ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 912-2 เทพยุทธ์ไร้เทียมทาน (2) (จบ)
บทที่ 912 เทพยุทธ์ไร้เทียมทาน (2) (จบ)
……….
ที่ดินแดนประจิมทิศ พระพุทธเจ้าก็คือกฎฟ้าดิน
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็ไม่มองเทพมารบรรพกาลทั้งสองอีก แล้วทอดมองไปทางใต้อีกครั้ง ที่แห่งนั้นมีร่างที่อยู่ในชุดขาดรุ่งริ่งปรากฏอยู่บนอากาศ
ใบหน้ารูปงาม ร่างสูงได้สัดส่วน ถือดาบยาวปลายแคบในมือ
นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
เมื่อเทพยุทธ์ต่อสู้ ไม่ต้องการอาวุธเวทมนตร์มากมายหรือวรยุทธ์ที่งดงาม
“สวี่ชีอัน…”
แม้จะอยู่ห่างไกล ทว่าสายตาของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ยอดเยี่ยม เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว หลี่เมี่ยวเจินและอีกหลายคนก็สงบใจได้อย่างแท้จริง
สวี่ชีอันปรายตามองสี่ระดับสุดยอดรวมตัวกัน แล้วก้าวออกไป
ร่างธรรมสังสารวัฏด้านหลังพระพุทธเจ้าหมุนดัง ‘แกรกๆ ’ พุทธมนต์ที่เขียนอักษร ‘มนุษย์’ สว่างขึ้น ร่างธรรมมหากรุณาพนมมือสวด ท่องบทสวดเซนระหว่างฟ้าดิน ร่างธรรมสังสารวัฏ วงแสงร่างธรรมสังสารวัฏหมุนกลับ
สิ่งเหล่านี้พอจะรบกวนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ ทำให้วรยุทธ์ที่สูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้หลั่งไหลลงบนร่างของสวี่ชีอันทั้งหมด
ทว่าไม่ได้ผล เขามองข้ามการควบคุมทั้งหมด แล้วฟันดาบไปทางพระพุทธเจ้า
หมื่นวิชาไม่กล้ำกรายของเทพยุทธ์ ตนจะไม่ถูกผูกมัดจากกฎใดๆ พลังที่มาจากโลกจิ่วโจวมิอาจสั่นคลอนเขาได้
ศีรษะของพระพุทธเจ้ากลิ้งตกอย่างไร้สุ้มเสียง กระทบลงบนพื้น ยังกลับไปเป็นก้อนเนื้ออีก
พระองค์ใช่ว่าจะไม่ต่อต้านหรือก่อกวน ชั่วขณะที่สวี่ชีอันยกดาบ พระพุทธเจ้าก็แก้ไขกฎของดินแดนประจิมทิศแล้ว
ห้ามออกดาบ
ห้ามใครโจมตีตนไม่ว่าวิธีการใดก็ตาม
หลังจากพบว่ากฎไม่มีผล พระองค์ก็เปลี่ยนเส้นทางของปราณดาบให้ฟันลงบนอากาศ
เมื่อเห็นเช่นนี้ พายุเขาเหนือศีรษะทั้งหกของฮวงยืดยาว วิวัฒนาการเป็นหลุมดำ แล้วพุ่งชนสวี่ชีอันอย่างเหี้ยมหาญ
สวี่ชีอันแทงเข้าหลุมดำ แสงดาบจอมทำลายล้างแทงทะลุหลุมดำ หลุมดำพังทลายดัง ‘ตูม’ ฮวงในหน้าแพะร่างคนแตกเป็นเสี่ยง
พระพุทธเจ้ามอบความสามารถฟื้นคืนชีพให้ฮวงทันที
“ห้ามฟื้นคืนชีพที่นี่!”
สวี่ชีอันตะโกน แล้วฟันดาบลง
นี่เป็นความสามารถของดาบไท่ผิง อาวุธของผู้เฝ้าประตูมีความสามารถเพียงหนึ่งเดียว…ทำลายกฎ
นี่มาจากต้นกำเนิดเดียวกับเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อ
เมื่อผู้เฝ้าประตูที่ไม่ถูกฟ้าดินผูกมัดจับดาบเล่มนี้ เขาจะไร้เทียมทาน
หากผู้เฝ้าประตูสวรรค์อยู่คงกระพันไม่ได้ แล้วจะมีความหมายอะไร
เลือดเนื้อของฮวงดิ้นอย่างบ้าคลั่ง พยายามรวมตัวใหม่ ทว่าก็มิอาจฟื้นคืนชีพได้ จิตเดิมของพระองค์ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น เหตุใดถึงคิดไม่ถึงมาก่อน หนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดนับแต่ถือกำเนิดฟ้าดิน ต่อหน้าเทพยุทธ์กลับเปราะบางอะไรเช่นนี้
พระพุทธเจ้าเปิดเขตแดนร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี แล้วห่อหุ้มสวี่ชีอันไว้ในโลกที่ไร้สีสัน แล้วแก้กฎไปพร้อมกัน
ฟื้นคืนชีพไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกำเนิดหรือคลอดไม่ได้
ชิ้นส่วนร่างของฮวงพองขึ้น แก่นเลือดเนื้อและจิตวิญญาณทั้งหมดหดเข้าไปด้านใน แล้วตั้งครรภ์คลอดชีวิตใหม่
เงามืดอันหนาทึบใต้ร่างของเทพเจ้ากู่หลั่งไหลและปกคลุมชิ้นส่วนร่างของฮวง ขณะเดียวกันก็เปิดฉากอำพรางสวี่ชีอันและกระตุ้นกามารมณ์
ใบหน้าคนเลือนรางบนฟ้าจ้องมองสวี่ชีอัน แล้วเปิดฉากวิชาสาปสังหาร
ขณะเดียวกันวิญญาณวีรบุรุษของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งทั้งเก้าก็ปรากฏ แล้วพุ่งเข้าใส่เทพยุทธ์เหมือนฆ่าตัวตาย ร่วมโจมตีกับเทพเจ้ากู่เพื่อถ่วงเวลาให้ฮวง
ทว่าเวลาต่อมา เขตแดนร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สีก็พังทลาย วิญญาณวีรบุรุษของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งทั้งเก้าพุ่งชนบนเขตปราณที่มองไม่เห็น แล้วพังทลายกลายเป็นควันดำกลับไปหาเทพพ่อมด
เทพยุทธ์ตรงหน้าอยู่ในโลกไม่ผิดแน่ ทว่าราวกับอยู่อีกมิติหนึ่ง
หลังจัดการการโจมตีของระดับสุดยอด เขายื่นมือและยกขึ้นเบาๆ ชิ้นส่วนร่างของฮวงลอยขึ้นและถูกกลุ่มพลังปราณปกคลุม
สวี่ชีอันออกแรงบีบ
โพละ!
ชิ้นส่วนร่างและจิตเดิมระเบิดออกเป็นหมอกเลือดพร้อมกัน แล้วสลายไปดุจควัน
เหลือเพียงเขาทั้งหกที่มีจิตวิญญาณเกาะตัวกัน
ฮวงสิ้นแล้ว
ผู้แข็งแกร่งสูงสุดที่มีชีวิตรอดจากยุคโบราณกระทั่งปัจจุบันสิ้นชีพอย่างสมบูรณ์
เมฆดำบนฟ้าสั่นสะเทือนรุนแรง ราวกับถูกกระตุ้นอย่างแรง
ดวงตาใสและเฉียบแหลมของเทพเจ้ากู่แสดงความโศกเศร้าแด่สหายร่วมชะตากรรม
พระพุทธเจ้าเอ่ยอย่างช้าๆ
“เทพยุทธ์…วิถีแห่งฟ้ายอมให้คนแบบเจ้ามีชีวิตด้วยหรือ”
ประจักษ์ชัดว่า วิวัฒนาการเช่นนี้ทำให้ระดับสุดยอดยากจะยอมรับ แม้จะเป็นเหล่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าเทพยุทธ์น่ากลัวเพียงใด
นับแต่โบราณ โลกจิ่วโจวไม่มีเทพยุทธ์ ไม่มีมาโดยตลอด
สวี่ชีอันก้าวออกไปก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเทพเจ้ากู่ ร่างของเทพเจ้ากู่พลันหนาวสันหลัง หมอกเลือดอันหนาทึบพวยพุ่งออกจากช่องลม ภูเขาเนื้อถล่มกลายเป็นเนื้อเดียว
พระองค์ไม่ได้เลือกที่จะสู้ตัวต่อตัวกับสวี่ชีอัน ทว่าใช้วิชากระโดดสู่เงา พยายามเว้นระยะห่างจากเทพยุทธ์
“ห้ามเคลื่อนย้าย! ”
สวี่ชีอันฟันดาบลงและตัดกฎออก
เงามืดใต้ร่างของเทพเจ้ากู่พลิกหมุนและหลั่งไหล ทว่าก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
“โฮก…”
เจ็ดไสยศาสตร์กู่หลักเป็นการแปรสภาพของจิตวิญญาณพระองค์ แล้วก็เป็นวิธีการทั้งหมดของพระองค์ ไสยศาสตร์กู่ที่ทรงพลังเหล่านี้คุกคามเทพยุทธ์ไม่ได้แม้แต่น้อย
พระองค์จะทำอย่างไรดี
หมดสิ้นหนทาง
บัดนี้เทพเจ้ากู่สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง ไร้ซึ่งพลัง และถูกพิชิตอย่างสมบูรณ์จากผู้แข็งแกร่งระดับสูงกว่า
ความรู้สึกสิ้นท่าเช่นนี้พระองค์เคยพบจากเทพมารผู้อ่อนแอและเผ่ามนุษย์ ยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับตนก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้าน ความตายเป็นชะตากรรมเพียงหนึ่งเดียวของมดแมลงเหล่านี้
ตอนนี้พระองค์กลับกลายเป็นมดแมลงเสียเอง
วินาทีต่อมาเสียงขู่อันสิ้นหวังก็กลายเป็นเสียงคำรามอันทุกข์ทรมาน
สวี่ชีอันแทงดาบเข้าไปในร่างแข็งแกร่งดุจเหล็กของเทพเจ้ากู่ ปราณดาบแทงทะลุภูเขาเนื้อนี้ในชั่วพริบตาและทะลักออกจากอีกฝั่ง ถล่มภูเขาที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
เมื่อภูเขาถล่ม สิ่งที่กลิ้งตกไม่ใช่เศษดินหินยักษ์ ทว่าเป็นก้อนเนื้อสีแดงเข้มแต่ละชิ้น พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า
ระหว่างที่แสงดาบเปล่งแสง ร่างเนื้อของเทพเจ้ากู่กระจัดกระจายในทันใด แล้วร่วงหล่นทีละชิ้น
หลังจากกฎ ‘ห้ามฟื้นคืนชีพที่นี่’ ถูกตัด เลือดเนื้อของเทพเจ้ากู่ก็ขยับเขยื้อนอย่างบ้าคลั่ง ไหมสีขาวคล้ายใยแมงมุมยืดยาวออกมา ทว่าไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็มิอาจรวมตัวใหม่ได้
พระพุทธเจ้าไม่สนใจพระองค์ในขณะนี้ เพราะหลังจากระดับสุดยอดผู้นี้รับรู้ถึงความน่ากลัวของเทพยุทธ์ก็เตรียมใจทุ่มสุดตัว
ตะวันร้อนแรงสีทองแต่ละดวงทะยานขึ้นจากภูเขา แม่น้ำ และทุ่งร้างที่ไกลออกไป พวกมันขึ้นสู่น่านฟ้าและบรรจบอยู่เหนือศีรษะของพระพุทธเจ้า
“ถอยเร็ว!”
อาซูหลัวเปลี่ยนสีหน้าและหนีไปจากที่เจ้าปัญหาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
เหนือมนุษย์คนอื่นไม่รอช้า ชิงหนีไปก่อน
ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรเผด็จการและแข็งกร้าว แสงสว่างชำระล้างทุกสิ่ง อยู่ที่นี่ไปก็เปล่าประโยชน์นอกเสียจากไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
ทว่าเทียบกับความวิตกกังวลก่อนหน้านี้ เหนือมนุษย์ทุกคนใจเย็นลงเป็นอย่างมาก สวี่ชีอันฆ่าฮวงอย่างง่ายดาย ทำให้เทพเจ้ากู่บาดเจ็บสาหัส มอบความเชื่อมั่นให้พวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม
สวี่ชีอันทำลายจิตตานุภาพและร่างกายของเทพเจ้ากู่ด้วยวิธีแบบเดียวกัน เหลือไว้เพียงความยุ่งเหยิง
นี่คือจิตวิญญาณของเทพเจ้ากู่
เมฆดำที่ลอยวนบนฟ้าสลายไปอย่างรวดเร็ว เทพพ่อมดถอยทัพแล้ว
“ห้ามแสดงร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรที่นี่!”
สวี่ชีอันฟันดาบ
ทว่าครั้งนี้พลังตัดกฎใช้ไม่ได้ผล ดวงอาทิตย์ขึ้นและรวมตัวกันตามปกติ
“ดาบของเจ้ามีพลังแหล่งเดียวกับปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ทว่าร่างธรรมพระมหาไวโรจนะเป็นสัญลักษณ์ของข้า แต่มิอาจฆ่าข้าได้”
เสียงของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่และเลือนราง มาจากความว่างเปล่า มาจากทุกสารทิศ
“เจ้าฆ่าข้าไม่ตาย เพราะที่ดินแดนประจิมทิศ ข้าเป็นวิถีแห่งฟ้า แม้เจ้าจะเป็นเทพยุทธ์ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎก็ตาม ทว่าเจ้าก็มิอาจทำลายข้าได้”
สวี่ชีอันเอ่ยเยาะเย้ย
“อย่างนั้นหรือ!”
ระหว่างที่พูด เขาก็ปักดาบไท่ผิงลงกับพื้น กล้ามเนื้อทั่วร่างของเทพยุทธ์ผู้นี้บิดตัว เขตปราณที่มองไม่เห็นขยายออกจากร่างและกระจายไปทั่วสารทิศ
เขตปราณแผ่ขยาย ก้อนเนื้อสีแดงเข้มดับสูญและสลายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรบนฟ้าระเบิดออกทันทีเมื่อสัมผัสโดนเขตปราณ แล้วแตกกระเจิงเป็นลำแสงแยงตา ดวงอาทิตย์ที่สว่างไสวก็ดับมืดไร้แสง
จุดที่ลำแสงตกใส่ ทุกสิ่งแปดเปื้อนด้วยพุทธภาวะ เสียงสวดดังขึ้น
“นี่เป็นไปไม่ได้…”
เสียงเลือนรางและน่าเกรงขามของพระพุทธเจ้าดังขึ้นในความว่างเปล่า ทำให้มนุษย์สั่นไหว
เพราะเขตปราณขยายตัว พระพุทธเจ้าพบว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจปกครองในดินแดนประจิมทิศทีละน้อย กฎที่พระองค์เคยควบคุมถูกเขตปราณช่วงชิงอย่างไร้ปรานี
เทพยุทธ์ผู้นี้ค้ำจุนเขตแดน ใช้ความพาลไม่มีเหตุผลยึดครองเขตแดนของพระองค์ แล้วบีบให้ออกจากดินแดนประจิมทิศทีละน้อย
ท้ายที่สุดอาณาเขตนับแสนลี้ของดินแดนประจิมทิศก็ถูกปกคลุมด้วยเขตแดนของเทพยุทธ์
แสงสีทองที่รวมตัวกันในความว่างเปล่ากลายเป็นรูปลักษณ์ภิกษุหนุ่ม
ใบหน้าของเขาหล่อเหลา คิ้วตาชัดเจน คู่ดวงตาแฝงด้วยความโชกโชนที่ตกตะกอนตามกาลเวลา ใบหน้าไร้ความรู้สึก
ร่างแท้ของพระพุทธเจ้า!
พระองค์กลับไปอยู่ในร่างเดิม หลังจากสูญเสียการควบคุมกฎ พระองค์ก็กลับมารูปโฉมเดิม
ร่างระดับสุดยอด
สวี่ชีอันปรากฏตัวตรงหน้าพระองค์ แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“รู้หรือไม่ว่าท่านโหราจารย์เป็นใคร”
ภิกษุหนุ่มเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนใจ
“คาดเดาไว้แล้ว”
สวี่ชีอันถาม
“ในฐานะระดับสุดยอด เจ้าเป็นอมตะ เหตุใดถึงอยากเลื่อนขั้นเป็นวิถีแห่งฟ้า”
พระพุทธเจ้าพนมมือ
“ความปรารถนาเป็นสันดานที่สิ่งมีชีวิตมิอาจตัดขาด เจ้าไม่อยากรู้จักโลกนอกจิ่วโจวหรือ เพียงกระโดดออกจากปราการฟ้าดินก็จะมีคุณสมบัติเดินทางข้ามอีกหมื่นโลกทุกชั้นสวรรค์”
สวี่ชีอันเงียบสักพัก ก่อนจะเอ่ย
“พวกเจ้าเดินทางผิดแล้ว”
เขาเอ่ยพลางจับดาบไท่ผิงและแทงเข้าไปในอกของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่ได้หลบหรือต่อต้าน แล้วรับมีดอย่างสงบ
“อมิตตาพุทธ! ”
ร่างของเขาหายไปท่ามกลางสายลม มลายหายดุจควัน
…
เมืองจิ้งซาน
ท้องฟ้าสีคราม แสงอาทิตย์เจิดจ้า
ชายหนุ่มสวมมงกุฎหนามยืนอยู่บนแท่นบูชานอกเมือง พระองค์สวมชุดคลุมยาวสีดำ มือไพล่หลัง แล้วทอดมองทางตะวันตกเฉียงใต้
ชายหนุ่มชุดคลุมดำที่ถือดาบยาวสีทองเข้มเดินออกมาท่ามกลางความว่างเปล่าที่สั่นไหว
“ข้าเกิดในยุคโบราณ เวลานั้นเผ่ามนุษย์เป็นชนเผ่าเสียส่วนใหญ่ ดำรงชีวิตโดยพึ่งพาเทพมารผู้ทรงพลัง เทพมารไม่เคยระงับธรรมชาติได้เลย ทารุณ กระหายเลือด หรือแม้แต่หลงระเริงตัณหา ข้าเคยพบความทุกข์ยากและความอยุติธรรมมามากเหลือเกิน มีชีวิตด้านชามาหลายปีแล้ว”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำเอ่ยอย่างช้าๆ
“กระทั่งช่วงปลายยุคโบราณ มหาเคราะห์มาเยือน ข้าเห็นเทพมารยอมทำทุกอย่างเพื่อเข้าสู่ประตูสวรรค์ เวลานั้นข้าก็หมายมั่นปั้นมือ อยากแทนที่วิถีแห่งฟ้า ก้าวข้ามโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ให้ผู้คนในวันข้างหน้าเป็นอมตะ ไม่ถูกกดขี่หรือทุกข์ยาก”
สวี่ชีอันไม่ได้ประชดเทพพ่อมด เพียงเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“แม้ระดับสุดยอดจะไม่ลุ่มหลงในตัณหา แต่สุดท้ายก็เป็นสิ่งมีชีวิต มีความคิดและความปรารถนา วิถีแห่งฟ้าไม่ควรมีปรารถนาและความคิด ทุกข์ สุข พบเจอ จากลา กดขี่ หรือทุกข์ทรมานในโลกมนุษย์มีเหตุต้นผลกรรมและสาเหตุของมันเอง”
เทพพ่อมดพยักหน้า ไม่ได้เอื้อนเอ่ย
สวี่ชีอันเอ่ยอีก
“พระพุทธเจ้าบอกว่า นอกจิ่วโจวมีสามพันโลก”
เทพพ่อมดมองมาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุด”
…สวี่ชีอันพยักหน้า
“ข้าจะให้ระบบพ่อมดสืบทอดต่อไป ทว่าหลังจากนี้ ใต้หล้าจะไม่มีระดับสุดยอดอีก”
เทพพ่อมดเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม
“ขอบคุณมาก!”
พูดจบ จิตเดิมและร่างกายของพระองค์ก็ดับสลายดุจขี้เถ้า
เทพพ่อมดฆ่าตัวตาย
พระองค์เลือกดับสลายด้วยวิธีอันมีเกียรติ
…
บันทึกประวัติศาสตร์ ‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่สิบสอง เดือนสิบเอ็ด’
สี่ระดับสุดยอดร่วมมือกันก่อมหันตภัย สังหารสิ่งมีชีวิตใต้หล้า
ฆ้องเงินสวี่สังหารพระพุทธเจ้า เทพพ่อมด เทพเจ้ากู่ และฮวงเทพมารบรรพกาลต่อเนื่องภายในวันเดียว ยุติมหาเคราะห์
ความสำเร็จหาใครเทียบนับแต่โบราณกาล เทพยุทธ์ไร้เทียมทาน!
…
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่ยี่สิบเดือนสิบเอ็ด’
รุ่งเช้า
ฮว๋ายชิ่งสวมมงกุฎและสวมชุดคลุมจักรพรรดิสีดำปักลายมังกร นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง
ขันทีกุมตราลัญจกรกางราชโองการ แล้วกล่าวเสียงดัง
“พระพุทธเจ้า เทพพ่อมด เทพเจ้ากู่ และฮวงเทพมารบรรพกาลถูกฆ้องเงินสวี่สังหารจนสิ้นและยุติมหาเคราะห์ จ้าวโส่วปราชญ์มหาสำนักเศวตฉัตร สละชีวิตอย่างไม่เสียดายเพื่อหยุดเทพพ่อมด สละร่างเพื่อประเทศ มอบสมญานามเหวินเจิ้ง หยางกงรองเจ้ากรมกรมการคลัง ไปเยือนเหลยโจวเพื่อท้ารบกับพระพุทธเจ้า ถือเป็นความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นปราชญ์มหาสำนักเศวตฉัตร วันนี้ทั่วทุกแห่งได้สงบลง อาณาเขตสำนักพ่อมด สำนักพุทธ และซินเจียงตอนใต้กลับคืนสู่ต้าฟ่ง สามรัฐจิงโจว เซียงโจว และอวี้โจวทางตะวันออกเฉียงเหนือ เหลยโจวในดินแดนประจิมทิศ บ้านเรือนร้าง ผู้ประสบภัยทุกถิ่นทุรกันดาร สิ่งชำรุดนับร้อยรอการฟื้นฟู ปากท้องประชาชนยิ่งใหญ่เทียมฟ้า เจ้าต้องอุทิศตนทั้งหมดช่วยเหลือประชาชนสร้างบ้านเรือนใหม่ ห้ามเกียจคร้าน สิ้นรับสั่ง! ”
ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งนอกและในตำหนักคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง กระแสเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอก
“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี! ”
หลังศึกครั้งนี้ จิ่วโจวรวมเป็นหนึ่ง ต้าฟ่งจะเปิดบทใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์จิ่วโจวถือกำเนิด
…
เมืองหลวง ลานเล็กในเมืองชั้นใน
ทะเลดอกไม้อันงดงามพริ้วไหวท่ามกลางสายลม กลิ่นหอมดอกไม้ดึงดูดให้คนสัญจรหยุดเดิน
‘ก๊อกๆ!’
ประตูลานที่ไม่มีใครไยดีตามยามปกติถูกเคาะ หญิงหน้าตาธรรมดาวิ่งออกไปอย่างเบิกบาน แล้วเปิดประตูลาน
ป้าคนหนึ่งยืนอยู่นอกลาน แล้วเอ่ยอย่างเริงร่า
“ฮูหยินมู่กลับมาแล้วหรือ”
ป้าที่ใกล้ชิดกับมู่หนานจือในตอนแรกมาทักทายจากข้างบ้าน
หญิงสาวหน้าตาธรรมดาผิดหวังเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ธุรกิจของสามีขาดทุน ต้องเฝ้าบ้านคุ้มกันเรือนแทนครอบครัวเศรษฐี ข้าจึงกลับมาอยู่แล้ว”
ป้าเอ่ยอย่างปลงตก
“โลกไม่ได้สงบสุขสักระยะแล้ว เมื่อสูญเสียก็ยากจะหลีกเลี่ยง แต่ว่านะ ข้าได้ยินมาว่าจากนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ต้าฟ่งของพวกเราพิชิตดินแดนประจิมทิศและตะวันออกเฉียงเหนือได้ก็เป็นคุณูปการของฆ้องเงินสวี่”
ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระในลาน แค่พูดคุยก็ปาไปครึ่งชั่วยาม
กระทั่งจิ้งจอกขาวน้อยขนปุกปุยวิ่งออกมาจากในบ้าน แล้วร้องเรียกหญิงสาวเสียงเจื้อยแจ้ว นางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเคี่ยวซุปไก่ในเตาไฟอยู่ จึงรีบเดินส่งป้า แล้ววิ่งกลับห้องครัว
กลิ่นเหม็นไหม้เตะจมูก ซุปไก่ดีๆ บทจะไม่เหลือก็ไม่เหลือเลย
นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
“ออกจากจวนสกุลสวี่แล้ว ต้องทำเองเสียทุกอย่าง”
ไป๋จีเอ่ยเจื้อยแจ้ว “กลับไปเสียก็สิ้นเรื่อง มีคนปรนนิบัติทุกวัน ดีจะตาย”
นางหยิบจิ้งจอกออกไปและใช้นิ้วจิ้มไม่หยุด
“เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปสิ กลับไปเลย”
ผ่านไปหนึ่งเดือนนับแต่มหาเคราะห์ ระหว่างนั้นมู่หนานจือก็หาเหตุผลย้ายออกจากจวนสกุลสวี่
แม้อาสะใภ้จะอาลัยอาวรณ์ ได้ตัวคนก็จริงแต่ไม่ได้ใจ จึงยอมตกลง
จากที่คิดว่าชายผู้นั้นเข้าใจกฎ อยู่ด้วยกันทุกสามวัน
ผลสรุปกลับไม่แยแสนาง ปล่อยให้นางเหงาอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ
มู่หนานจือสาบานอย่างขุ่นเคืองว่าจะตัดเขาออกเป็นสองท่อน
‘ก๊อกๆ!’
เสียงเคาะดังขึ้นที่ประตูลานอีกครั้ง
ฟางเส้นสุดท้ายของนางขาดในทันที เดินตึงตังออกไปนอกลาน แล้วเปิดประตูพร้อมตะโกน
“ป้า ข้าบอกแล้วไงว่าข้าเคี่ยวซุปไก่อยู่ในครัว…”
นางเงียบโดยพลัน
ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่นอกลาน จูงแม่ม้าน้อยพันธุ์ดี
“ข้าจะไปท่องยุทธภพแล้ว” ชายหนุ่มพูด
มู่หนานจือเชิดคางขึ้น แล้วเอ่ยอย่างเง้างอด
“แล้วอย่างไร!”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าจะยอมไปกับข้าหรือไม่”
“ไม่! ” นางหันหนี
สวี่ชีอันทอดถอนใจ “หมู่นี้มีเรื่องมากมาย การจัดเตรียมทุกสิ่งให้พร้อมไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ยังรีบมาหาเจ้าไม่พอหรือ”
นางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “แค่พวกเราหรือ”
สวี่ชีอันปรายตามองไป๋จีที่ตามออกมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีจิ้งจอกน้อยของเจ้าและแม่ม้าน้อยของข้าด้วย”
มู่หนานจือฮึดฮัด แล้วพูดหาโอกาสให้ตนเอง
“เห็นแก่ที่เจ้าทอดทิ้งลูกและภรรยา ข้าตกลงก็ได้”
ไป๋จีเอ่ยแก้
“ทอดทิ้งลูกและภรรยา แต่ไม่มีลูกนี่นา”
“ใครให้เจ้าปากมาก! ” มู่หนานจือจ้องนางอย่างดุร้าย แล้วมองไปทางเขาต่อพร้อมเอ่ยถาม
“แล้วเดือนนี้ทำอะไรบ้าง”
เดือนนี้หรือ…สวี่ชีอันวางมาดขรึม “แน่นอนว่ายุ่งอยู่กับเรื่องสำคัญ”
…
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่สิบสี่เดือนสิบเอ็ด’
‘มหาเคราะห์สงบลงแล้ว วันนี้ไม่มีอะไรทำ จึงไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกา’
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่สิบหกเดือนสิบเอ็ด’
‘เมี่ยวเจินออกจากเมืองหลวง ทำดีสั่งสมกุศล รู้สึกเศร้าใจ จึงไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกา’
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่สิบเจ็ดเดือนสิบเอ็ด’
‘ดื่มชากับเว่ยกง สนทนาแผนการปกครองของดินแดนประจิมทิศกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พูดเรื่องอะไรกันน่ะ สู้ไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกาดีกว่า’
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่ยี่สิบเดือนสิบเอ็ด’
‘บำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิงกระทั่งตะวันลับฟ้า ตกดึกก็ไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกา’
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่ยี่สิบสามเดือนสิบเอ็ด’
‘อาซูหลัวกลับดินแดนประจิมทิศสร้างเผ่าอสูรขึ้นอีกครั้ง รู้สึกเศร้าใจ จึงไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกา’
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่ยี่สิบหกเดือนสิบเอ็ด’
‘ฉู่หยวนเจิ่นออกท่องจิ่วโจว ยุทธภพเส้นทางยาวไกล มีวาสนาคงได้พบกันอีก รู้สึกเศร้าใจ จึงไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกา’
“…”
‘รัชศกฮว๋ายชิ่งปีที่หนึ่ง วันที่สิบสี่เดือนสิบสอง’
‘วันนี้ไม่มีอะไรทำ จึงไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกา’
จบบริบูรณ์
………………………………………