ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 884 การแก้แค้น
บทที่ 884 การแก้แค้น
……….
“อะแฮ่ม!”
สวี่ชีอันปิดปากกระแอมไอสองครั้ง เขารอให้สตรีในอุปการะเข้ามาตรวจดูก่อนแล้วจึงค่อยๆ ก้าวข้ามธรณีประตูไป
ดูแล้วเขาก็ไม่ต่างจากชายชราคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นอะไรไป?”
หลินอัน ภรรยาหมายเลขหนึ่งของเขาสะดุ้งแล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และซอยเท้าถี่ๆ มาหา
สตรีในอุปการะคนอื่นๆ ล้วนมีสายตาเป็นห่วงเป็นใย เว้นแต่นางจิ้งจอกเก้าหางผู้เดียว
สวี่ชีอันโบกมือแล้วพูดเสียงแหบพร่า
“สัปยุทธ์กับพระพุทธเจ้าทำให้ร่างกายข้าบอบช้ำ สูญสิ้นปราณโลหิตบั่นทอนอายุขัย จำต้องพักฟื้นเนิ่นนาน”
“เฮ้อ จะหาต้นตอของโรคเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้”
จิ้งจอกเก้าหางขัดจังหวะทันที
“ปราณโลหิตใกล้สิ้นกำลัง อนาคตข้างหน้าคงไม่อาจสืบพันธุ์ได้อีก”
ท่าทีของหลินอันกับมู่หนานจือเปลี่ยนไป ขณะที่เย่จีงุนงงสงสัย
อาสะใภ้เริ่มกังวลเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “มันร้ายแรงมากเลยหรือ? เจ้าไปขอยาจากสำนักโหราจารย์ได้หรือเปล่า?”
ต้าหลางเป็นบุตรชายคนโตของบ้านและยังไม่มีบุตร ถ้าไม่สามารถสืบต่อวงศ์ตระกูลได้ ก็หมายความว่าบ้านใหญ่จะต้องเสียธูปไปโดยไร้ประโยชน์งั้นหรือ?
…
สวี่ชีอันเหลือบมองจิ้งจอกเก้าหางแล้วมิได้ใส่ใจนาง “ข้าจะไปพักฟื้นที่บ้านสักพัก ข้าไม่ได้กินอาหารฝีมืออาสะใภ้นานแล้ว”
อาสะใภ้ลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า
“ข้าจะลงครัวไปทำอาหารที่เจ้าชอบ”
สมัยนั้น จวนสกุลสวี่ยังไม่ร่ำรวย แม้จะมีแม่ครัว แต่อาสะใภ้มักทำอาหารเองเพราะนางมิใช่สุภาพสตรีมั่งคั่งผู้มีนิสัยเจ้าสำอาง
สวี่ชีอันหันไปมองมู่หนานจือแล้วพูดว่า
“ป้ามู่ ข้าจำได้ว่าท่านปลูกสมุนไพรไว้ในสวนหลังบ้าน ช่วยทำแกงสมุนไพรให้ข้าเพิ่มพลังปราณกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ทีสิ”
มู่หนานจือผู้ที่เขารู้ว่าเป็นต้นไม้อมตะกลับชาติมาเกิดรับคำว่า “อืม” ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปอย่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับว่านางกำลังคิดบัญชีแค้นหลังถูกโค่น
สวี่ชีอันพูดต่อว่า
“น้องสาว เสื้อคลุมที่เจ้าทำให้พี่ใหญ่ขาดเสียแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มให้อย่างสงบเสงี่ยมและพูดเสียงแผ่วเบา
“ข้าจะทำเสื้อคลุมให้พี่ใหญ่เพิ่มอีกสักตัว”
ระหว่างสนทนา สวี่ชีอันยังคงกระแอมไอไม่หยุด เพื่อให้สตรีในอุปการะรู้ว่า “ข้าไม่ค่อยสบาย ได้โปรดอย่าสร้างปัญหา”
หลังจากดำเนินการรวดเดียวจบ ก็เหลือเพียงหลินอัน เย่จีกับจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้องโถง สวี่ชีอันไม่มีข้ออ้างอื่นที่ดีกว่านี้มาใช้ซ้ำสองจึงบอกพวกนางว่า
“หลินอัน เจ้ากลับห้องไปก่อน ส่วนท่านเจ้าอาณาจักร เอ้อร์หลางกับข้ามีเรื่องบางอย่างต้องพูดคุยกัน”
หลินอันทำแก้มป่อง “มีอะไรที่ข้าไม่รู้งั้นรึ?”
นางไม่ใช่เมียหรือแม่ที่ว่าง่าย นางเป็นผู้มีฝีมือในการสู้รบ
สวี่ชีอันไม่ได้บังคับให้นางออกไป เขามองจิ้งจอกเก้าหางด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านเจ้าอาณาจักร ท่านยังต้องออกทะเลไปกำราบเหล่าลูกหลานเทพมารในระดับเหนือมนุษย์อีก ยิ่งมากก็ยิ่งดี”
จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า
“เมื่อฮวงตื่น เขาจะไปกำราบลูกหลานเทพมารโพ้นทะเลและตอบโต้แผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเลยรึ?”
คุยกับคนฉลาดก็สะดวกอย่างนี้แหละ…สวี่ชีอันพูดต่อว่า
“หากพวกเขาไม่เต็มใจยอมจำนน ก็ฆ่ามันทิ้งซะให้หมดจะได้ไม่เหลือใครไว้ข้างหลัง”
จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“แม้ต่อหน้าเขาอาจยอมจำนน เขาก็อาจทรยศเมื่อถึงเวลาเช่นกัน หากไม่มีความสนใจร่วมกันหรือนึกอยากสนับสนุนจริงๆ ลูกหลานเทพมารก็อาจไม่ภักดีต่อข้าหรือต้าฟ่งเลย”
“เมื่อถึงเวลาที่ฮวงตื่น พวกเขาอาจคิดยอมแพ้หรือไม่ก็หักหลังเรา”
สวี่ซินเหนียนส่ายหัว
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น เพียงแค่กำราบแล้วให้พวกนั้นอพยพไปอยู่ไกลๆ ก็พอ”
“โพ้นทะเลกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ฮวงย่อมไม่เสียเวลาค้นหากำราบแน่เพราะมันไม่ได้คุ้มค่าอะไร แต่ถ้าลูกหลานเทพมารพวกนั้นเข้าร่วมสงครามด้วย พวกเขาจะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงกับพวกเรา”
“สำหรับฮวงแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาคือพวกระดับสุดยอดคนอื่นๆ ลูกหลานเทพมารเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
สวี่ชีอันพูดเสริมว่า
“เจ้าอาจให้เหตุผลว่า เมื่อฮวงตื่นขึ้น เขาจะกลืนกินลูกหลานเทพมารระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมด เรื่องจริงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ลูกหลานเทพมารโพ้นทะเลระลึกถึงความกลัวและความอัปยศ เมื่อครั้งที่ถูกฮวงครอบงำได้”
ขั้นตอนต่อไปคือการปรึกษาหารือในรายละเอียด ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่เรื่องการพาซุนเสวียนจีไป แต่ยังมีเรื่องการสร้างค่ายกลส่งตัวเพิ่มด้วย จิ้งจอกเก้าหางจะได้ไปกลับจิ่วโจวอย่างสะดวกรวดเร็วไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางในทะเลอันกว้างใหญ่
เช่นเดียวกับการลงมือสังหารลูกหลานเทพมารที่ไม่ให้ความร่วมมือทันที ต้องไม่มีใครใจอ่อน
โดยให้คำมั่นสัญญาว่า ในอนาคตลูกหลานเทพมารจะได้กลับมาอยู่ในจิ่วโจวอีกครั้ง
สถาปนาอาณาจักรลูกหลานเทพมารและเกื้อหนุนลูกหลานเทพมารผู้ทรงพลังระดับเหนือมนุษย์ขึ้นเป็นผู้นำ และอื่นๆ อีก
หลินอันยืดเอว นั่งตัวตรงและตั้งใจฟัง แม้ความจริงแล้วนางจะไม่เข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งจิ้งจอกเก้าหางจากไป นางจึงได้แน่ใจว่าสามีนางมาเพื่อพูดเรื่องภารกิจจริงๆ
…
“องค์หญิง!”
เย่จีตามจิ้งจอกเก้าหางมาทัน จึงรีบโค้งคำนับและกระซิบว่า
“เยวี่ยจีพลาดท่าตอนท่านออกทะเล”
จิ้งจอกเก้าหางตอบกลับว่า “อืม”
“ข้าได้เลื่อนเป็นขั้นหนึ่งตอนอยู่โพ้นทะเลและได้ปลุกแก่นแท้จิตวิญญาณให้ตื่นขึ้น แต่เมื่อข้าเผชิญหน้ากับฮวง ข้าก็ย่อมต้องตัดหางเพื่อเอาชีวิตรอด”
นางสง่างามและแข็งแกร่งยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่จี แต่หมดท่าเมื่อเผชิญเสน่ห์สุดลุ่มหลงของสวี่ชีอัน นางพูดจาใจเย็น
“ไม่ใช่แค่เจ้า พี่สาวน้องสาวแปดนางของเจ้าคงต้องมีสักวันที่คนใดคนหนึ่งสุ่มเสี่ยงพลาดท่า”
“เมื่อมหาเคราะห์มาถึง ข้าจะไม่มีความเมตตาให้พวกเจ้าคนใดเลย เข้าใจหรือไม่”
จิ้งจอกฟ้าเก้าหางขั้นหนึ่งมีเก้าชีวิต เมื่อทั้งเก้าชีวิตหมดไป นางก็พินาศเช่นกัน
แต่ก่อนหน้านั้นนางจะไม่ยอมตาย แม้เจตจำนงส่วนตัวของจิ้งจอกเก้าหางก็ไม่อาจทำให้เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งการตัดหางเอาชีวิตรอดนั้นเป็นความสามารถติดตัว เมื่อใดที่นางตายไปอีกครั้ง หางของนางก็จะถูกตัดออกอีกหนึ่งหาง
“เย่จีเข้าใจดีว่ามันเป็นโชคชะตาของเราที่ต้องตายเพื่อองค์หญิงของเรา” เย่จีเหลือบมองนางและหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิงของสวี่หลาง…”
นางปีศาจผมขาวขมวดคิ้วและเอื้อนออกมาเป็นเพลง
“แน่นอนว่าท่านเจ้าอาณาจักรของเจ้าไม่ชมชอบคนเจ้าชู้ เพราะเรื่องที่น่ารำคาญคือเขาพยายามรบกวนข้าทุกวิถีทางและใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าเขาเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเพื่อทำหลายอย่างกับข้า”
“อืม ท่านเจ้าอาณาจักรของเจ้ามาที่จวนสกุลสวี่ในครั้งนี้เพียงเพื่อเตือนเขาว่าปัญหายังมีอยู่”
“เกรงว่าเขาจะพยายามเข้าใจท่านอยู่เสมอ”
เย่จีเม้มปากตัวเอง
“ถ้าเขายืนกรานให้เจ้าคิดเองล่ะ”
จิ้งจอกเก้าหางถามอย่างอดไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ทำได้เพียงถอยทีละก้าวเท่านั้น ใครกันนะที่ทำให้เขาเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว?”
‘แน่นอนว่าท่านนั่นแหละที่พยายามหลอกเขา ท่านรังแกคนสัตย์ซื่ออยู่มิใช่หรือ?’…เย่จีบ่นอยู่ในใจ นางจะเล่าเรื่องไม่ดีขององค์หญิงให้สวี่หลางฟังเองในภายหลัง
‘เกรงก็แต่ว่านางจะพาน้องสาวเจ็ดนาง ไม่สิ น้องสาวหกนางมาประชันกับข้าเพื่อบุรุษผู้นี้เท่านั้น’
ในห้องโถงด้านในสวี่ชีอันเลิกคิ้วให้น้องชายขณะบอกว่า
“เมื่อศัตรูดุร้ายมารวมกัน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งมิตรแยกศัตรูให้ชัดเจนและหาทางเอาชนะทีละคน กลยุทธ์ทรมานร่างกายตนเป็นวิธีที่ดี กลยุทธ์ทรมานร่างกายของบุรุษก็เหมือนกลยุทธ์สตรีร้องไห้สร้างปัญหาและแขวนคอตัวเอง”
“ผิดพลาดทั้งเพ”
สวี่ซินเหนียนเยาะเย้ย
“ซ่อนได้สักพักแต่ซ่อนไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก พี่สะใภ้ของข้าทุกคนล้วนสงสัย”
“ดังนั้นเราจึงต้องแบ่งศัตรูออกไปให้ชัดเจน” สวี่ชีอันลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรสักคำแล้วเดินไปที่ห้องอ่านหนังสือ
วันนี้เป็นวันพักผ่อนของสวี่ซินเหนียน เขาไม่มีอะไรทำจึงตามไปด้วย
สวี่ชีอันกางกระดาษแล้วออกคำสั่ง
“เอ้อร์หลาง ฝนหมึกให้พี่ใหญ่ที”
สวี่ซินเหนียนพ่นหมึกและฝนหมึกอย่างเป็นการเป็นงาน
สวี่ชีอันจุ่มพู่กันลงในหมึกแล้วเขียนว่า
“ข้าไปโพ้นทะเลได้ครึ่งเดือน ข้าคิดถึงหลินอันเมียข้าเหลือเกิน เป็นบ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันไม่ทันไรก็ต้องออกทะเลไปเสียแล้ว ทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพังในห้องนอนว่างเปล่าของข้า ข้ารู้สึกผิดจนแทบทนไม่ได้ ยังได้ยินเสียงและรอยยิ้มของเจ้าอยู่ทุกที่ทุกวันทุกคืน…”
‘ไร้ยางอาย!’…สวี่ซินเหนียนวิพากษ์วิจารณ์ในใจและชี้แนะด้วยสีหน้าท่าทางคงเดิม
“พี่ใหญ่ ท่านเขียนผิดแล้ว ยังได้ยินเสียงและรอยยิ้มใช้บรรยายถึงคนที่ตายไปแล้ว ท่านควรใช้คำว่า ยังนึกถึงเสียงและรอยยิ้มเพื่อแสดงถึงตัวตนของคนที่ท่านนำเสนอ”
หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว เขาก็ถูกสวี่ชีอันเขกหัว
“ช่างมันสิ!”
เจ้าก็คิดว่าข้าเป็นจอมยุทธ์ต่ำทรามจริงๆ รึ?
“ถึงอย่างไรข้าก็รู้ว่าหลินอันเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ เข้ากับท่านแม่และอาสะใภ้ที่บ้านได้ดี ข้าเลยไม่ค่อยเป็นห่วง ออกทะเลครั้งนี้ ถ้าข้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ต้าฟ่งคงตกอยู่ในอันตราย…”
แล้วก็มีจดหมายฉบับที่สอง สามและสี่ตามมา…
พอเขียนเสร็จ สวี่ชีอันก็ใช้พลังปราณทำให้หมึกแห้ง จากนั้นหยิบขี้เถ้ากระถางธูปออกมาเช็ดข้อความ
“สิ่งนี้สามารถกลบกลิ่นหมึกได้ ไม่เช่นนั้นจะสังเกตเห็นชัดเจนทันทีที่ได้กลิ่น เจ้าควรเรียนรู้เอาไว้” เขาออกปากแนะนำน้องชายคนเล็ก
‘น้องชายท่านไม่เรื่องเยอะเท่าท่านหรอก’…สวี่เอ้อร์หลางพูดในใจว่าหัวใจดวงเดียวของข้าจะทุ่มเทให้ซือมู่ผู้เดียว
ทันทีที่เขาบ่นในใจเสร็จ เขาก็เห็นพี่ใหญ่เขียนจดหมายฉบับที่สองถึงสมาชิกในครอบครัว
“หนานจือ เราห่างกันครึ่งเดือนแล้ว ข้าคิดถึงเจ้ามาก…”
สวี่ซินเหนียนโพล่งออกมา
“เจ้ากับป้ามู่มีความสัมพันธ์กันจริงๆ ด้วย”
“จากนี้ไปให้เรียกข้าว่าลุง!” สวี่ชีอันได้คืบจะเอาศอก
…
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น อารองสวี่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ เขาพาหลานชายและลูกชายซึ่งผมบนหัวขาวราวน้ำค้างแข็งไปเข้าพิธีดันแก้วแลกจอกหมั้น
พอเริ่มมึนเมา เขาก็สังเกตเห็นว่าลูกสาวของเขา สวี่หลิงเยวี่ย น้องสาวร่วมสาบานของภรรยาเขา มู่หนานจือ หลินอันลูกสะใภ้ของหลานชายเขาและเย่จี อนุภรรยาของหลานชายเขาจากชายแดนตอนใต้มีท่าทางน่าสงสัย
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจกันอยู่หรือ?”
อาสะใภ้ตอบกลับด้วยความวิตกกังวล
“หนิงเยี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจ…ไม่มีทายาทสืบตระกูล”
‘ไม่ ไม่ ไม่ แม่ ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่มีความสุขเพราะเรื่องนี้ พวกนางกำลังสงสัยว่าพี่ใหญ่มีเรื่องชู้สาวอยู่ที่โพ้นทะเล’…สวี่เอ้อร์หลางสิ้นหวังที่มารดาตามเหตุการณ์ไม่ทัน
‘แม้ว่าเหล่าพี่สะใภ้อาจสับสนเพราะพวกนางวิตกกังวล แต่พวกนางไม่ใช่คนโง่และตอนนี้พวกนางก็ได้โต้ตอบไปบ้างแล้ว’
‘ใครเล่าบอกว่าไม่อาจฝังจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้และยากยิ่งที่จะทำลายจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้พี่ใหญ่กลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้ว’
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน หนิงเยี่ยนเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้ว เขาไม่มีทางตาย แล้วจะบาดเจ็บได้อย่างไร…” อารองสวี่ชะงักทันที
“ใช่แล้ว ตอนนี้หนิงเยี่ยนเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้ว เขาไม่เป็นไรแน่” จีไป๋ฉิงตักอาหารให้ลูกชายคนโตอย่างกระตือรือร้นและสอบถามความเป็นไปของเขา
นางไม่สนใจว่าลูกชายของนางจะมีหนี้รักมากมายเพียงใดข้างนอก นางแค่หวังว่านางจะเห็นโฉมงามทั้งโลกมาเป็นภรรยาลูกชายนาง
สวี่หยวนซวงจ้องมองพี่ใหญ่ด้วยความชื่นชมและพูดว่า
“พี่ใหญ่ ท่านต้องสอนหยวนไหวให้ดี หยวนไหวอยู่ขั้นสี่แล้ว”
ในฐานะจอมยุทธ์ขั้นสี่คนที่สองของตระกูลสวี่ เดิมทีสวี่หยวนไหวภาคภูมิใจมาก แต่ตอนนี้เขาไม่เหลือความภาคภูมิใจเลย
ได้แต่กินอยู่เงียบๆ
หลังอาหารเย็น มู่หนานจือกลับห้องไปด้วยสีหน้าเย็นชา
ตกกลางคืน อารองสวี่ซักผ้าเสร็จก็สวมชุดตัวในสีขาว นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญกรรมฐาน แต่ไม่สามารถเข้าสู่สมาธิได้
อารองบอกอาสะใภ้ที่กำลังเอนตัวอยู่ข้างเตียงและอ่านหนังสือนิทานประกอบรูปภาพและข้อความว่า
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องที่ว่า หนิงเยี่ยนอาจไม่มีทายาทสืบสกุล”
อาสะใภ้วางหนังสือนิทานลง ยันตัวขึ้นด้วยความประหลาดใจ แล้วตะโกนถามว่า
“ทำไมล่ะ?”
อารองสวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“ตอนนี้ หนิงเยี่ยนเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว โดยพื้นฐานแล้วเขาแตกต่างจากพวกเรา อย่าถามว่าแตกต่างเรื่องอะไร เราไม่อาจบอกได้ เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว”
“เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกรึ? เขาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับท่านราชครูมาเกือบปีแล้ว แต่ท่านราชครูยังไม่ตั้งท้องเลย”
“เขาแต่งงานกับฝ่าบาทหลินอันมาได้เดือนครึ่งแล้ว แต่นางก็ยังไม่ท้องเหมือนกัน”
อาสะใภ้ขมวดคิ้วเศร้าสร้อย
อารองสวี่พูดด้วยความไม่ใส่ใจ
“ใช่เรื่องที่คาดเดาเอาเองรึ? ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…ด้วยตบะของหนิงเยี่ยนในตอนนี้ เขาไม่มีทางตายแน่ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมีทายาทหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
“ไร้สาระจริงๆ!” อาสะใภ้เอาหนังสือนิทานตีอารอง
“ถ้าไม่มีทายาท เราจะเลี้ยงพวกเปล่าประโยชน์นี้ไว้ด้วยเหตุใด?”
…
ในห้องนอนหรูหรากว้างขวาง สวี่ชีอันนอนกอดร่างกายอ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลาของหลินอัน เอาฝ่ามือลูบไล้เอวเนียนนุ่มปานงูน้ำของนางอยู่ เหงื่อไหลท่วมตัวนาง เส้นผมชุ่มเหงื่อแนบติดใบหน้า นางมองอะไรไม่ใคร่ชัดเจนทั้งยังหายใจหอบกระชั้น
ท่ามกลางกระโปรง ผ้ารัดเอวและเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายมีจดหมายถึงบ้านปะปนอยู่
หลินอันผู้อ่อนโลกสะเทือนใจเมื่อเห็นว่าสุนัขรับใช้เขียนจดหมายถึงนางมากมาย
หลังจากสัมผัสประสบการณ์ลูบไล้อย่างอ่อนโยน บิดตัวช้าๆ ไล้ลิ้นเลียเบาๆ ล้วงควักซ้ำไปซ้ำมาของสวี่ชีอัน นางก็ยอมศิโรราบอย่างสิ้นเชิงและโยนคำพูดของนางจิ้งจอกเก้าหางออกไปจากใจ
“หนิงเยี่ยน!”
หลินอันเอาแขนคล้องคอเขาแล้วพูดจาประชดประชันว่า
“พรุ่งนี้ข้าอยากกลับวังไปเยี่ยมเยียนหวงไท่โฮ่ว”
สวี่ชีอันกลับไปมองนางอีกครั้ง
“ถ้าอยากไปก็ไปสิ มาบอกข้าทำไม”
หลินอันกระซิบ
“ฮว๋ายชิ่งไม่ยอมให้ข้าเข้าไปเยี่ยมเยียนหวงไท่โฮ่วหมู่เฟยที่ตำหนักในเลย ว่ากันว่าเมื่อไม่นานมานี้หวงไท่โฮ่วของข้าสั่งให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่บีบบังคับฮว๋ายชิ่งให้สถาปนามกุฎราชกุมารขึ้น หวงไท่โฮ่วต้องการให้พี่ชายข้า โอรสองต์โตของจักรพรรดิขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร”
แม้เฉินไท่เฟยจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง แต่นางก็ไม่ท้อเพราะลูกสาวนางได้วิวาห์กับสวี่ชีอันแล้ว
ลำพังสถานะแม่ยายของฆ้องเงินสวี่เพียงอย่างเดียวก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนนาง
ถ้าจะคิดให้ตรงประเด็น ผู้มองการณ์ไกลที่อยากเผาเตาเย็นคิดสวามิภักดิ์ผู้เป็นใหญ่ตั้งแต่ยังไม่มีอำนาจก็มักมุ่งเป้าไปที่เฉินไท่เฟย
ลำพังตำแหน่งของนางในฐานะแม่ยาย นางก็ควรหยุดกังวลเรื่องนี้ได้แล้ว ฮว๋ายชิ่งยังทำได้แค่ไม่สนใจนางทั้งที่ใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวก็สามารถบี้นางให้ตายได้แล้วก็ตาม…สวี่ชีอันคิดเช่นนั้นในใจ แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“ฮว๋ายชิ่งคงกังวลว่าเฉินไท่เฟยจะส่งเจ้าไปสร้างปัญหาให้นางอีก”
หลินอันหยิกเอวเขาด้วยความไม่พอใจ
“ข้าจะไม่ยอมถูกแม่ยายเจ้าใช้เป็นอาวุธง่ายๆ หรอก”
เจ้าจะได้เป็นเร็วๆ นี้แหละ…สวี่ชีอันบอกว่า
“หลินอัน เจ้ายังอยากแก้แค้นฮว๋ายชิ่งงั้นหรือ อยากกำราบนางอย่างรุนแรงและแสดงพลังของเจ้าต่อหน้านางงั้นหรือ?”
หลินอันตาวาวโรจน์ “เจ้ามีความคิดอะไร?”
แน่นอน ก็อยากให้พี่สาวเจ้าเปลี่ยนมาเป็นน้องสาว ให้ฮว๋ายชิ่งเรียกเจ้าว่าพี่สาว…สวี่ชีอันอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“เจ้าไม่ได้คิดถึงข้าเลย”
“ข้าก็คิดถึงเจ้านะ” หลินอันรีบบอก
สวี่ชีอันจับมือซ้ายและขวาของนางไว้แล้วพูดน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้ายังไม่ตัดเล็บเลย แล้วยังมาบอกว่าคิดถึงข้าอีก”
หลินอัน “หา?”
…
“ท่านป้า!”
ไป๋จีเคาะหน้าต่าง เงาร่างเล็กๆ ของมันสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง
“เจ้ามนุษย์สุนัขขอให้ข้าเอาของบางอย่างมาให้ท่าน”
เสียงเล็กๆ ของไป๋จีดังขึ้น
มู่หนานจือสวมเสื้อตัวในบางๆ เปิดหน้าต่างไปแล้วมองเห็นไป๋จีตัวเล็กจ้อยงดงามคาบกระเป๋าหนังแกะใบเล็กที่ใส่ของไว้ข้างในจนบวมเป่ง
นางสูดลมหายใจแล้วอุ้มไป๋จีไว้ในอ้อมแขน เปิดกระดุมกระเป๋าหนังแกะใบเล็ก หยิบกระดาษที่ไม่หนานักทั้งยังไม่บางเกินไปออกมา นั่งที่โต๊ะและเริ่มอ่านหนังสือ
“หนานจือ เราห่างกันครึ่งเดือนแล้ว ข้าคิดถึงเจ้ามาก. . .”
ในตอนแรกนางเม้มปากด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็ค่อยๆ จดจ่ออยู่ตรงนั้น ยิ้มมุมปากเป็นครั้งคราว จากนั้นเทียนก็ค่อยๆ ดับลงโดยไม่รู้ตัว
มู่หนานจือวางจดหมายลงอย่างไม่เต็มใจ เปิดหน้าต่างแล้วโยนไป๋จีออกไปอีกครั้ง
“ไปนอนกับเย่จี น้องสาวเจ้าเถอะ อย่ามาหาข้าก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้”
ไป๋จีครางเบาๆ แล้วไปหาเย่จี
พอไปเคาะหน้าต่างห้องเย่จี สุดท้ายก็ถูกโยนออกมาอีกครั้ง
“ไปนอนกับสวี่หลิงอิน อย่ามาหาข้าก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้”
“ฮึ!”
ไป๋จีสบถใส่หน้าต่างแล้วรีบวิ่งไปด้วยความโกรธ
…
ดึกดื่นเมืองจิ้งซาน
จันทราเต็มดวงส่องแสงสุกสกาวสีขาวนวล ดวงดาวบนท้องฟ้าพลันหม่นสลัว
ใต้แท่นบูชาซึ่งมีรูปปั้นเทพพ่อมดตั้งอยู่ เหล่าพ่อมดในชุดคลุมรวมตัวกันราวกับฝูงมดในคืนอันมืดมิด
พ่อมดสวมเสื้อคลุมและหมวกคลุมนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้แท่นบูชา ราวกับว่าเขากำลังจะถวายเครื่องบูชาอันยิ่งใหญ่บางอย่าง
น้องสาวสองคนของหลี่หลิงซู พี่สาวน้องสาวตงฟางก็อยู่ในกลุ่มพวกนี้ด้วย
ตงฟางหว่านชิงมองไปรอบๆ เหล่าพ่อมดผู้เงียบงันและกระซิบ
“พี่สาว เกิดอะไรขึ้น”
ไม่นานมานี้ พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ซ่าหลุนอากู่ได้เรียกพ่อมดทั้งหมดที่อยู่ในสามชายแดนมารวมตัวกันและสั่งให้พวกเขามาที่เมืองจิ้งซานภายในสองวัน
ในเวลานี้ พ่อมดหลายพันคนมารวมตัวกันในเมืองจิ้งซาน แต่ยังมีพ่อมดระดับต่ำอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถมาได้
ตงฟางหว่านชิงทำหน้าตาเคร่งขรึม
“อาจารย์บอกว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นในสามดินแดน”
ต้องให้พ่อมดทุกคนมารวมตัวกันในเมืองจิ้งซานเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีโอกาสรอดชีวิต
ตงฟางหว่านชิงทำท่าสับสน “เทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึกแล้ว เขาปกป้องพวกท่านไม่ได้หรือ?”
นางใช้ ‘พวกท่าน’ เพราะตงฟางหว่านชิงไม่ใช่พ่อมด แต่เป็นจอมยุทธ์
ในเวลานี้ พ่อมดที่อยู่ข้างๆ พูดว่า
“เมื่อวานข้าได้ยินผู้อาวุโสอีเอ๋อร์ปู้พูดนี้ว่าชายผู้นั้นได้กลายเป็นผู้ทรงพลังไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่เทพพ่อมดคนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถกำราบเขาได้”
“ข้าคิดว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติครั้งใหญ่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น”
ตงฟางหว่านหรงผู้เปี่ยมเสน่ห์ขมวดคิ้วและพูดว่า
“‘คนผู้นั้น’ ที่ผู้อาวุโสอีเอ๋อร์ปู้พูดหมายถึงใคร?”
……………………………………….