ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 912 เทพยุทธ์ไร้เทียมทาน (1)
บทที่ 912 เทพยุทธ์ไร้เทียมทาน (1)
……….
“โฮก!!!”
ได้เห็นกับตาว่าท่านโหราจารย์กลายเป็นแสงสว่างผสานเข้าสู่ภายในร่างของสวี่ชีอันแทนที่หลุมดำของฮวง ยังมีภูเขาเนื้อว้าวุ่นที่แหวกว่ายชนกันอยู่กลางอากาศ พร้อมกับส่งเสียงคำรามอันเคืองแค้นและร้อนรุ่ม
กระแสเสียงหลั่งไหล ดังก้องฟากฟ้าบนเกาะเทพมาร
เหล่าพระองค์พุ่งชนเสาแห่งแสงคล้ายกับคลุ้มคลั่ง พลังระดับสุดยอดพัดกระพือสายลมระห่ำ นำมาซึ่งนิมิตฟ้าดิน
หมู่เกาะที่เปรียบได้กับแผ่นดินใหญ่ขนาดย่อมสั่นไหวเล็กน้อย สั่นไหวตามการนำของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดคลื่นน้ำรุนแรงในมหาสมุทรรอบด้าน
โชคดีที่สิ่งมีชีวิตในรัศมีร้อยกว่าลี้สาบสูญไปหมดแล้ว มิเช่นนั้นต้องมี ‘ศพเกลื่อนนับล้าน’ เลือดไหลนองเป็นพันลี้
สวี่ชีอันเมินเฉยความบ้าคลั่งของสองระดับสุดยอด หลับตามองความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ขณะที่ตายจากความอ่อนแรง พลังชีวิตและจิตเดิมของเขาก็ดับสิ้นอย่างสมบูรณ์ มีเพียง ‘อักขระอมตะ’ ภายในร่างยังอยู่
ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
การช่วยชีวิตสวี่ชีอันครั้งนี้ ท่านโหราจารย์กระตุ้นคุณสมบัติของอักขระอมตะ ทำให้เขาฟื้นคืนชีพ
แสงที่ท่านโหราจารย์แปลงกายผสานเข้าไปในทุกอณูส่วนภายในร่าง กระตุ้นอักขระอมตะที่จมลงสู่การหลับใหลเพราะตายจากความอ่อนล้า
ชั่วขณะนั้นปราณของสวี่ชีอันก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดและกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในเวลาอันสั้น ปราณโลหิตเปี่ยมล้น พลังมหาศาลหลั่งไหลทุกอณูส่วน
ยังไม่จบเท่านี้ แสงสว่างไม่ได้สลายหาย แต่ผสานเข้าสู่อักขระอมตะ
วินาทีต่อมาอักขระอมตะที่เคยแยกตัวเป็นอิสระและไม่ก้าวก่ายต่อกันในอณูส่วน เริ่มเชื่อมต่อและรวมเข้าด้วยกัน ‘ค่ายกลสะเทือนโลกา’ กำลังก่อตัวเป็นรูป
เสินซูคาดเดาไม่ผิด กุญแจสำคัญในการเลื่อนเป็นเทพยุทธ์คือรวบรวมอักขระอมตะภายในร่างเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเข้าทั้งหมด ให้พวกมันผสานรวมเข้าด้วยกัน
เมื่ออักขระอมตะรวมตัวและหลอมรวมได้ถึงหนึ่งในสาม ลมปราณของสวี่ชีอันที่เคยทะยานขึ้นสูงสุดก็ทะลวงขีดจำกัด พลังปราณและพละกำลังของเขาอยู่เหนือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอย่างเป็นทางการ เพิ่มขึ้นถึงจุดที่ไม่มีใครเคยบรรลุมาก่อน
อยู่เหนือกว่าสภาวะระเบิดขณะที่เขาเพิ่งใช้หยกสลายและอยู่เหนือพลังของเทพเจ้ากู่ขณะที่ใช้วิชาสังเวยโลหิตเช่นกัน
กำลังทวีเพิ่มอีกด้วย
เมื่ออักขระอมตะรวมตัวถึงครึ่ง สวี่ชีอันก็ได้รับพลังวิเศษฟ้าประทาน พลังวิเศษฟ้าประทานเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวรุ่นพัฒนา เขาตั้งขอบเขตเองได้ ทุกกฎเกณฑ์จะไม่มีผลในขอบเขตนี้
เขาเป็นเทพ เขาเป็นผู้ครองอำนาจ
สวี่ชีอันนึกถึงความพิเศษของระบบจอมยุทธ์โดยไม่รู้ตัว…สร้างโลกของตัวเอง!
ร่างภาพ ‘ค่ายกลสะเทือนโลกา’ ต่อให้สมบูรณ์แบบ เมื่อมันใกล้จะสมบูรณ์ ประตูสวรรค์บนน่านฟ้าก็ปิดลงช้าๆ เสาแห่งแสงมลายหาย
สวี่ชีอันไม่ได้รับการคุ้มครองอีกต่อไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ พายุหมุนในหลุมดำก็หมุนสุดแรง โจมตีเข้าใส่สวี่ชีอันด้วยพลังดูดอันน่าสะพรึง
ช่องลมภูเขาเนื้อที่วุ่นวายบนฟ้าขับหมอกเลือดและพ่นออกทันที ระหว่างนี้พระองค์จะใช้ทักษะอำพราง กระตุ้นตัณหา และพ่นจื่อกู่ที่อัดแน่นคล้ายควันดำออกมา ร่วมมือกับฮวงก่อกวนเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
‘เป๊าะ!’
สวี่ชีอันยกมือขึ้นและดีดนิ้ว
เขตปราณที่มองไม่เห็นขยายตัวในทันใด ดีดตัวออกจากหลุมดำ ขวางควันหนาทึบอยู่ด้านนอกและสกัดกั้นพลังของอั้นกู่และฉิงกู่
เทพเจ้ากู่ที่ใช้วิชาสังเวยโลหิตพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและโจมตีบนเขตปราณอย่างแรง ไม่เพียงแต่ไม่สะเทือนม่านพลัง ตนเองกลับพุ่งชนจนเนื้อตัวเหวอะหวะ แล้วดีดออกไปคล้ายชิ้นเนื้อเละ
บัดนี้โครงร่างสุดท้ายของอักขระอมตะก็เสร็จสมบูรณ์ ค่ายกลสะเทือนโลการวมตัวสำเร็จ
เทพยุทธ์ถือกำเนิด!
‘ตูม ตาม!’
ท้องนภาที่ลอยล่องด้วยเมฆแดงและเมฆเขียวเบาบาง บัดนี้เมฆดำที่หนาแน่นได้ก่อตัวขึ้น เมฆดำทอดยาวไปจนสุดสายตา ราวกับจะบดบังทั่วทั้งจิ่วโจว
เสียงฟ้าร้องแผดคำราม แรงกดดันอันน่าสะพรึงส่งลงมาจากฟ้า เคราะห์สวรรค์ก่อตัว
บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นฮวงหรือเทพเจ้ากู่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความหวาดกลัวนี้มาจากเคราะห์สวรรค์ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งมาจากเทพยุทธ์ที่ยืนองอาจอยู่ข้างหน้า
เหล่าพระองค์อายุขัยยืนยาว ถือกำเนิดบนโลกในช่วงแรกที่เปิดสวรรค์ ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวนานพ้นผ่าน ไม่เคยพบเคราะห์สวรรค์ที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน
…
เมืองหลวง
เสียงฟ้าร้องที่เกิดฉับพลันแผดเสียง ม้าที่วิ่งห้อบนถนนตื่นตกใจ ไม่วิ่งพล่านไปทั่วก็คุกเข่าลงกับพื้น
ผู้คนสัญจรนั่งยองกุมศีรษะและปิดหูอย่างไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวจากสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นภายในใจยากจะอธิบาย ต่างตัวสั่นระริก
ภายใต้แรงกดดันจากฟ้าดินอันน่าหวาดกลัวนี้ ขุนนางเรืองอำนาจไม่ต่างอะไรกับประชาชนทั่วไปแม้แต่น้อย
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ สองมือจับราว ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าของเขาแสดงความตื่นเต้นอย่างยากจะควบคุม
ภายในห้องน้ำชา ใบหน้าสวยของหนานกงเชี่ยนโหรวซีดขาว แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา
“ท่านพ่อบุญธรรม นะ นี่มัน…”
เว่ยเยวียนไม่ได้หันหน้า ทอดมองไปทางใต้ แล้วหายใจถี่กระชั้นอย่างเงียบๆ
เทพยุทธ์ถือกำเนิดแล้ว…หนานกงเชี่ยนโหรวสีหน้าซึมกะทือ ไม่รู้ว่าตะลึง ดีใจ ตระหนก หรือว่าหวาดกลัว
ขณะเดียวกัน ณ หอดูดาว
ฉู่ไฉ่เวยกับซ่งชิงยืนอยู่บนแท่นแปดทิศ ทอดมองท้องนภาสูงตระหง่านไร้ขอบเขต ในสายตาของทุกคน ฟ้าสีครามเข้มไม่ต่างจากปกติ ทว่าพวกเขารับรู้ได้ถึงโทสะของวิถีแห่งฟ้าอันน่าสะพรึงที่กำลังสะสมและก่อตัวบนสวรรค์ชั้นเก้า
“ศิษย์พี่ซ่ง เหตุใดจู่ๆ ถึงฟ้าผ่าล่ะ”
ฉู่ไฉ่เวยเงยหน้ามองฟ้าด้วยความหวาดกลัว ในใจคิดว่าหอดูดาวสูงเพียงนี้ หากฟ้าผ่าใส่ตนจนบาดเจ็บจะทำอย่างไร
แล้วหันหน้าหลบอยู่หลังซ่งชิง
ซ่งชิงเอ่ยเสียงเบา
“ท่านโหราจารย์…”
…
เหลยโจว!
หลี่เมี่ยวเจินเหยียบกระบี่บิน สอดส่องสายตาทั่วสารทิศ ความเศร้าในดวงตามิอาจปิดบัง
เมื่อไม่นานมานี้ เมืองที่มีประชากรจำนวนมากถูกก้อนเนื้อกลืนกินไม่เหลือราวกับสึนามิ ประชาชนในเมืองนับหมื่นคนและประชาชนในชนบทรอบข้างดับสูญไปอย่างเงียบงัน กลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้พระพุทธเจ้ารวบรวมผนึกภูผาธารา
นางอดหันหน้ามองสหายข้างกายไม่ได้ โค่วหยางโจว อาซูหลัว จิ้งจอกเก้าหาง และเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ แต่ละคนนิ่งเงียบ สีหน้าหนักอึ้ง
เสินซูนั่งขัดสมาธิอยู่บนความว่างเปล่า โดยชิ้นส่วนแขนขาของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนลอยล่องอยู่ข้างกาย ตอนนี้ชิ้นส่วนแขนขาได้แห้งเหี่ยว แก่นเลือดเนื้อกลายเป็นสิ่งบำรุงที่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวใช้รักษาให้มีชีวิตรอด
แม้จะช่วยชีวิตเสินซูและรักษาพลังต่อสู้ไว้ได้ ทว่าการรบประจัญเป็นเวลานานก็ทำให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวผู้นี้เสียหายอย่างหนัก ไม่มีแรงสู้ต่อในชั่วเวลาสั้นๆ
ดังนั้นกลยุทธ์ฝั่งต้าฟ่งคือ ยอมสละเหลยโจวชั่วคราว รอให้เสินซูฟื้นตัวระดับหนึ่ง ค่อยสู้กับพระพุทธเจ้า
“ดาบทู่ฟันเนื้อก็ไม่รู้ว่าถ่วงเวลาได้นานเท่าไร”
ผู้นำของเผ่าฉิงกู่หลวนอวี้เอ่ยเสียงเบา
“พวกเราสูญเสียสองกำลังสำคัญอย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนและเจ้าสำนักจ้าวไป การประมือในรอบหน้า ไต้ซือเสินซูก็จะแพ้เร็วกว่าเดิม”
เมื่อหลี่เมี่ยวเจินที่นิสัยแข็งกระด้างได้ยินก็หันหน้าตวาด
“ถ่วงได้นานเท่าไรก็เท่านั้น เจ้ากลัวตายก็ไสหัวกลับซินเจียงตอนใต้ไป อย่าได้สั่นคลอนขวัญทหารที่นี่”
นางมองเห็นประชาชนนับไม่ถ้วนล้มตาย ทำอะไรไม่ได้ เดิมก็ร้อนรนอยู่แล้ว ยังรู้ว่าหญิงงามของเผ่าพันธุ์กู่กับสวี่ชีอันมีความสัมพันธ์คลุมเครือก็ย่อมไม่เป็นมิตรกับนาง
หลวนอวี้เย้ยหยัน กำลังจะพูดยอกย้อนก็พลันได้ยินอาซูหลัวเอ่ยเสียงขรึม
“พระองค์รวบรวมผนึกภูผาธารา”
พระพุทธรูปที่ยืนอยู่ใน ‘หล่มโคลน’ ไกลออกไป พนมมือทั้งสิบสองคู่ แสงสว่างดวงเล็กเกาะตัวกันบนกลางฝ่ามือที่ซ้อนเป็นชั้น แสงที่สว่างกว่าทะลักออกจากความว่างเปล่าทั่วสารทิศ แล้วบรรจบที่กลางฝ่ามือ
ไม่นานนักแสงสว่างก็กลายเป็นโครงร่างของผนึกขนาดเล็ก
หากผนึกภูผาธาราหลอมรวม พระพุทธเจ้าที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตในเหลยโจวจะกลายเป็นผู้ครองอำนาจของเหลยโจว
จากนั้นตราบใดที่ได้รับโชคชะตา พระองค์ก็จะขัดเกลาเหลยโจวได้อย่างแท้จริงเหมือนกับที่เข้าแทนที่ดินแดนประจิมทิศ
แม้จะเตรียมใจสละเหลยโจวมาแล้ว ทว่าเมื่อเห็นมันตกอยู่ในมือศัตรูจริงๆ แล้วศัตรูอาศัยความแข็งแกร่งนี้ดับมอดสิ่งหนึ่งเพื่อเสริมสร้างอีกสิ่ง ในใจของเหนือมนุษย์ทุกคนยังเต็มไปด้วยความวิตกอยู่ดี
การมองไม่เห็นความหวังนั้นทรมานคนยิ่งกว่าความวิตก รวมถึงความอ่อนแอที่ฝังลึก
“ไม่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่อยู่ที่โพ้นทะเลจะเป็นอย่างไรบ้าง…”
หลงถูเอ่ยเสียงทุ้มดัง
สถานการณ์พลันเงียบลง เหนือมนุษย์ทุกคนสีหน้าแปลกพิลึก ไม่แข็งทื่อหรือเศร้าหมองก็ฉุนเฉียว…
พวกเขาเลี่ยงประเด็นสนทนานี้มาตลอด เพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศที่เคยหนักอึ้งจะแย่ลงกว่าเดิม
สวี่ชีอันเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา ไปสู้รบโดยแบกความหวังนี้ไว้ พวกเขามีศรัทธาและความหวังอยู่ในใจ แม้นี่จะเป็นการหลอกตัวเองก็ตาม
หากจะอธิบายให้เข้าใจ สถานการณ์เป็นจริงก็คือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวต้องเผชิญสองระดับสุดยอดที่โพ้นทะเล
มีโอกาสชนะหรือไม่
การต่อสู้ระหว่างเสินซูกับพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ระดับสุดยอดหนึ่งคนยังปราบเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ นับประสาอะไรกับระดับสุดยอดสองคน
แม้สวี่ชีอันจะแข็งแกร่งกว่าเสินซู ทว่าระดับไม่ต่างกันจะแกร่งได้ถึงเพียงใด
‘หลงถูเจ้าโง่นี่’…ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ก่นด่าในใจ
อีกด้านหนึ่ง ผนึกภูผาธาราในมือพระพุทธรูปแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักผลึกเล็กที่ฝังด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน พื้นหลังดำสนิท และสลักด้วยลวดลายอันซับซ้อนก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น
มือทั้งสิบสองคู่ของพระพุทธเจ้ายกผนึกภูผาธาราขึ้นสูง
บัดนี้เสียงฟ้าร้องบนฟ้าดังก้อง แรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงย่างกราย ในใจของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทุกคนที่นี่หวาดกลัวเข้ากระดูก ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเหินฟ้า
เกิดอะไรขึ้น เคราะห์สวรรค์อีกแล้วหรือ ในใจเหนือมนุษย์ทุกคนเย็นเฉียบ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย มาจากสัญชาตญาณ แล้วร่อนลงอย่างรู้กัน
พระพุทธเจ้าที่อยู่ไกลออกไปยกผนึกภูผาธาราขึ้นสูงก็ชะงักในทันใด
…
นอกด่านอวี้หยาง
กำแพงเมืองที่พังทลาย พื้นดินที่รกร้าง เมื่อลืมตาจ้องมอง สิ่งมีชีวิตต่างสาบสูญ
ฮว๋ายชิ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองเพียงลำพัง ทอดมองไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมฆดำดุจหมึกเข้มบนขอบฟ้ากำลังรวมตัวกันและลอยล่องซ้อนกันเป็นชั้น
ประจักษ์ชัดว่าเทพพ่อมดได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งนั้น
แม้ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะขับไล่เทพพ่อมด ทว่าก็ต้านได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง รอเทพพ่อมดกำจัดผลกระทบจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์และฟื้นคืนสภาพ หายนะจะมาเยือนอีกครั้ง
“ต้านได้ชั่วเวลาหนึ่ง แต่ต้านไม่ได้ตลอดไป มีเพียงเทพยุทธ์ที่จะสงบมหาเคราะห์ได้ หนิงเยี่ยน เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่…”
ฮว๋ายชิ่งหันหน้ามองไปทางใต้
ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องแผดก้องบนท้องนภา โปร่งโล่งไร้เมฆและสายลม ทว่าแรงกดดันของฟ้าดินมหาศาลอันน่ากลัวกลับหลั่งไหลลงมาจากบนสวรรค์ชั้นเก้า
หัวใจของจักรพรรดินีสั่นไหว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงรู้สึกสั่นเทาตามสัญชาตญาณ
ไกลออกไป ชั้นเมฆดำที่ลอยล่องหยุดชะงัก จากนั้นเสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นก็ดังขึ้น
เมฆดำเริ่มหดตัวตาม หดตัวไปบนฟ้ากว้าง
ระหว่างนั้นฮว๋ายชิ่งก็ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบเล็กน้อย
เกิดอะไรขึ้น
…
เกาะเทพมาร
เมฆหมอกเคราะห์กรรมที่ปกคลุมน่านฟ้าไม่ได้ตกลงมาในท้ายที่สุด หลังจากเสียงฟ้าร้องแผดก้องก็เริ่มสลาย ไม่นานนักฟ้าสีครามก็ปรากฏอีกครั้ง
เมฆหมอกเคราะห์กรรมเกิดขึ้นเพราะการมีอยู่ของเทพยุทธ์ฝ่าฝืนวิถีแห่งฟ้า ละเมิดกฎระเบียบ
กระทั่งตอนนี้ ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจว่าเทพยุทธ์คืออะไร เทพยุทธ์อยู่ในโลก แต่กลับไม่ได้ถูกผูกมัดจากกฎฟ้าดินแต่อย่างใด บุคคลที่เป็นอิสระ ฝืนชะตากรรม หมื่นวิชาไม่กล้ำกราย
หากให้เปรียบเทียบก็เหมือนมีโลกใบเล็กที่เป็นอิสระอยู่ในโลกของจิ่วโจว
หากเทพยุทธ์ควบคุมเขตแดน เช่นนั้นกฎของจิ่วโจวภายในเขตแดนก็จะไม่เกิดผล
โลกของจิ่วโจวไม่อนุญาตให้ของต้องห้ามเช่นนี้อยู่ในโลก ดังนั้นจึงต้องตกสู่เคราะห์สวรรค์
เพราะลักษณะเฉพาะเช่นนี้ เทพยุทธ์จึงมิอาจแทนที่วิถีแห่งฟ้าเหมือนระดับสุดยอดได้ การกลายเป็นวิถีแห่งฟ้าเป็นตัวเลือกดีที่สุดของคนเฝ้าประตู
เคราะห์สวรรค์ไม่ได้ตกลงเพราะเขาได้รับการยอมรับจากประชาชน ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน และรวบรวมโชคชะตาเพียงพอ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ของต้องห้ามเช่นสวี่ชีอันได้รับการยอมรับจากโลกจิ่วโจว
“เทพยุทธ์แข็งแกร็งเพียงใด”
ฮวงถามผ่านกระแสจิต น้ำเสียงจริงจังและเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เทพยุทธ์ไม่เคยปรากฏตัว”
คำตอบของเทพเจ้ากู่กระชับความ
เมื่อสิ้นเสียง ร่างของพระองค์ก็พลันขยายตัว กลายเป็นม่านที่บดบังทั่วน่านฟ้า ปกคลุมตัวฮวงโดยที่ฮวงก็ไม่ขัดขืน
ม่านห่อหุ้มฮวง แล้วหายไปจากเกาะเทพมารที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
เหล่าพระองค์ถอยทัพแล้ว
มีเหตุผลสองประการ ประการแรก สองเทพมารบรรพกาลเจอการต่อสู้เป็นเวลานาน สภาพแย่ลงอย่างมาก ต้องการเวลาฟื้นตัว
ประการที่สอง ไม่รู้ว่าเทพยุทธ์แข็งแกร่งเพียงใด การถอยทัพอย่างรอบคอบเป็นตัวเลือกดีที่สุด
สวี่ชีอันไม่ได้ขัดขวาง ยืนอยู่ที่ไกลๆ กำลังรอบางอย่าง
ผ่านไปได้ไม่นาน
‘ฟิ้ว!’
แสงสว่างใต้น่านฟ้าตกลงบนพื้นดิน กลายเป็นดาบยาวปลายแคบสีทองเข้ม ตัวดาบโค้งเล็กน้อย จะเป็นกระบี่ก็ไม่ใช่ ดาบก็ไม่เชิง
ดาบไท่ผิงปักอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน แสดงความตื่นเต้นและฮึกเหิม ความหมายประมาณว่า
เจ้านาย ตอนนี้ข้าโคตรเจ๋งเลย!
“หยุดพล่ามไร้สาระ แล้วไปกำจัดศัตรูกับข้า”
สวี่ชีอันถือดาบไท่ผิง ก้าวออกไป เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายด้วยมหาเนตร มองข้ามกฎและหายไปจากตรงนั้น
…
พระพุทธรูปที่ยืนอยู่ท่ามกลางหล่มโคลนหันร่างช้าๆ ทอดมองไปทางใต้ น้ำเสียงอันใหญ่โตและน่าเกรงขามเอ่ยคำราม
“เทพยุทธ์! ”
วินาทีต่อมาพระองค์ก็ทรุดกองเป็นก้อนเนื้อสีแดงเข้มกลับเขาไปในหล่มโคลน จากนั้นหล่มโคลนไร้ขอบเขตที่กว้างดุจมหาสมุทร ‘ลดกระแสน้ำ’ แล้วถอยกลับไปทางดินแดนประจิมทิศก่อน
ผ่านไปนาน หลวนอวี้ก็เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
“ทะ เทพยุทธ์หรือ เมื่อครู่พระองค์พูดว่าเทพยุทธ์หรือ?! เทพยุทธ์จากมาไหน ใครเป็นเทพยุทธ์! ”
นางกลั้นหายใจ มีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจ ทว่ายังมองผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทุกคนเต็มไปด้วยสีหน้าตะลึงและจมอยู่กับคำว่า ‘เหนือมนุษย์’ แบบเดียวกันด้วยสายตาที่ต้องการคำยืนยัน พยายามให้ได้รับการยอมรับ
คำพูดของหลวนอวี้ทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียด ทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนตรงนั้นตื่นจากภวังค์
ทว่าไม่มีใครตอบหลวนอวี้ เพราะกลัวว่านี่จะเป็นฝันลมๆ แล้งๆ
เงียบอยู่นาน ก่อนลั่วอวี้เหิงจะเอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย
“ตามขึ้นไปดูกัน”
นางหมายถึงจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ชายแดนดินแดนประจิมทิศ
นางพูดจบก็ไม่รอให้ใครตอบรับ เหยียบกระบี่บินและเปลี่ยนเป็นลำแสงพร่างพราวมุ่งไปทางดินแดนประจิมทิศ
เหนือมนุษย์ทุกคนหันกลับมามองเสินซู เมื่อเห็นเขายังนั่งขัดสมาธิ ไม่ได้ขัดขวาง เมื่อตัดสินใจได้ก็ตามออกไป
หลังจากผ่านไปนาน เมื่อพวกเขามาถึงชายแดนดินแดนประจิมทิศก็มองเห็นพระพุทธรูปสูงนับสิบจั้งอยู่ไกลๆ ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งร้างในดินแดนประจิมทิศตามลำพัง ใบหน้าของพระองค์หันไปทางใต้อยู่ตลอด
ทางใต้ โพ้นทะเล…เมื่อเห็นเช่นนี้ ลั่วอวี้เหิงและคนอื่นๆ ก็ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป
สวี่หนิงเยี่ยนเลื่อนเป็นเทพยุทธ์ได้สำเร็จ นี่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องถอยกลับดินแดนประจิมทิศอย่างหวาดกลัว เตรียมตัวเผชิญหน้าศัตรู เพราะพระองค์ไม่มีศัตรูอยู่ที่ดินแดนประจิมทิศ
บัดนี้ ท้องฟ้าเหนือศีรษะพระพุทธเจ้า เมฆดำคล้ายหยดหมึกพลันรวมตัวกันบนน่านฟ้า เมฆดำลอยล่องซ้อนกันเป็นชั้น ใบหน้าเลือนรางโผล่ออกมาจากชั้นเมฆ
เทพพ่อมด!
พระองค์สละดินแดนของตน เลิกกวาดล้างที่ราบลุ่มภาคกลาง ขัดเกลาผนึกภูผาธารา แล้วมาที่ดินแดนประจิมทิศในฐานะระดับสุดยอดที่ ‘ปล่อยวาง’
ตราบใดที่ไม่รวบรวมผนึกภูผาธารา กลืนกินกฎฟ้าดิน จะไปไหนมาไหนด้วยร่างระดับสุดยอดก็ไม่ถูกจำกัด
ตอนนี้เทพพ่อมดมาเยือนจิ่วโจว พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ขัดขวาง
ใบหน้าเลือนรางบนฟ้ากับพระพุทธรูปบนดินไม่ได้สื่อสารหรือปะทะกัน แต่ปรองดองกันอย่างยิ่ง
ลั่วอวี้เหิงใจเต้น เข้าใจแผนการของเหล่าระดับสุดยอด
เทพพ่อมดและพระพุทธเจ้าชุมนุมกันที่ดินแดนประจิมทิศเพราะอยากใช้ความสามารถของพระพุทธเจ้าที่เป็นกฎดินแดนประจิมทิศเผชิญหน้าเทพยุทธ์และต่อสู้ตัดสินครั้งสุดท้ายกับเขา
แล้วเหตุใดถึงเลือกดินแดนประจิมทิศไม่ใช่เมืองจิ้งซาน น่าจะเป็นเพราะศักยภาพของพระพุทธเจ้าสูงกว่าเทพพ่อมด
เวลาผ่านไปไม่นาน จู่ๆ แรงกดดันอันน่าสะพรึงก็มาเยือนอีกครั้ง ร่างใหญ่ดุจภูเขาทั้งสองปรากฏตัวบนทุ่งราบอันรกร้างของดินแดนประจิมทิศ ปรากฏตัวท่ามกลางสายตาของเหนือมนุษย์ทุกคน
นี่ทำให้ความปลาบปลื้มที่เพิ่งจะเปี่ยมล้นในสายตาของพวกเขาถูกทำลาย
ไม่ใช่สวี่ชีอัน
“สี่ระดับสุดยอดรวมตัวกัน…” หลงถูกลืนน้ำลาย “พวกเขาคิดจะทำอะไร”
อาซูหลัวเอ่ยเสียงขรึม
“แน่นอนว่าเพื่อจัดการสวี่ชีอัน”
ทุกคนฉายสีหน้าเคร่งขรึมและกังวลออกมา
แม้จะบอกว่าเทพยุทธ์เอาชนะระดับสุดยอดได้ ทว่าพวกเขาคิดว่าจะชนะได้ก็ต่อเมื่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ทว่าอย่างไรก็ตาม พลังต่อสู้ของเทพยุทธ์พวกเขาไม่รู้แน่ชัด ดังนั้นแม้ในใจจะกังวล ทว่าก็ไม่ถึงขั้นตื่นตระหนก
“สวี่ชีอันเลื่อนเป็นเทพยุทธ์แล้ว”
เพิ่งจะปรากฏกาย ฮวงก็เอ่ยปากอย่างร้อนรน น้ำเสียงทุ้มต่ำ
ใบหน้าคนในเมฆดำดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของพระพุทธเจ้าพร่ามัว ไม่แสดงอารมณ์ ทว่าทันใดนั้นร่างธรรมทั้งแปดก็ปรากฏอยู่ด้านหลัง ตั้งท่าพร้อมรับมือ
เทพเจ้ากู่เอ่ยปาก
“ข้ากับฮวงหมดพลังไปมาก”
พระพุทธเจ้าพยักหน้า สองมือที่ยกพนมสะบัดเล็กน้อย ไม่เห็นอิทธิฤทธิ์หรือแสงสว่าง ทว่าลมปราณของเทพเจ้ากู่กับฮวงพุ่งขึ้นสูงในทันใด ฟื้นคืน กลับสู่สภาวะสูงสุด
………………………………………………