พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 226 มิพอใจ
ตอนที่ 226 มิพอใจ
เดิมทีอันหลิงอีคิดว่าอันหลิงเกอต้องถูกขังไว้ในคุกหลวงเพราะเรื่องโรคระบาดเป็นเวลาสักสามถึงห้าเดือน เมื่อถึงตอนนั้นชื่อเสียงของอันหลิงเกอก็แปดเปื้อนไปหมดแล้ว
แล้วจักมีตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ที่ใดในเมืองจิงสามารถยอมรับหญิงสาวที่มีชื่อเสียงมิบริสุทธิ์เข้าจวน ?
อันหลิงเกอโชคดีที่มู่จวินฮานช่วยขอร้องแทนจนถูกปล่อยตัวออกจากคุก จากนั้นก็ไปฉู่โจวพร้อมอันอิงเฉิง อีกทั้งคิดค้นยารักษาโรคระบาดได้จนสร้างผลงานชิ้นใหญ่
คราวนี้ฮ่องเต้ต้องตกรางวัลอย่างงามเป็นแน่ แล้วผู้ใดยังจักสนใจชื่อเสียงที่แปดเปื้อนของนาง ?
ความโชคดีบนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นของอันหลิงเกอเสียหมด!
อันหลิงอีรู้สึกขมขื่นอยู่ภายในใจ หากรู้เช่นนี้มิว่าอย่างไรนางก็จักรั้งอันหลิงเกอไว้ มิให้โอกาสได้สร้างผลงานอย่างเด็ดขาด
ทางด้านหลี่ซื่อได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วย้อนนึกถึงในปีนั้น นางหาวิธีสังหารฮูหยินใหญ่อันและควบคุมอำนาจในจวนโหวได้ แต่คาดมิถึงว่าเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสิบปี บุตรีของฮูหยินใหญ่อันจักกลับมาทำให้นางต้องเสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า จักให้นางกล้ำกลืนความโกรธนี้เอาไว้ได้เยี่ยงไร !
“ท่านแม่เจ้าคะ คนสารเลวอันหลิงเกอ…”
หลี่ซื่อมองบุตรสาวของตน แม้จักมิพอใจแต่ก็ยังต้องเกลี้ยกล่อมอันหลิงอีว่า “ตอนนี้อันหลิงเกอสามารถรักษาโรคระบาดและช่วยราษฎรฉู่โจวได้ นางมีผลงานเยี่ยงนี้ เจ้าต้องเก็บสีหน้าเอาไว้ให้ดี แม้เกลียดชังมากเพียงใดก็ห้ามให้นางจับจุดอ่อนของเจ้าได้เด็ดขาด”
นางยังมิลืมว่าในจวนนี้ยังมีฮูหยินผู้เฒ่าและเว่ยซื่อ หากพวกนางสามารถจับจุดอ่อนได้จักต้องวิ่งไปฟ้องอันอิงเฉิงอีกแน่
ตอนนี้อันหลิงเกออยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แม้ใช้ปลายเท้าคิดก็ยังรู้เลยว่าอันอิงเฉิงต้องเข้าข้างบุตรสาวคนโต
อันหลิงอีมุ่ยปาก แต่ท้ายสุดก็ต้องเชื่อฟังมารดาจึงมิกล่าวคำติดปากที่ว่าคนสารเลวอันหลิงเกออีก
“สาวใช้บอกว่าอีกมิเกินครึ่งชั่วยามท่านพ่อและอันหลิงเกอก็จักมาถึงจวนแล้ว ข้ามิอยากเห็นใบหน้าหยิ่งยโสของนางเลยเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของอันหลิงอีดูแย่ลง แต่ทันใดนั้นดวงตาก็ได้สว่างวาบขึ้นมา “เมื่อพวกเขากลับมาถึงจวน ลูกจักมิออกไปต้อนรับ ถึงตอนนั้นท่านแม่ก็เรียนท่านพ่อว่าลูกป่วยแล้วกันนะเจ้าคะ”
“เช้ามิป่วยเย็นมิป่วย กลับมาป่วยตอนนี้ เจ้าจักให้ท่านพ่อคิดเยี่ยงไร ? ” หลี่ซื่อทำหน้ามิเห็นด้วย รีบเอ่ยกับบุตรสาวด้วยความหวังดี “อีเอ๋อ แม่คิดไว้แล้ว ตอนนี้อันหลิงเกออยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ท่านพ่อของเจ้ายังยกย่องนางมาก ในเวลานี้เราต้องห้ามแสดงความมิชอบอันใดต่อนางออกมา”
“มิเพียงห้ามรังเกียจอันหลิงเกอ แต่ยังต้องแสดงให้ท่านพ่อเห็นด้วยว่าพวกเรารักใคร่อันหลิงเกอ” ดวงตาหลี่ซื่อมีประกายดำมืดวาบผ่าน ราวกับนางกำลังคิดแผนการอันใดอยู่
อันหลิงอีมิเข้าใจจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ ? ”
“เจ้าเชื่อฟังแม่ก็พอแล้ว” หลี่ซื่อมิได้อธิบายอย่างละเอียดให้อันหลิงอีฟัง เพียงสั่งให้นางจำเอาไว้
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังพูดคุยกัน อันหลิงเกอก็มาถึงหน้าประตูเมืองหลวงแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าทราบข่าวนี้มานานแล้วจึงให้คนไปรอรับพวกเขาที่หน้าประตูเมืองและให้พวกบ่าวยืนต้อนรับกลับจวน
แต่อันอิงเฉิงต้องไปทูลรายงานตัวฮ่องเต้เสียก่อนค่อยกลับมาที่จวนโหว
ตอนนี้อันหลิงเกอและอันอิงเฉิงกลับมาถึงจวนโหวโดยปลอดภัย ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจึงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ดีที่พวกเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
อันอิงเฉิงเดินเข้าไปสองก้าว ใบหน้าดูมีความรู้สึกผิด “ลูกทำให้ท่านแม่ต้องกังวลใจ เป็นความผิดของลูกเอง”
ภารกิจในครั้งนี้เขาเหมือนเดิมพันอยู่ตลอดเวลา คราแรกถูกขังไว้ในคุกหลวง ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงกังวลใจแทบแย่แล้ว โชคดีที่พวกเขาออกมาอย่างปลอดภัย มิเพียงแค่นั้นแต่ยังได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่อีกด้วย
เว่ยซื่อที่เดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่ามาก็กล่าวอย่างเอาใจว่า “ท่านโหวและคุณหนูใหญ่ต่างก็เป็นผู้มีวาสนาเจ้าค่ะ”
คำกล่าวนี้ถูกใจอันอิงเฉิงยิ่งนัก ทำให้เขาหันไปมองเว่ยซื่ออยู่หลายครั้งด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยน น้อยครั้งที่เขาจักแสดงท่าทีต่อนางเช่นนี้
“หลี่ซื่อและอีเอ๋ออยู่ไหนเล่า ? ”
คนทั้งจวนที่ควรมาก็มาหมดแล้ว แต่มิเห็นพวกนางสองคน อันอิงเฉิงจึงอดถามมิได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหุบยิ้มทันที พร้อมทั้งเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าส่งคนไปแจ้งแล้ว มิรู้ว่ามัวทำอันใดกันอยู่”
เจ้านายของจวนโหวกลับมา หลี่ซื่อยังมิรู้จักออกมาต้อนรับ หรือคิดว่าอันอิงเฉิงโปรดปรานจึงมิกลัวเพราะมีคนคอยหนุนหลัง
ใบหน้าของอันอิงเฉิงค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น กำลังจักให้สาวใช้ไปถามแต่เห็นหลี่ซื่อพาอันหลิงอีเดินมาอย่างนอบน้อม
“ท่านโหวกลับมาแล้ว” หลี่ซื่อมีใบหน้าตื่นเต้นดีใจ “ในตอนที่ฮ่องเต้มีคำสั่งให้ท่านพี่ไปรักษาโรคระบาด ข้าร้อนใจยิ่งนัก กลัวว่าท่านจักเป็นอันใดขึ้นมาเจ้าค่ะ”
ขณะที่กล่าวนางยังยกมือลูบหน้าอกทำท่าทางวางใจ “โชคดีที่ท่านพี่กลับมาอย่างปลอดภัย มิเสียแรงที่ข้าเฝ้าสวดมนต์ภาวนาให้ทั้งวันทั้งคืนเจ้าค่ะ”
ส่วนอันหลิงเกอที่ได้กลิ่นธูปตรงปลายจมูกจึงทำให้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกดูแคลน
หลี่ซื่อมาช้ายังพอเข้าใจได้ แต่กล่าวราวกับว่าที่พวกตนสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยได้ก็เพราะนางไหว้พระสวดมนต์ให้
อันหลิงเกอรู้สึกเอือมระอากับคำกล่าวเยี่ยงนี้เสียจริง แต่มันใช้ได้ผลกับอันอิงเฉิงทุกที
เขาคงคิดว่าที่พวกนางมาช้าก็เพราะไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจริง ๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมเสียงเบาทีหนึ่งเพื่อบอกเป็นนัยว่านี่เป็นวันดีมิใช่วันไว้ทุกข์
พออันหลิงอีได้ยินเสียงกระแอม ใบหน้าของนางก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันที นางแทบรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้มิไหว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หลี่ซื่อได้สั่งไว้ อันหลิงอีถึงได้พยายามฝืนยิ้มต่อไป “ได้ยินว่ายารักษาโรคนี้พี่หญิงใหญ่เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา พี่หญิงใหญ่เก่งยิ่งนักเจ้าค่ะ”
พอนางกล่าวเช่นนี้ออกมา มิเพียงแค่อันหลิงเกอที่จ้องอันหลิงอีด้วยสายตาแปลกประหลาด แม้แต่คนอื่นก็มิต่าง
เพราะระหว่างพวกนางสองพี่น้องเป็นดั่งน้ำกับไฟ แค่มิได้ฉีกหน้ากันต่อหน้าผู้อื่นก็ดีเท่าไรแล้ว แต่ตอนนี้อันหลิงอีเปลี่ยนไป ถึงขั้นเอ่ยชมอันหลิงเกอขึ้นมา
ท่าทางผิดปกติเช่นนี้ต้องมีแผนการอันใดอยู่แน่นอน อันหลิงเกอคิดว่าตนเพียงรอดูฉากแสดงงิ้วให้สนุกก็พอ *ปล่อยให้นกกระยางสู้กับหอยกาบ สุดท้ายคนตกปลาได้ประโยชน์ !
ความแปลกใจฉายชัดในแววตาของนางเพียงครู่เดียว แล้วอันหลิงเกอก็ซ่อนมันไว้ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มที่ถ่อมตนออกมา
“มิถือว่าเก่งอันใดหรอก เพียงแต่ข้ามีความสนใจต่อวิชาแพทย์ อ่านตำรามากหน่อยและหาสูตรยาจากตำราโบราณก็เท่านั้น”
อันหลิงเกอนิ่งไปชั่วครู่พลางมองอันหลิงอีอยู่ตลอดแล้วเอ่ยต่อ “แต่น่าเสียดายที่ข้ายังมิทันอ่านตำราโบราณเล่มนั้นจบเลย น้องหญิงสามก็เอาไปรองขาโต๊ะเสียแล้วจึงมิทราบว่าในนั้นยังได้บันทึกสูตรยาล้ำค่าอื่นใดไว้อีกหรือไม่”
ตำราโบราณที่นางกล่าวถึงก็แค่เอ่ยไปแบบไร้มูล แต่อันหลิงอีได้นำตำราของนางไปมิน้อยจริง ตามนิสัยแล้วย่อมมิเคยเปิดหนังสือเหล่านั้นมาก่อน
นางตั้งใจโยนเรื่องนี้ไปที่อันหลิงอีและครั้งนี้ก็ทำสำเร็จ
อันหลิงอีที่กำลังจักถามว่าตำราโบราณอยู่ที่ไหนพอดีก็ต้องกลืนคำเหล่านี้ลงท้องไปอีกแล้ว
นางจ้องมองอันหลิงเกออย่างสงสัย หรือว่าอีกฝ่ายมีวิชาอ่านใจคน เหตุใดจึงเดาความคิดของนางได้แล้วยังจงใจใช้คำกล่าวนั้นมาอุดปากนางอีกด้วย ?
ทว่าแล้วเยี่ยงไรเล่า วันนี้อย่าหวังเลยว่าอันหลิงเกอจักผ่านเรื่องนี้ได้โดยง่าย !
…
*ปล่อยให้นกกระยางสู้กับหอยกาบ สุดท้ายคนตกปลาได้ประโยชน์ หมายความว่า สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่ฝ่ายที่สามมากอบโกยผลประโยชน์ไป