ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 892 ฝ่าฟันอุปสรรคครั้งที่สอง
บทที่ 892 ฝ่าฟันอุปสรรคครั้งที่สอง
……….
จ้าวโส่วกับหยางกงมองหน้ากัน พวกเขามิได้แปลกใจ หากแต่ถอนหายใจ
“สหายรักทั้งสองท่านมีปัญหาอะไรรึ?”
ฮว๋ายชิ่งถามอย่างผู้ทรงอำนาจ
จ้าวโส่วส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่เคยสื่อสารกับดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยสื่อสารกับวิญญาณอาวุธเลย”
ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…ตอนแรกสวี่ชีอันตกตะลึงจากนั้นก็ครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วจึงเอ่ยปากถามว่า
“ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
‘เขาใช้งานดาบสยบดินแดนบ่อยครั้ง แต่วิญญาณอาวุธในดาบไม่เคยสื่อสารกับเขา อาจเป็นเพราะตบะของเขายังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่เคยคิดอยากสื่อสารมาก่อน’
‘จนแม้เมื่อเขาเลื่อนระดับเป็นเหนือมนุษย์แล้ว ดาบสยบดินแดนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสื่อสารกับเขา’
‘อาวุธวิเศษนี้สืบทอดมาจากฮ่องเต้ผู้สถาปนาอาณาจักร เปรียบดั่งราชาผู้สง่างาม มักทำอะไรสุขุมลุ่มลึก ไม่นินทาว่าร้ายผู้อื่น ไม่ทำตัวโอหังเอาแต่ใจ กระทั่งยังไม่เคยทำอะไรแปลกประหลาด’
‘ทั้งยังทรงพลังยิ่งกว่าดาบไท่ผิง’
‘ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าในฐานะที่เป็นอาวุธเวทมนตร์ของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและรองปราชญ์เอก ทั้งดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อย่อมต้องรักษาเอกลักษณ์ที่ควรค่าแก่การเคารพไว้’
หวางเจินเหวินเป็นจิ้งจอกเฒ่า เขาเหลือบมองจ้าวโส่วแล้วพยายามพูดลองเชิง
“น่าจะมีอะไรอย่างอื่นแอบแฝง”
จ้าวโส่วพูดอย่างใจเย็น
“นั่นย่อมเป็นความจริง อันที่จริง มีการปิดผนึกวิญญาณอาวุธของดาบสลักไว้ตลอดเวลาและยังเป็นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองที่เป็นผู้ปิดผนึกไว้”
ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าวิญญาณอาวุธของดาบสลักถูกปิดผนึกไว้ พวกเขาสงสัยว่าใครกันที่สามารถปิดผนึกอาวุธเวทมนตร์ระดับสุดยอดนั้นได้ ทันใดนั้น พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าต้องเป็นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองที่เป็นผู้ปิดผนึกไว้ ทำให้จู่ๆ ทุกคนก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
สวี่ชีอันประหลาดใจจึงพูดว่า
“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อปิดผนึกดาบสลักไว้เองรึ?!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดน้ำเสียงลุ่มลึก
“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อมีเหตุผลอะไรไยต้องปิดผนึกอาวุธเวทมนตร์ของตนเอง?”
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงดูเคร่งเครียด ต่างตระหนักว่าอาจมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
และย่อมเกี่ยวข้องกับความลับของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ
‘อ่า’…เมื่อจ้าวโส่วเห็นว่าทุกคนเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เขาก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาไปที่หยางกงเป็นสัญญาณว่า ‘ช่วยพูดให้ข้าที’
หยางกงมึนงงสับสนจึงส่งสายตากลับไปว่า ‘ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักศึกษา ท่านพูดเองสิ’
เมื่อทั้งสองคนอับจนหนทาง ผู้พิทักษ์หยวนจึงพูดขึ้นช้าๆ
“หัวใจของอาจารย์จ้าวบอกข้าว่า เรื่องน่าอับอายแบบนี้พูดไม่ได้จริงๆ”
“หัวใจของอาจารย์หยางบอกข้าว่า ถ้าข้าพูดออกไป ข้าอาจทำให้นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและชาวลัทธิขงจื๊อต้องอับอาย…”
หยางกงกับจ้าวโส่วชะงักทันที
‘เรื่องน่าอับอาย นำความอับอายมาสู่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ’…ทุกคนมองตาเหนือมนุษย์ลัทธิขงจื๊อทั้งสองคนและเริ่มซุบซิบกันทันที
ทันใดนั้น พวกเขาก็หยุดคิดทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ความโกลาหลขยายวง – เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้พิทักษ์หยวนแทงพวกเขาข้างหลัง
“อะแฮ่ม!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ จ้าวโส่วจึงกระแอมไอและเมื่ออับจนหนทางไร้ที่ไปทางอื่นจึงกัดฟันพูดว่า
“เรื่องนี้บันทึกไว้ในเรียงความของรองปราชญ์เอกว่า ทุกครั้งที่อาจารย์ข้าเขียนหนังสือ ดาบกลับไม่ต้องการเขียน จากนั้นเมื่อท่านเริ่มเขียนหนังสืออีกครั้ง ดาบก็ไม่ยินยอมอีกครั้ง มันต้องการสั่งสอนอาจารย์ข้า เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจารย์ข้าจึงปิดผนึกมันไว้”
อะไรนะ? ดาบสลักต้องการสั่งสอนนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อให้เขียนหนังสือรึ? นี่คือตำนานของพู่กันที่ปีกกล้าขาแข็งอยากจะเขียนหนังสือด้วยตัวเองงั้นสิ…ถ้าตอนที่ข้าเรียนหนังสือ พู่กันในมือข้าเข้าใจเรื่องที่เขียน ข้าก็คงตื่นขึ้นมาหัวเราะทั้งที่ยังฝันอยู่…สวี่ชีอันเกือบเอามือปิดปากหัวเราะออกมาดังๆ อยู่แล้ว
เขากวาดตามองคนอื่น
เว่ยเยวียนหยิบถ้วยชาขึ้นมาและก้มหน้าดื่มชาอย่างจริงจัง ซ่อนสีหน้าของเขาไว้ไม่ให้ใครเห็น
นักบวชเต๋าจินเหลียนแสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์รอบตัว
หวางเจินเหวินตกตะลึง รู้สึกราวกับว่าศรัทธาในใจของเขาถูกบิดเบือนและทัศนคติที่มีต่อชีวิตตัวเองพังทลาย
หลี่หลิงซู่เล็งกระบี่บินไปที่คอผู้พิทักษ์หยวน
คนอื่นๆ ล้วนมีท่าทางการแสดงออกที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาทั้งหมดพยายามสุดกำลังที่จะสงบสติอารมณ์ไว้
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ไม่เข้าใจ หลงถูกับลี่น่าผู้เป็นลูกสาวดูสับสน
“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรตลกเลย” หลี่หลิงซู่พูดอย่างจริงจัง
“ดูเหมือนว่าคงหมดหวังกับดาบสลักแล้ว”
สวี่ชีอันพูดได้ถูกเวลาจริงๆ หลังจากจ้าวโส่วกับหยางกงคลายความลำบากใจลงแล้ว เขาก็ถามว่า
“แล้วมงกุฎขงจื๊อล่ะ? มงกุฎขงจื๊อคงไม่มาสอนรองปราชญ์เอกให้สวมหมวกเป็นแน่…”
“อุ๊บ…” หลี่เมี่ยวเจินอดไม่ได้ต้องหัวร่อออกมาดังๆ
“ขอโทษ ขอโทษ!” จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินโบกไม้โบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จ้าวโส่วไม่แยแสหลี่เมี่ยวเจิน ทว่าพูดอย่างเสียไม่ได้ว่า
“มงกุฎขงจื๊อพูดไม่ได้ พูดตรงๆ ก็คือ มงกุฎขงจื๊อไม่ชอบพูด”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” สวี่ชีอันถามในสิ่งที่ทุกคนสงสัย
หยางกงตอบคำถามแทนจ้าวโส่ว
“เจ้าควรรู้ว่าปัญญาชนอ่านหนังสือสี่เล่มและเรียนศิลปะหกเล่ม แม้ว่าเรื่องที่พวกเขาเรียนรู้จะกว้าง แต่พวกเขาก็ต้องมีความรู้ที่เป็นหลักยึดของตัวเอง”
เขารู้เรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เอ้อร์หลางเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม
ดูผิวเผินแล้ว เอ้อร์หลางเป็นปัญญาชนผู้มากมารยาท ยุติธรรมและซื่อสัตย์ ทว่ากลับมีเรื่องซ่อนเร้นมากมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งที่เขาไปพักค้างคืนในสำนักสังคีตกับเหล่านางคณิกา เอ้อร์หลางกลับไม่ขมวดคิ้วด้วยซ้ำตอนเขามาถึงบ้านและกำจัดกลิ่นส้มเขียวหวานออกไป
เขาเชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามและศิลปะแห่งการทำให้ศัตรูสับสนยิ่งนัก
หยางกงดึงไม้บรรทัดออกจากแขนเสื้อแล้วพูดว่า
“ข้าสั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้คนมายี่สิบปีแล้ว มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลก แม้ข้าจะศึกษาคัมภีร์กวี แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้ากลับอ่านคัมภีร์สามอักษรบ่อยครั้งที่สุด ดังนั้น ไม้บรรทัดอันนี้จึงเป็นเช่นนี้”
“เรื่องนี้จึงเป็นความผิดของบิดาที่สั่งสอนลูกไม่ดีและเป็นความเกียจคร้านของอาจารย์ที่ไม่สั่งสอนศิษย์อย่างเคร่งครัด”
ทันทีที่เขาพูดจบ ไม้บรรทัดก็ส่งแสงแจ่มชัดพร้อมจะเคลื่อนไหว
‘เห็นหรือไม่ คุณธรรมย่อมเป็นเช่นนี้’…หยางกงอดไม่ได้ต้องส่ายหัว
จู่ๆ อาซูหลัวก็พูดขึ้นว่า
“ดังนั้น มงกุฎขงจื๊อแห่งรองปราชญ์เอกในสังกัดนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ลัทธิขงจื๊อของท่านก็…”
จ้าวโส่วถอนหายใจ
“รองปราชญ์เอกเป็นคนช่างพูดยิ่งนักเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขามักก่อปัญหาด้วยการแลกเปลี่ยนที่ตื้นเขินจนเกิดเรื่องยุ่งเหยิง เขามักถูกนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อตำหนิและรองปราชญ์เอกเองก็คงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ดังนั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงมอบสมุดคัดลายมือซึ่งมีชื่อว่า สุภาพบุรุษ ระวังคำพูด! ให้เขา”
“รองปราชญ์เอกอยู่กับข้าทุกวัน ขณะนั้นเองมงกุฎขงจื๊อก็บังเกิดมีจิตสำนึกขึ้น”
“นับตั้งแต่บังเกิดจิตสำนึกขึ้นก็ไม่พูดอะไรสักคำ”
ไม่แปลกใจเลยที่ดาบสลักกับมงกุฎขงจื๊อไม่เคยคุยกับข้า อย่างหนึ่งพูดไม่ได้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็ไม่ชอบพูด…สวี่ชีอันถอนหายใจและพูดว่า
“มีวิธีใดที่จะทำลายผนึกของดาบสลักหรือทำให้มงกุฎขงจื๊อพูดได้?”
จ้าวโส่วส่ายหัว
“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเป็นผู้ปิดผนึกดาบสลักไว้ มีเพียงสองวิธีที่จะปลดผนึกได้ วิธีแรก รอให้ข้าเลื่อนไปสู่ขั้นสองก่อน อย่ากังวลเลย ผนึกที่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อวางไว้บนตัวดาบสลักไม่ได้มีพลังเทียบเท่าผนึกของระดับสุดยอดแน่นอน”
“จริงๆ แล้ว รองปราชญ์เอกก็สามารถทำลายผนึกได้ แต่เขาไม่กล้าต่อต้านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นเขาจึงไม่เคยปลดผนึกดาบสลักเลย”
“เมื่อข้าเลื่อนไปสู่ขั้นสอง จะได้ความช่วยเหลือระยะยาวจากร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมในเขาชิงอวิ๋นผนวกรวมเข้ากับพลังของมงกุฎขงจื๊อ จากนั้นเมื่อ ‘รวมภายในกับภายนอก’ ด้วยดาบสลัก ข้าก็น่าจะปลดผนึกได้”
“วิธีที่สอง ให้ท่านโหราจารย์ช่วยเหลือ”
“ท่านโหราจารย์เป็นโหรขั้นหนึ่งและเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ข้ารู้ว่าเขาย่อมมีวิธีเลี่ยงผนึกและสื่อสารกับดาบสลักได้
“ส่วนการจะให้มงกุฎขงจื๊อพูด…อาวุธเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อยึดติดความคิดเป็นของตัวเอง การขอให้พูดย่อมยากกว่าการหักหาญทำลายมัน”
ทั้งสองวิธีไม่มีวิธีใดเลยที่จะประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน
ในขณะนี้ไม่สามารถคาดหวังกับนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อได้ และแล้วตอนนี้การประชุมก็มาถึงทางตัน
ในตอนนี้ จู่ๆ อาจารย์โค่วก็พูดว่า
“อย่างนั้นก็แสดงว่า ท่านโหราจารย์รู้วิธีเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์จากดาบสลักจริงๆ แสดงว่าเขาก็สนับสนุนให้สวี่ชีอันได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์มิใช่หรือ?”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ตาเป็นประกาย
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีจริงๆ และมีความเป็นไปได้สูงมาก
ในความเป็นจริง ทุกคนรู้สึกว่า ลึกๆ แล้วนี่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านโหราจารย์วางแผนไว้
เมื่อรู้เช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้วิธีง่ายๆ ในการฝ่าฟันอุปสรรคครั้งที่สอง…ท่านโหราจารย์!
“ถ้าอยากรู้ว่าจุดประสงค์ของคนผู้หนึ่งคืออะไร เจ้าต้องดูว่าเขาทำอะไรไว้ในอดีต”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องโถง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็หันกลับหลังและมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง แต่หาไม่พบ
จากนั้น ป๋าจี้ หัวหน้าเผ่าตู๋กู่ก็โผล่ออกมาจากเงาใต้โต๊ะกาแฟ จากนั้นเงามืดก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นชายสวมเสื้อคลุม ใบหน้าครึ่งบนมีหมวกคลุม ใบหน้าครึ่งล่างดูซีดขาวเนื่องจากทั้งปีทั้งชาติไม่เคยต้องแสงแดด
“ขออภัยด้วย ข้าคุ้นเคยเช่นนี้ ข้าเลยอดรนทนไม่ได้”
เขาอดไม่ได้ต้องซ่อนตัวอยู่พักหนึ่ง
ร่างเงาขอโทษอย่างจริงใจ กลับไปนั่งที่และพูดต่อ
“ท่านโหราจารย์สนับสนุนฆ้องเงินสวี่ และจุดประสงค์ที่เขาสนับสนุนให้ได้เป็นเทพยุทธ์นั้นเป็นเรื่องที่รู้กันดี ดังนั้นในกระบวนการนี้ เขาจึงต้องทำให้ฆ้องเงินสวี่มีคุณสมบัติพอที่จะกลายเป็นเทพยุทธ์ได้ก่อน”
“ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวจากชายแดนตอนใต้แตกต่างออกไป”
“โชคชะตา!” แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดช้าๆ
“ยังมีดาบไท่ผิงด้วย” สวี่ชีอันพูดเสริม
ในคืนหลังจากที่มีชัยเหนือพระพุทธเจ้าแล้ว เขาก็กลับเมืองหลวง และเล่ารายละเอียดถึงเรื่องต่างๆ ที่ได้ประสบพบเจอหลังออกทะเล
นักบวชเต๋าจินเหลียนลูบเคราตัวเองและวิเคราะห์
“ท่านโหราจารย์บอกว่านี่คือใบรับรองของเจ้าในการขึ้นเป็นผู้เฝ้าประตู แต่ไม่ใช่ของเทพยุทธ์ อาตมารู้สึกว่ากุญแจไม่ใช่ดาบไท่ผิง แต่เป็นโชคชะตา”
ถ้าเช่นนั้นการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ต้องใช้โชคชะตางั้นรึ?
ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยปากถาม
“เทพยุทธ์จะเอาโชคชะตาไปเพื่ออะไร มันไม่สามารถแทนที่วิถีแห่งฟ้าได้เหมือนอย่างระดับสุดยอด ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่สวี่หนิงเยี่ยนเปิดใจด้วยค้อนก่อกวนชะตากรรม เขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่สิ ชะตาบ้านเมืองต่างหาก เรื่องนี้เป็นแค่วิธีทำให้เขาเป็นโหรหลอมปราณเท่านั้นนี่”
พลังในการควบคุมเวไนยสัตว์ทั้งปวง
เมื่อไม่มีใครขัดคอ ฉู่หยวนเจิ่นจึงพูดต่อ
“ข้าคิดว่าการที่ท่านโหราจารย์เก็บชะตาบ้านเมืองไว้ในร่างของหนิงเยี่ยน ก็เพียงเพื่อให้เขาฟูมฟักรักษาโชคชะตาให้ดีและป้องกันไม่ให้พวกระดับสุดยอดปล้นชิงไป ทำกระทั่ง…”
ฮว๋ายชิ่งเหลือบมองเขาแล้วพูดน้ำเสียงเยียบเย็น
“ทำกระทั่งบังคับเขา ตัดหนทางหลบหนีของเขาและทำให้เขากลายเป็นศัตรูของพวกระดับสุดยอด”
ส่วนเรื่องการคาดเดาความคิดเห็นของท่านอาจารย์ไปในทางร้ายๆ นั้น ศิษย์คนที่หกพยักหน้าและพูดว่า
“นี่เป็นเรื่องที่ท่านโหราจารย์มักกระทำ”
ศิษย์คนที่สองยกนิ้วให้
หน้าที่ของโชคชะตาในตอนนี้มีเพียงเพื่อให้สวี่ชีอันควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์ทั้งปวงและดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์
การประชุมมาถึงทางตันอีกครั้ง
ในความเงียบงัน มีคนยกมือขึ้นแล้วพูดว่า
“ข้านึกออกแล้ว”
“เจ้าน่ะรึ?”
เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่หลิงซู่ หลี่เมี่ยวเจินก็ทำท่าไม่เชื่อมั่น
สายตาของนางเหมือนน้องสาวจ้องมองพี่ชายที่ไร้ประโยชน์ของตัวเอง
หลี่หลิงซู่ไม่สนใจนางและพูดว่า
“ระดับสุดยอดจำเป็นต้องคว้าโชคชะตาทั้งหมดของจิ่วโจวก่อนที่จะแทนที่วิถีแห่งฟ้าแล้วจึงจะกลายเป็นเจตจำนงแห่งจิ่วโจว
“สวี่หนิงเยี่ยนจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ที่เขาไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ได้ในตอนนี้ เพราะเขามีโชคชะตาไม่เพียงพอ”
สวี่ชีอันส่ายหัว
“ข้าไม่ใช่โหรและข้าไม่รู้วิธีปล้นชิงโชคชะตา”
หลี่หลิงซู่โบกมือ
“ใช้การบำเพ็ญคู่สิ เจ้าสามารถรวบรวมโชคชะตาในร่างของฮว๋ายชิ่งผ่านวิธีการบำเพ็ญคู่ เช่นเดียวกับที่เจ้าถ่ายโอนโชคชะตาไปยังร่างผู้นำลั่วผ่านการบำเพ็ญคู่แล้วทำให้ไฟแห่งกรรมของนางสงบลง”
“ฮว๋ายชิ่งเป็นผู้สูงส่งคนที่เก้าสิบห้า นางยังได้ดูดซับปราณมังกรเข้าสู่ร่างกายของนางด้วย พูดได้ว่านอกจากเจ้าแล้ว นางยังเป็นผู้หนึ่งที่มีโชคชะตามากที่สุดในที่ราบลุ่มภาคกลาง”
“เจ้าควรลองบำเพ็ญคู่กับฮว๋ายชิ่งดูก่อน เจ้าอาจได้รับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด ดีกว่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่”
ก็ดูสมเหตุสมผลดี นี่เป็นวิธีคิดที่มีแต่เจ้าผู้ออกทะเลเท่านั้นที่คิดได้ เป็นคนดีจริงๆ เทพบุตร ข้าผิดไปแล้วที่คอยตำหนิเจ้า เจ้าเป็นพี่ชายที่ดีของข้าเสมอมา…สวี่ชีอันจ้องมองเทพบุตรด้วยความชื่นชม
“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินชักกระบี่ของนางออกมาอย่างกล้าหาญ
ลั่วอวี้เหิงก็ชักกระบี่ของนางออกมาเช่นกัน แต่สวี่ชีอันจับมันไว้แน่น
“ท่านราชครู โปรดสงบสติอารมณ์ก่อน”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยปากโดยไม่แสดงท่าทีอื่นใด
“ข้าจะถือว่าสิ่งที่เทพบุตรพูดเป็นมุกตลก”
สถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
…
“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อสิ้นชีพไปหนึ่งพันสองร้อยปีแล้ว” พระโพธิสัตว์หลิวหลีเอ่ยปาก “แล้วใครที่ไหนจะมารู้วิธีเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์?”
“ท่านโหราจารย์!”
เสียงวิสุทธิ์ไร้มลทินของเทพกู่ตอบ
“เจ้ามีคำตอบในใจอยู่แล้ว”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีพยักหน้า
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำคือการวางแผนสร้างเทพยุทธ์ขึ้นและปล่อยให้เทพยุทธ์ปกป้องลัทธิสวรรค์”
“สังหารท่านโหราจารย์”
เทพกู่พูดว่า “ไปโพ้นทะเลและปล่อยให้ฮวงสังหารท่านโหราจารย์แล้วเลิกยุ่งกับเขา”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีรู้สึกได้ว่ามีความเร่งด่วนอยู่ในเสียงของเทพกู่เมื่อเขาพูดเรื่องนี้
‘ในอนาคตพระองค์ทรงเห็นอะไรกันแน่?’…พระโพธิสัตว์หลิวหลีพนมมือ
“ได้!”
…
โพ้นทะเล กลับสู่ซากที่อยู่อาศัยรกร้าง
จิ้งจอกเก้าหางร่างสูงระหงสง่างามสวมชุดหนังสัตว์ปิดหน้าอกและกระโปรงริ้วหนังสัตว์ ทรงตัวหยัดยืนอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า มองดูซากที่อยู่อาศัยรกร้างจากระยะไกล
‘แผ่นดิน’ อันกว้างใหญ่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ครอบคลุมทางเข้าซากที่อยู่อาศัยรกร้าง
ใจกลางแผ่นดินนี้มีหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ หลุมดำที่สามารถกลืนกินได้แม้กระทั่งแสง
ลมแรงพัดชายกระโปรงของนาง ซอกซอนไปตามเส้นผมของนางและหยอกเอินหางจิ้งจอกที่เย้ายวนทรงเสน่ห์ของนาง
ต่อให้ยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไหนแต่ชั่วเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ปราณโลหิตของนางกลับถูกดูดออกไปสองส่วนในสิบส่วน
ฮวงเข้าสู่สภาวะหลับลึก แต่พลังเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเขากลับแข็งแกร่งขึ้น
นี่แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังกลับไปสู่จุดสูงสุด
ตรงใจกลางหลุมดำมีประกายแสงแจ่มชัดที่มองไม่เห็นอยู่
แม้จะโรยแสง แต่ทว่าไม่เคยถูกหลุมดำกลืนหาย
นั่นคือกลิ่นอายของท่านโหราจารย์
“ท่านโหราจารย์กล่าวไว้ว่าในแผนของเขา มนุษย์สุนัขควรได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวด้วยการกลืนเจียหลัวซู่ลงไป การที่สุนัขออกทะเลไปกับข้ามันเป็นเรื่องไม่คาดคิด
“แล้วแผนเดิมของเขาคืออะไร?”
“เขาคิดจะฝ่าผนึกของฮวงอย่างไร? ยึดประตูแสงนั้นไว้หรือ?”
ขณะที่นางครุ่นคิด หูแหลมขนยาวของนางก็กระตุก จากนั้นนางก็หันหน้ามาและเห็นคลื่นม้วนตัวมาอยู่ด้านหลัง ราชินีเงือกที่อ่อนโยนมีเสน่ห์ยืนอยู่บนคลื่นและโบกมือให้นาง
จิ้งจอกเก้าหางถลาไปตามสายลม
“ท่านเจ้าอาณาจักร เราได้อัญเชิญลูกหลานเทพมารเหนือมนุษย์ที่เราพบทั้งหมดไปยังหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูแล้ว”
ราชินีเงือกบอกกล่าวด้วยความเคารพ
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า
“ทำได้ดีมาก ออกเดินทางทันที ออกไปจากบริเวณทะเลแห่งนี้โดยพลัน”
‘นางออกทะเลครั้งนี้ นอกเหนือจากการอัญเชิญลูกหลานเทพมารระดับเหนือมนุษย์แล้ว นางยังอยากลองเสี่ยงโชคในซากที่อยู่อาศัยรกร้างดู เพื่อดูว่านางจะได้พบกับท่านโหราจารย์และได้เรียนรู้วิธีการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์จากเขาหรือไม่’
‘ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ใครก็ตามที่เข้าใกล้ซากที่อยู่อาศัยรกร้าง จะต้องตายอย่างแน่นอน’
‘ต่อให้สวี่หนิงเยี่ยนมา เขาก็ไม่สามารถพบเจอท่านโหราจารย์ได้อย่างแน่นอน’
‘ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด’…นางพึมพำอยู่ในใจและพาราชินีเงือกไปยังหมู่เกาะอาเอ่อร์ซู
…
“เราจะพูดถึงโชคชะตากันทีหลัง” หลังจากฟังอยู่นาน ในที่สุด เว่ยเยวียนก็เอ่ยปากพูดและสอบถาม
“ถ้าท่านโหราจารย์เรียนรู้วิธีการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์จากดาบสลัก แล้วเหตุใดเขาถึงไม่บอกความจริงตอนที่เขากลับมารวมกลุ่มกับหนิงเยี่ยนอีกครั้งในโพ้นทะเล?”
ฉู่ไฉ่เวยพูดเบาๆ
“ท่านโหราจารย์คงมีเหตุผลที่ข้าไม่สามารถบอกท่านได้”
เว่ยเยวียนวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
“เขาคงยังไม่รู้สถานการณ์ในปัจจุบัน หากคิดจะป้องกันภัยพิบัติ ก็ต้องให้เทพยุทธ์ถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนวิธีการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์”
“ถ้าท่านโหราจารย์ไม่พูด บางทีเขาอาจมีเหตุผลของตัวเองแต่การไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เตรียมการล่วงหน้า ด้วยลักษณะตามปกติของท่านโหราจารย์ บางทีหนทางเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์อาจถูกวางไว้ตรงหน้าเรามานานแล้ว แต่เรากลับไม่สังเกตเห็น”
คำพูดของเว่ยเยวียนทำให้ทั้งพระราชวังเงียบกริบ
ตามความคิดของเว่ยเยวียน ทุกคนล้วนใช้สมองอย่างแข็งขัน
จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็พูดว่า
“มันคือดาบสลัก!”
“คำตอบที่ท่านโหราจารย์ทิ้งไว้คือดาบสลัก”
ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกขำเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังและพบคนผู้นั้นอยู่ในสถานที่ที่มีแสงสลัว
ต่างคิดว่าสิ่งที่ลั่วอวี้เหิงพูดคือความจริง
‘ลองนึกภาพถึงลักษณะที่ท่านโหราจารย์แสดงตามปกติและข้อจำกัดของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ถ้าเขาทิ้งวิธีการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ไว้เบื้องหลังจริงๆ ก็น่าจะนำมันมาแสดงต่อหน้าทุกคนแล้ว’
‘ดังนั้นเงื่อนไขนี้จึงตรงกับดาบสลักทุกประการ’
ฮว๋ายชิ่งพูดทันที
“ในช่วงเวลานี้ ปราชญ์มหาสำนักจ้าวได้สะสมโชคชะตามาเพียงพอแล้ว ในไม่ช้าเขาจะได้เลื่อนเป็นขั้นสอง เมื่อท่านได้เลื่อนระดับเป็นนักพรตขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ ท่านก็จะพยายามปลดผนึกดาบสลักและถามดาบสลักว่าจะเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ได้อย่างไร”
จ้าวโส่วโค้งคำนับและพูดว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว”
โชคชะตาควรเป็นคุณสมบัติในการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ เรื่องนี้ผู้นำร่างเงาพูดถูก…ตอนนี้ วิธีที่เร็วที่สุดในการรวบรวมโชคชะตาคือวิธีการบำเพ็ญคู่กับฮว๋ายชิ่ง…สวี่ชีอันผินหน้าเหลือบมององค์จักรพรรดินี
ผู้ถูกมองไม่แสดงท่าทีสิ่งใดคล้ายไม่แยแส
แต่แขม่วท้องยืดหลังตั้งตัวตรงอยู่เงียบๆ
สวี่ชีอันละสายตาและคิดต่อไป
“ถ้านักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อรู้วิธีเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ เขาต้องฝากข้อความไว้แน่นอน”
“ข้าสงสัยว่าที่ปิดผนึกดาบสลักไว้ไม่ใช่เพราะดาบสลักสอนนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเขียนหนังสือ แต่เป็นเพราะดาบสลักรู้วิธีการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงเก็บซ่อนความลับไว้ในดาบสลัก”
“การประชุมครั้งนี้มิได้ไร้ประโยชน์เลย กลับทรงพลังยิ่ง”
“ต้องรอจนกว่าจ้าวโส่วจะได้เลื่อนเป็นขั้นสอง”
ในเวลานี้ ดวงตาของแม่ย่าแห่งเทียนกู่กลับมีร่องรอยของประกายแสงที่แจ่มชัด
นางยังคงนั่งตัวตรงและไม่ขยับตัวอยู่เป็นเวลานาน
“แม่ย่าได้สอดส่องอนาคตอีกครั้งแล้ว” หลวนอวี้ผู้มีเสน่ห์อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
‘นี่เป็นการสอดส่องอนาคตใช่หรือไม่?’
เหล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์จากต้าฟ่งตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้กำลังใจและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดของเขาไปจ้องมองแม่ย่าแห่งเทียนกู่ด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน ประกายแสงแจ่มชัดในดวงตาแม่ย่าแห่งเทียนกู่พลันหายไป
นางลุกขึ้นยืนทันทีและมองไปทางทิศใต้
“แม่ย่า ท่านเห็นอะไร?” สวี่ชีอันถาม
……………………………………….
……….