวสนุกที่เกิดขึ้นในวังให้ท่านย่าฟังแทน แต่มิได้เอ่ยถึงอันผิงกับฉางอันกงจู่ทั้งสอง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าก็ฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน
จนถึงเวลาตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้า อันหลิงเกอจึงขอตัวและพาชางเยว่ออกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า
“คุณหนู เข็มเล่มเมื่อครู่มีเลือดติดอยู่เจ้าค่ะ”
เพิ่งก้าวเท้าออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ชางเยว่ที่กวาดตามองโดยรอบ เมื่อมิเห็นผู้ใดอยู่ตรงนั้นแล้วนางจึงกระซิบข้างหูอันหลิงเกอ
นางเป็นองครักษ์จึงมิได้มีความเชี่ยวชาญหรือรู้เรื่องการเย็บปักถักร้อยพวกนั้น แต่ตอนที่เห็นผ้าปักลายนางก็ได้กลิ่นโลหิตจาง ๆ ลอยมาด้วย
หากเป็นคนทั่วไป กลิ่นคาวเลือดนี้ถือว่าจางมาก แทบมิมีผู้ใดได้กลิ่นหรือสังเกตเห็น
แต่สำหรับองครักษ์เงาที่ผ่านการฝึกมาอย่างนาง กลิ่นคาวเลือดพวกนั้นมิมีทางรอดพ้นจากประสาทสัมผัสของนางไปได้
และจากกลิ่นคาวเลือดนั้นก็ทำให้ชางเยว่พบว่าบนผ้าปักลายมีเข็มขนาดเล็กซ่อนเอาไว้
นางกลัวว่าอันหลิงเกอจักถูกอันหลิงอีทำร้ายจึงตั้งใจชนเข้ากับอันหลิงเกอจนผ้าผืนนั้นร่วงลงพื้นและอาศัยช่วงชุลมุนเตะผ้าปักลายไปข้างกายของอันหลิงอี ทำให้มือข้างหนึ่งของอันหลิงอีกดลงไปตรงเข็มพอดี
เมื่อครู่อันหลิงเกอเห็นการกระทำทั้งหมดของนางแต่มิได้ห้ามปรามหรือขัดขวาง แสดงว่าอันหลิงเกอก็ยอมรับว่าสิ่งที่นางทำนั้นถูกต้องแล้ว
ในเวลานี้คิ้วโค้งได้รูปของอันหลิงเกอเลิกขึ้น ดวงตาสีดำทอประกายบางอย่างออกมาซึ่งชางเยว่ก็มิเข้าใจความหมาย แต่มองแล้วช่างลึกลับรู้สึกราวกับดวงตาของอีกฝ่ายมีดวงดารามากมายอยู่ภายในและอยากเข้าไปค้นหาเหลือเกิน
“หลี่ซื่อกับอันหลิงอีมิใช่คนที่ทำตามกฎมากนัก”
อันหลิงเกอเดินไปพลางกระซิบให้ชางเยว่ฟังจนถึงเรือนฉีอู๋
เมื่อนึกย้อนถึงชาติที่แล้ว หลี่ซื่อลอบสังหารท่านแม่และยุยงให้อันหลิงอีมาสังหารนางในวันแต่งงาน เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้มีจิตใจอำมหิตและเก่งในเรื่องวางแผนเพียงใด
หากนางประมาทก็อาจติดกับดักที่หลี่ซื่อวางไว้เมื่อใดก็ได้
“การที่คุณหนูระวังตัวเอาไว้ก็ทำถูกแล้วเจ้าค่ะ” ชางเยว่กล่าวขึ้นมา หลังจากที่พวกนางมาถึงเรือน
เหตุการณ์เมื่อครู่ชางเยว่แค่เพียงต้องการระวังเอาไว้ก่อนเท่านั้น ทว่าเข็มเล่มนั้นก็มีบางสิ่งแอบแฝงอยู่จริง
แอบแฝงที่ตรงไหน ชางเยว่ก็มิรู้เช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอันหลิงเกอก็ยกมุมปากขึ้น ดวงตาส่องประกายความมั่นใจออกมา
“ชางเยว่ เจ้าช่วยไปสืบความเคลื่อนไหวตลอดหลายวันมานี้ของหลี่ซื่อกับอันหลิงอีให้ข้าที โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่พวกนางไปพบ จงสืบมาให้ละเอียด”
ช่วงที่ตนเข้าวังหลายวันมานี้ หลี่ซื่อและอันหลิงอีมีท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว ทว่าสันดานคนเราแก้ยาก หากบอกว่าอยู่ ๆ พวกนั้นเลิกทำชั่วแล้วหันมาทำแต่ความดี อันหลิงเกอมิมีทางเชื่อเด็ดขาด
ในขณะที่ชางเยว่รับคำและกำลังไปสืบเรื่องนี้ตามคำสั่ง ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็เปลี่ยนใจขึ้นมา
“เจ้ามิต้องไปสืบว่าพวกนางไปพบใครบ้าง แต่ให้ไปที่เรือนหมอของจวนเสียก่อน มิแน่อาจได้รู้อันใดบางอย่างก็ได้”
ท่าทางเมื่อครู่ของหลี่ซื่อและอันหลิงอีแสดงชัดว่าตกตะลึงอย่างมาก อันหลิงอียังบอกให้หลี่ซื่อช่วยนางอีกด้วย จากนั้นก็รีบร้อนกลับเรือนไป เชื่อได้ว่าต้องรีบไปตามหมอมาดูอาการของอันหลิงอีอย่างแน่นอน
มิแน่อาจได้ข้อมูลที่มีประโยชน์จากท่านหมอก็ได้
ทันทีที่ได้ฟังคำสั่งของอันหลิงเกอ คิ้วที่ดกดำของชางเยว่ก็เลิกขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งตะลึงขึ้นมา
เหตุใดนางคิดมิถึงจุดนี้ ?
“คุณหนูโปรดวางใจ บ่าวจักไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หลังได้รับคำสั่งจากอันหลิงเกอแล้วนางก็ถอยออกไปแล้วสอดส่ายสายตามองโดยรอบ เมื่อมั่นใจว่ามิมีผู้ใดอยู่บริเวณนี้จึงได้ทะยานขึ้นไปบนหลังคา
ท่วงท่าของนางพลิ้วไหวราวกับนกนางแอ่น เงียบกริบจนมิมีผู้ใดทันรู้ตัว
อันหลิงเกอมองตามทางที่ชางเยว่บินขึ้นไป จากนั้นก็หันกลับมา
นางมิได้กังวลเรื่องนี้อีกและให้หมิงซินไปสืบข่าวทางจวนอ๋องมู่แทน นางอยากรู้ว่าเหตุใดมู่จวินฮานจึงรีบร้อนออกจากเมืองหลวงถึงเพียงนั้น
ปี้จูเห็นอันหลิงเกอกำลังขีดเขียนบางอย่างบนแผนที่ขนาดเท่าโต๊ะ นางลากเส้นโค้งไปโค้งมามากมายจึงอดเอ่ยถามออกมามิได้
“คุณหนู ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ ? ”
นางเอียงคอมองแต่ก็ดูมิออกว่าสิ่งที่อันหลิงเกอกำลังวาดอยู่คือสิ่งใดกันแน่ มิเหมือนคน มิเหมือนปลา ต้นไม้ใบหญ้าก็มิใช่
พู่กันในมือของอันหลิงเกอแต้มไปมาบนกระดาษทำให้หมึกสีดำเข้มปรากฏขึ้นมา “ข้ากำลังคิดว่าเขาคงไปถึงที่นี่แล้วกระมัง”
ที่ตรงนั้นห่างจากเมืองหลวงยี่สิบลี้ มู่จวินฮานมีท่าทีรีบร้อนทั้งยังมุ่งหน้าไปทางม่อเป่ย เขาต้องเลือกเส้นทางใกล้ที่สุดอย่างแน่นอน
เมื่อได้ฟังปี้จูก็ร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาแล้วทำสีหน้าล้อเลียนใส่อันหลิงเกอ “ที่แท้คุณหนูก็กำลังคิดถึงท่านมู่ซื่อจื่อนี่เอง”
เมื่อปี้จูกล่าวจบ อันหลิงเกอก็เคาะที่ศีรษะของนางเบา ๆ “เจ้านี่นะ กล้ามาพูดล้อเล่นกับคุณหนูเยี่ยงข้าตั้งแต่เมื่อไร ? ”
อันหลิงเกอแสดงท่าทีโมโหออกมา ทว่าแท้จริงภายในใจกำลังรู้สึกเขินอายมิน้อย
เมื่อลองนึกให้ดีแล้ว นางกับมู่จวินฮานต่างมิได้พบหน้าและสนทนากันมาพักใหญ่แล้ว
ดูเหมือนทั้งต้าโจวคงมีเพียงคู่ของนางที่ความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนเยี่ยงนี้
อันหลิงเกอกำลังครุ่นคิดกับตนเองอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกลไกในเรือนดังขึ้น จากนั้นก็มีเงาของคนผู้หนึ่งที่แสนคุ้นเคยพุ่งเข้ามาด้านใน