ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 910 ถึงคราวโชคเข้าข้าง (1)
บทที่ 910 ถึงคราวโชคเข้าข้าง (1)
……….
พระพุทธเจ้าชูร่างธรรมพระมหาไวโรจนะขึ้น ค่อยๆ กดพระอาทิตย์สีทองอำพันที่ขจัดพวกนอกรีตนอกรอย ชำระโลกให้บริสุทธิ์ลง
มันหนักมากถึงขนาดที่ว่า ด้วยพละกำลังของพระพุทธเจ้า เป็นเพียงการผลักไปอย่างช้าๆ เท่านั้น
และมันยังน่ากลัวมากเช่นกัน แสงสีทองเรืองรองแผดเผาทุกสิ่งยกเว้นพระพุทธเจ้า รูปร่างของร่างธรรมแห่งความมืดบิดเบี้ยวราวกับแก้วที่หลอมละลาย
พลังที่ประกอบเป็นร่างธรรมแห่งความมืดถูกทำลายล้างอย่างรวดเร็ว พวกมันชำระล้างให้บริสุทธิ์ด้วยแสงสีทอง
ร่างธรรมมลายสิ้นในชั่วอึดใจ ร่างอมตะของเสินซูอยู่ใต้ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร แขนทั้งแปดคู่ของพระพุทธเจ้าโอบอุ้มดวงอาทิตย์สีทอง กดลงบนหน้าอกเสินซู
ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรไม่ได้รุนแรงมากเหมือนอย่างที่คิด มันกำลังโดนขัดขวาง
สิ่งที่ขัดขวางมันไว้คือรากฐานของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอมตะ
‘ฟู่ว ฟู่ว ฟู่ว’…ข้างใต้ดวงอาทิตย์สีทองมีควันพวยพุ่งออกมา เป็นผลจากการพยายามเผาทำลายร่างเสินซู
เสินซูในตอนนั้น พ่ายแพ้ให้แก่ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร ร่างกายถูกชำแหละแล้วแยกปิดผนึกไว้ วันนี้ห้าร้อยปีต่อมา ดูเหมือนโชคชะตาจนวันเวียนมาบรรจบกัน
ไม่ คราวนี้เสินซูจะไม่โดนผนึกอีกต่อไป เขาต้องถูกสังหารทิ้งเท่านั้น
พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดิม พระองค์หันเหเปลี่ยนวิถี กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎของฟ้าดินแล้ว
นักบวชเต๋าจินเหลียน หลี่เมี่ยวเจิน หยางกง โค่วหยางโจวและเจียหลัวซู่ ดวงตาทุกคู่สะท้อนความสิ้นหวัง แม้จะรู้ว่าระหว่างสวี่ชีอันเดินทางออกนอกโพ้นทะเล ลึกๆ ในใจก็พร้อมพังพินาศไปด้วยกัน
แต่เมื่อช่วงเวลานี้มาถึง ความไม่ยินยอมและอ่อนแอ ยังคงท่วมท้นกลางทรวง พาลให้ขวัญกำลังใจของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์กลุ่มนี้ลดลง
ยิ่งด้านหลังคือประชาชนชาวเหลยโจว ถัดจากเหลยโจวก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยิ่งกว่า ส่วนเบื้องหน้าคือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่กำลังเข้าสู่ห้วงความตาย
ความอ่อนแอและความสิ้นหวังกำลังครอบงำพวกเขา
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถกำจัดความทุกข์ใจที่รุมเร้า กวัดแกว่งกระบี่บิน เหยียบแสงดาบอันเลื่องชื่อลือชา กระโจนเข้าสู่อาณาเขตไร้สีและช่องว่างมิติที่พระโพธิสัตว์มัญชุศรีแบกค้ำเอาไว้
การปะทะกันระหว่างคมดาบและกำแพงมิติช่องว่าง ทำให้เขตปราณเกิดประกายไฟ ชุดคลุมขนนกของลั่วอวี้เหิงปลิวไสว ดวงตาคู่สวยสะท้อนสะเก็ดกระบี่ที่ส่องประกาย นางดูเหมือนเทพเซียนที่ไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟ ซ้ำยังเหมือนเทพีแห่งสงครามที่งดงามอีกด้วย
กำแพงมิติช่องว่างที่ไม่เกิดระลอกคลื่น จู่ๆ ก็สั่นสะเทือนเกิดรอยยับย่นคล้ายระลอกคลื่นปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเสียง ‘ปัง’ ระเบิดดังอย่างต่อเนื่อง กำแพงมิติช่องว่างของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีพังทลายลงก่อน ตามด้วยขอบเขตของร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สีกลายเป็นลมกระโชกแรงพัดหายไป สิ่งต่างๆ กลับมามีสีสันอีกครั้ง
เป็นไปได้อย่างไรกัน ด้วยพลังการต่อสู้และความเร็วของพระโพธิสัตว์ทั้งสาม เป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงพวกเขาไปช่วยเสินซู หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ รู้สึกเสียขวัญ
เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ทั้งสาม แต่ก็ยังจัดการมันได้ เจียหลัวซู่ก้าวไปข้างหน้า เผชิญกับลั่วอวี้เหิง
ทักษะดาบของนิกายมนุษย์ไม่มีใครเทียบได้ ทั้งหลิวหลีและกว่างเสียนล้วนกลัวการเข้าใกล้นาง แต่เจียหลัวซู่ไม่กลัว กลับกัน ลั่วอวี้เหิงต่างหากที่กลัวเขา
พระโพธิสัตว์หลิวหลีชายตามองอาซูหลัวและคนอื่นๆ เมื่อใดที่พวกเขาลงมือ ก็พร้อมจะพากว่างเสียนเข้าสมทบทันที จะได้ให้เขาแสดงร่างธรรมมหาเมตตากรุณาและร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร
เมื่อร่างธรรมทั้งสองนี้ปรากฏ พลังต่อสู้ทางฝั่งของต้าฟ่งจะลดลง
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ประกบฝ่ามือจับกระบี่บินที่น่าเกรงขาม ท่ามกลางเสียงฟู่ว ฟู่ว…ชวนเข็ดฟัน เลือดเนื้อบนฝ่ามือได้ละลายหายอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อแขนสั่นเทิ้มกับการแย่งกระบี่อย่างเอาเป็นเอาตาย
กระบี่เพียงเล่มเดียว สามารถสร้างความเสียหายไม่น้อยให้แก่พระโพธิสัตว์ลูกสมุนที่ทรงพลังที่สุดของพระพุทธเจ้า
เจียหลัวซู่โน้มก้าวไปด้านหน้าลดระยะห่างกับลั่วอวี้เหิง ต้องการให้เซียนครองพิภพผู้นี้ได้ลิ้มรสผลที่ตามมา เพื่อให้นางชดใช้สำหรับการกระทำของนางอย่างแสนสาหัส
แผ่นดินยกตัวขึ้นกลายเป็นโล่หนาหน้าลั่วอวี้เหิง ครู่ต่อมา โล่ดินกลับแตกสลาย หมัดของเจียหลัวซู่ชกทะลุกลางอกลั่วอวี้เหิง เลือดสดสีทองเข้มพุ่งออกมาทางด้านหลังราวกับน้ำพุ
ไม่คาดคิด หางจิ้งจอกยาวฟูฟ่องโผล่พ้นออกมาจากเงาข้างใต้ร่างลั่วอวี้เหิง
ไม่มีแม้แต่สัญญาณ ไม่มีกลิ่นอายผันผวนใดๆ หางจิ้งจอกแยกตัวออกเป็นสองส่วนพันรอบกายพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและพระโพธิสัตว์หลิวหลี
การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โจมตีพระโพธิสัตว์ทั้งสามโดยไม่ทันระวัง หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ประหลาดใจและสับสน ยังมีตัวช่วยอีกหรือ?
ทันใดนั้น หลังจากเห็นหางจิ้งจอกขนปุกปุย ความทรงจำเก่าๆ ฝุ่นเกาะฟื้นคืนมาอีกครั้ง บุคคล ไม่สิ จอมปีศาจที่สอดคล้องต้องกันผุดขึ้นมาในหัวทุกคน นั่นคือ หางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง!
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางย้อนกลับมาที่จิ่วโจวตั้งนานแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะทนไม่ได้ต่อความตั้งใจของซุนเสวียนจี
นางที่ใช้ค่ายกลส่งตัวย้อนกลับมายังสำนักโหราจารย์ แล้วพบกับผู้พิทักษ์หยวนที่เฝ้าประตู ผู้พิทักษ์หยวนบอกแผนทั้งหมดกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแทนศิษย์พี่ ‘ใบ้’
แผนการนั้นง่ายมาก ซุนเสวียนจีจะใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์แทนนางและผู้นำเผ่าอั้นกู่ ต่อจากนั้น เขาก็ส่งกระแสจิตหาลั่วอวี้เหิง ขอให้อั้นกู่ซ่อนนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแฝงตัวอยู่ในเงาลั่วอวี้เหิง
ในเวลานี้ ผู้ที่รู้ถึงการมีอยู่ของเงาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มีเพียงซุนเสวียนจีและลั่วอวี้เหิง ทั้งยังไม่ละเมิดข้อจำกัดของ ‘วิชาอำพรางความลับสวรรค์’
ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้เงามาเป็นที่ตั้ง ก็เพราะวิธีนี้เท่านั้นถึงจะอำพรางได้ ถึงแม้ว่าวิชาอำพรางความลับสวรรค์จะปกปิดกลิ่นอายได้ แต่ไม่ว่าจะ ‘การส่งตัว’ ของระบบขงจื๊อหรือการส่งตัวของโหร ล้วนมาพร้อมกับคลื่นพลังงาน
เป็นการยากที่จะปกปิดโพธิสัตว์ทั้งสาม
อย่างไรก็ตาม ‘เงา’ ต้องซ่อนอยู่ในเงาลั่วอวี้เหิงล่วงหน้า แล้วค่อยใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์เพื่อปกปิดลมปราณ ตราบใดที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปหาเจียหลัวซู่ที่มีลางล่วงรู้วิกฤติและพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่ควบคุมร่างธรรมธุดงค์ก็สามารถบรรลุผลได้
“คิกๆๆ …”
เสียงหัวเราะใสกังวานคล้ายระฆังดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของหางฟูฟ่องทั้งแปดหาง เสียงปีศาจดังยั่วยวนชวนใจสั่นสะท้าน เหล่าจอมยุทธ์เหนือมนุษย์มีอาการประสาทหลอนและเวียนศีรษะ
ลั่วอวี้เหิงไม่หวั่นไหวเปิดปากเล็กน้อย พ่นปราณกระบี่ออกมาสองครั้ง ภาพตรงหน้าเจียหลัวซู่ค่อยๆ ดับมืด เบ้าตาทั้งสองมีโลหิตไหลลงมาอาบแก้ม
อีกด้านหนึ่ง พระโพธิสัตว์หลิวหลียังคงตื่นตระหนก เรียกอัญเชิญร่างธรรมธุดงค์ หลบหนีพันธนาการจากหางจิ้งจอก
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนอัญเชิญร่างธรรมมหาเมตตากรุณา แล้วล่าถอยมาตั้งหลัก แต่ความเร็วของเขาไม่อาจเทียบได้กับหลิวหลี จึงถูกหางที่ดูน่ารัก แต่ความจริงแล้วทลายเขาแยกแม่น้ำได้ทั้งสี่หางพัวพันในทันที
โอกาสแสนริบหรี่…
จู่ๆ หยางกงก็ก้าวขึ้นมา ตะโกนเสียงลั่น
“กว่างเสียนต้องไม่แสดงร่างธรรมมหาเมตตากรุณา!”
หลังจากพูดจบ เขาก็กระอักเลือดทรุดล้มลงบนพื้น จิตเดิมของหยางกงก็สูญสลายด้วยกลไกวรยุทธ์
นักบวชเต๋าจินเหลียนและหลี่เมี่ยวเจินยื่นมือออกมาพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบเสี้ยววิญญาณใส่ในกายตน
ระดับบรรลุธรรมลัทธิเต๋ามีวิธีขอตนเองในการบำรุงจิตเดิม
เป็นไปไม่ได้ที่วิชาเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตของขั้นสามจะสกัดขั้นหนึ่ง เสียงบทสวดระหว่างฟ้าดินพลันยืดยานคาง แม้นจะบนฟ้าจะมีแสงสีทองจะส่องลงมา แต่ร่างธรรมมหาเมตตากรุณากลับหลอมรวมไม่ทัน
ยังคงได้รับผลกระทบ
เงาใต้เท้าลั่วอวี้เหิงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทันใดนั้นก็ขยายตัวกลายเป็นเงามืดปกคลุมทั่วน่านฟ้าบดบังแสงสีทอง
เมื่อสูญเสียการสนับสนุนจากเงา นางปีศาจผมเงินก็โผล่ออกมาจากเงา
เมื่อเห็นเช่นนี้ พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็รีบกลับมาช่วยทันที ร่างของนางยังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องรอบๆ พระโพธิสัตว์กว่างเสียน เป็นผลให้สีสันทั้งหมดในบริเวณนั้นจางหาย
แต่อาณาเขตไร้สีก็หยุดยั้งจิ้งจอกเก้าหางที่เลื่อนสู้ขั้นหนึ่งไม่ได้
หางที่เหลือทั้งสี่ตบพื้นอย่างแรง ระหว่างแผ่นดินสั่นไหว อาณาเขตไร้สีก็แตกกระจาย
ลูกหลานเทพมารขั้นหนึ่ง ด้านความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์เลย
‘ตึง ตึง ตึง’…อาซูหลัวแบกร่างธรรมแห่งความมืด เหวี่ยงหมัดที่ระเบิดกลางอากาศ กระแทกเข้าหน้าเจียหลัวซู่จนเดินเซ
อีกด้านหนึ่ง ปราณดาบลอยเคว้ง แสงดาบที่กวาดล้างทุกสรรพสิ่งกลายเป็นวังวน โจมตีร่างทองของเจียหลัวซู่จนระเบิดขึ้นเป็นประกายไฟ
อาจารย์โค่วร่วมมือกับอาซูหลัวโจมตีพระโพธิสัตว์สำนักพุทธด้วยความเคียดแค้น เพื่อแก้ไขวิกฤตให้ลั่วอวี้เหิง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางใช้เท้าเขี่ยพื้นดิน คิ้วเรียวเลิกขึ้น ฉีกยิ้มยิงฟัน
“ตาเฒ่า เจ้าอาณาจักรนี้ส่งเจ้ากลับมาเกิด!”
เอวคอดเล็กบิดเล็กน้อย หางจิ้งจอกพลันฟาดลง ใบหน้าของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนดูเหี้ยมเกรียม ในขณะที่กำลังพยายามต้านทานแรงรัดรึง เพื่ออัญเชิญร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร
‘ครืน…’
ทันทีที่วงล้อปรากฏก็หมุนวนทันที คำว่า ‘มนุษย์’ และ ‘ปีศาจ’ ที่สลักไว้พลันสว่างขึ้น
แต่นี้เป็นเพียงการต่อสู้ที่สิ้นหวัง ถึงแม้ร่างธรรมมหาวัฏจัการจะทำให้พลังต่อสู้ของศัตรูอ่อนกำลังลง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ในชั่วพริบตา
กายหยาบของกว่างเสียนในรูปภิกษุหนุ่มถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ตามด้วยร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรที่เพิ่งควบแน่นสลายหายไปทันที
แสงสีทองจางๆ ลอยขึ้นมาจากส่วนขาที่เหลืออยู่ แสดงให้เห็นภาพภิกษุหนุ่มเลือนราง
นี่คือจิตเดิมของกว่างเสียน
ลั่วอวี้เหิง จินเหลียน หลี่เมี่ยวเจิน ระดับสุดยอดจากลัทธิเต๋าทั้งสามเหยียดมือออกไปพร้อมกัน สะบัดแรงๆ!
‘ร่าง’ ของภิกษุหนุ่มบิดเบี้ยวกลางอากาศ เขากรีดร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวไร้เสียง ราวกับไม่เต็มใจที่มีจุดจบเช่นนี้ ชั่วครู่ต่อมา จิตเดิมก็ระเบิดกระจัดกระจาย
จิตวิญญาณเตลิดเปิดเปิง…
ร่างธรรมหมอยาก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเขาเอาไว้ได้
ในเวลานี้ ร่างกายที่แตกสลายกระตุกดิ้น พยายามรวมตัวกันอีกครั้ง
เมื่อถึงระดับขั้นหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ระบบจอมยุทธ์ พลังชีวิตก็เหนือกว่าคนทั่วไปไกลแล้ว ทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแกร่ง
แต่กว่างเสียนสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ พละกำลังของร่างกายย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่าการดิ้นรนจนเฮือกสุดท้าย
กระทั่งตอนนี้ ความตายได้เปิดช่องว่าง
ในขณะที่ทุกคนต่างพากันร่วมมือกันสังหารพระโพธิสัตว์กว่างเสียน นักบวชเต๋าจินเหลียนพ่นลมหายใจออกมาผะแผ่ว หันมองหลี่เมี่ยวเจิน เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น
“ตาข้า”
ดวงตาหลี่เมี่ยวเจินพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
“นิกายปฐพีบ่มเพาะบุญกุศล อุทิศตนเพื่อสวรรค์ การสละชีวิตเพื่อสรรพสัตว์ในจิ่วโจว ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าอาตมาจะหวงแหนชีวิต แต่ไม่เคยกลัวตาย
“เมี่ยวเจิน นิกายปฐพีข้ามอบให้เจ้า”
เขาส่งแสงจางๆ ให้หลี่เมี่ยวเจินดวงหนึ่งพลางกล่าว
“ข้าคิดเสมอว่า ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ความคิดชั่วร้าย ล่อลวงเจินเต๋อให้บำเพ็ญพรต จะเกิดเรื่องอะไรตามมาภายหลังหรือไม่ เพียงแค่ความคิดเดียวของอาตมา ชีวิตนับพันต้องมาสูญเสียเพราะข้า”
“ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมมีผลตามมา วันนี้ได้สละชีวิตเพื่อใต้หล้า อาตมายินดีอย่างยิ่ง!”
หลี่เมี่ยวเจินน้ำตาไหล นางคิดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนผู้นี้ กำลังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดตอนนี้
นักบวชเต๋าจินเหลียนขึ้นเหยียบกระบี่ กลายเป็นลำแสง พุ่งทะยานไปยังทิศทางสนามรบ
ระหว่างท้องฟ้าและพื้นพิภพ เสียงบทสวดดังกึกก้อง
“ทุกข์สุขไร้ประตูเปิดปิด สุดแท้แต่มนุษย์จะเรียกหา ผลของดีชั่ว ตามติดเป็นเงาตามตัว
“ขึ้นชื่อว่าความดี ย่อมมีคนเคารพบูชา ความสุขติดตามมา สิ่งชั่วร้ายจะบรรลัย สุราลัยจะคุ้มครอง ขึ้นชื่อว่าความชั่ว มัวหมองด้วยจิตอกุศล โชคดีจะห่างพ้น เหลือเคราะห์กรรมตามติดตัว รอสวรรค์ลงทัณฑ์”
ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรผู้เด็ดขาดและแข็งแกร่ง เปล่งแสงสว่างทั่วทุกทิศทาง ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใด ภายใต้แสงแห่งพุทธะที่สาดส่อง มีเพียงผู้เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้นำนิกายปฐพีที่ต้องการอัตวินิบาตกรรม พระพุทธเจ้าต้องขจัดร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร ไม่ก็รักษาสภาพกายให้คงเดิม
ไม่ว่าจะเลือกทางใด เป้าหมายของนักเต๋าจินเหลียนก็ลุล่วงทั้งสิ้น
รูปลักษณ์ของนักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่ภายใต้ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักร ค่อยๆ หลอมละลายทีละนิดและกลายเป็นเถ้าถ่านปลิดปลิว
กำเนิดจากฟ้าดิน หมั่นเพียรสั่งสมกุศล
วายชีพด้วยกุศล ย่อมกลับคืนสู่ฟ้าดิน
วิถีเต๋าร้อยปีถูกทำลายในพริบตาเดียว!
ท้องฟ้าที่เดิมทีแจ่มใส ถูกปกคลุมด้วยเมฆครื้มในชั่วพริบตา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวดิ่งลงมาจากฝากฟ้า พร้อมกับอสนีบาตที่กำลังก่อตัวในม่านเมฆ
ฟ้าดินพิโรธ!
กลิ่นอายทัณฑ์สวรรค์ท่วมท้นทุกแห่งหน น่ากลัวกว่าตอนลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมไม่รู้กี่เท่า
ลั่วอวี้เหิง เจียหลัวซู่ หลิวหลี อาซูหลัว รวมถึงระดับเหนือมนุษย์ที่ทรงพลังเหมือนพวกเขา ขนลุกชันในขณะนี้ ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ที่หลีกหนีไม่ได้
สิ่งนี้ทำให้สิ่งชีวิตบนโลกมนุษย์ยอมจำนนต่อกฎแห่งฟ้าดิน ความน่าสะพรึงกลัวที่ตามติดมาด้วย ไม่สามารถระงับได้ด้วยการฝึกฝนทั่วๆ ไป
‘ตู้ม!’
เสาสายฟ้าสีขาวสว่างจ้าฟาดลงมาในบ่อ ‘ดินเลน’ ที่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร มวลสารเลือดเนื้อไม่กระจัดกระจาย แต่ถูกทำลายล้างอย่างเงียบๆ
‘ตู้ม ตู้ม ตู้ม’…เสียงฟ้าคำรามดังกระหึ่มแต่ละครั้ง ยิ่งทวีคูณความถี่และความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ทั่วอาณาบริเวณก็กลายเป็นทะเลสายฟ้า จนมองเห็นทิวทัศน์ไม่ชัดนัก
‘ทะเล’ ที่เต็มไปด้วยเลือดและเนื้อหายไปอย่างรวดเร็วภายใต้เคราะห์สวรรค์ เผยให้เห็นแผ่นดินที่ด่างดำเป็นหย่อมๆ
หากอยู่ในแดนประจิม พระองค์สามารถแก้ไขชะตากรรมได้ด้วยเพียงความคิด เพราะพระองค์คือ ‘สวรรค์’ แต่เหลยโจวยังไม่ใช่อาณาเขตของเขา แม้นจะเป็นถึงระดับสุดยอด แต่ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขกฎแห่งฟ้าดินและอดทนต่อเคราะห์สวรรค์
แน่นอนว่าทัณฑ์สวรรค์ไม่อาจสังหารพระพุทธเจ้า แต่การลงทัณฑ์อย่างรุนแรงและเข้มข้นเช่นนี้ ย่อมตายดีกว่าเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ด้วยความช่วยเหลือจาก ‘สหาย’ เสินซูก็พอจะแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้ได้
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ จางหาย แรงกดดันจากพระพุทธเจ้าก็อ่อนโรยลงเช่นกัน พระองค์จำเป็นต้องจัดสรรความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งเพื่อต่อสู้กับเคราะห์สวรรค์
‘ตู้ม!’
ท่ามกลางเสียงอึกทึก เสินซูพุ่งออกจากการควบคุมของร่างธรรมพระพุทธเจ้า วิ่งเข้าหาระหว่างเสาสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้หลบหนี แต่เคราะห์สวรรค์กลับหลบเลี่ยงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวผู้นี้
เลือดเนื้อสีแดงฉานรอบๆ บริเวณไล่ตามอย่างดุเดือด พยายามชะลอความเร็วของเขา โดยการพันรอบขาทั้งสองข้าง แต่ถึงกระนั้นเคราะห์สวรรค์ที่ส่องลงมาจากฟ้ายังคงทำลายพวกมัน
รวมถึง ‘ตัวตนเดิม’ ของพระพุทธเจ้าที่กำลังอัญเชิญร่างธรรม
…………………………………………………….