ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 879 ออกโรง
บทที่ 879 ออกโรง
Ink Stone_Fantasy
เกาะเงือก ราชินีเจินจูที่เพิ่งกลับมายังจุดรวมพลของเผ่าพลันเกิดอาการใจสั่นโดยไม่มีสาเหตุ
ทันใดนั้นนางก็หันกายกลับกะทันหันและมองเห็นคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นชั้นๆ อยู่บนผิวทะเล แต่ละคลื่นกระทบเข้ากับหินโสโครก ฟองสีขาวพวยพุ่งจนเกิดเสียงดังอึกทึก
ผืนทะเลทั้งหมดปั่นป่วนและร้องคำราม
บนอากาศไกลออกไป เมฆดำทะมึนเหมือนน้ำหมึกเกิดประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบขึ้นเป็นครั้งคราว
เกิดภาพเช่นนี้ในทะเลไม่ใช่เรื่องแปลก เจินจูเคยเห็นลมฝนพายุที่รุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่านี้มาแล้ว เหล่าชาวเงือกก็ถึงขั้นเคยประสบกับคลื่นพิโรธที่ทำเกาะจมไปครึ่งเกาะ
แต่สิ่งที่ต่างจากภัยพิบัติทั่วไปก็คือ เจินจูสัมผัสได้ชัดเจนถึงความหวาดกลัวบางอย่าง เป็นความหวาดกลัวที่ทำให้อยากจะคลานคุกเข่า
เป็นความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
บนชายหาด เผ่าชาวเงือกที่มาต้อนรับการกลับมาของราชินีต่างพากันล้มลงกับพื้นแล้วฝังหน้าไว้ในทรายพลางตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
หมู่เกาะอาเอ่อร์ซู
เจ้าเกาะมนุษย์มังกรยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของตำหนักหลักและทอดมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ด้านหลังคือคนรับใช้และผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในตำหนัก ตอนนี้ทุกคนต่างแสดงสีหน้าหวาดผวาออกมา ที่แห่งนี้ห่างจากสนามรบบรรพกาลไกลมาก ผลกระทบจึงไม่รุนแรงเท่าทางเกาะเงือก
แม้ว่าเหล่าลูกหลานเทพมารในเกาะจะสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในกระดูก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคุกเข่าล้มลงไปกับพื้น
“กลิ่นอายนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจและชาวมนุษย์ที่แข็งแกร่งผู้นั้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ…”
เจ้าเกาะมนุษย์มังกรเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจ
“เขาได้เข้าสู่ระดับเทพมารที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วหรือ?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าต่อไปจะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับราชินีเงือก พลางแค้นที่ตนเองไม่สละศักดิ์ศรีให้ถูกเวลาและประจบประแจงมนุษย์ผู้แข็งแกร่งคนนั้นให้มากๆ
…
จากเหลยโจวลงไปทางใต้และผ่านซินเจียงตอนใต้ไป ทิวทัศน์ด้านล่างวาบผ่านไปในพริบตา หลี่เมี่ยวเจินเหยียบอยู่บนกระบี่บิน นางกระตุ้นจิตแท้อย่างบ้าคลั่งพลางใช้จิตตรวจสอบดูหนังสือปฐพีเพื่อพยายาม ‘คุยส่วนตัว’ กับสวี่ชีอัน
ในพื้นที่มิติว่างที่เต็มไปด้วยความโกลาหล กลุ่มแสงที่เป็นสัญลักษณ์ของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั้งเก้าแผ่กระจายออกไปรอบทิศ แต่กลุ่มแสงที่เป็นตัวแทนของหมายเลขสามนั้นสลัวราง
หมายความว่าสูญเสียการติดต่อ
‘เจ้าบ้า ตระเวนไปนอกทะเลจนติดต่อไม่ได้แล้ว อย่าให้ข้าได้เจอเชียวว่าเจ้ากำลังรื่นเริงอยู่บนเกาะเงือก…’ หลี่เมี่ยวเจินคิดไปถึงว่าสวี่ชีอันตอบข้อความกลับมาอวดว่า ตนไปพบกับเงือกที่นอกทะเล พวกนางสวยราวกับบุปผา อ่อนโยนมีเสน่ห์ โดยเฉพาะราชีนีเงือก เป็นอย่างไรเล่า!
ขอเพียงนางเข้าไปใกล้ขอบเขตของสวี่ชีอัน หนังสือปฐพีก็จะสามารถติดต่อกันได้
แต่ต้องหาทิศทางให้ถูก มิเช่นนั้นจะขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วจนไกลกันยิ่งกว่าเดิม
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท้องทะเลไร้ที่สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา
นางรีบพุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทันที หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ นางก็จมความคิดลงในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี และสัมผัสได้ว่าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของหมายเลขสามสว่างขึ้นในที่สุด
เดี๋ยวดับเดี๋ยวสว่าง ไม่มั่นคงเลยสักนิด
หลี่เมี่ยวเจินใจสั่นไหว
…
สวี่ชีอันดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จิต ปราณ วิญญาณผสานรวมกันเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง แหจับปลาที่กลายมาจากจิตเดิมหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายอย่างสมบูรณ์ มันแข็งแกร่งและไม่สั่นคลอนยิ่งกว่าเดิม
การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือ ร่างกายทุกส่วนของเขาในตอนนี้ล้วนมีความคิดของตัวเองแล้ว
เมื่อครุ่นคิดก็ไม่จำเป็นต้องใช้สมอง แต่สามารถใช้มือเท้าหรือหัวข้างล่างได้
ทุกส่วนของร่างกายล้วนมีจิตเดิมส่วนหนึ่ง เหมือนกับเสินซูในตอนแรก แม้ว่าจะถูกตัดขาด วิญญาณก็จะไม่ถูกพรากจากไป
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ เพียงแต่จิตเดิมภายในเศษซากร่างกายไม่มีความสามารถที่จะครุ่นคิดอย่างอิสระ
นอกจากนั้น พลังกายและพลังปราณก็ก้าวหน้าเสียจนน่าสะเทือนขวัญ เขาในตอนนี้สามารถเอาชนะตัวเองเมื่อก่อนได้ด้วยหมัดเดียว (จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง)
นอกจากคุณลักษณะต่างๆ ที่เพิ่มพูนรอบด้าน จุดที่ทำให้สวี่ชีอันสนใจมากที่สุดในขอบเขตเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับจุลภาค…เพราะเซลล์ที่ประกอบเป็นร่างกายได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
สวี่ชีอันรวบรวมจิตมองเข้าไปข้างใน และพบว่าในเซลล์มีลวดลายบิดเบี้ยวคล้ายลูกอ๊อดเพิ่มขึ้นมา
พวกเขาดำรงอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ ราวกับสิ่งที่มาพร้อมกับยีนอยู่แล้ว
เซลล์แต่ละเซลล์ล้วนมีลวดลายราวลูกอ๊อดเหล่านี้ พวกมันดูคล้ายคลึงกัน แต่กลับมีจุดที่แตกต่าง
ถ้าหากรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ก็เหมือนกับ…ค่ายกล?
สวี่ชีอันจมจ่อมอยู่ในลวดลายที่มีจำนวนมหาศาลจนน่าสะพรึงและพยายามวิเคราะห์พวกมันออกมา สุดท้ายก็รู้เพียงเรื่องเดียว
คุณสมบัติเป็นอมตะ!
ลวดลายเหล่านี้มีคุณสมบัติของการเป็นอมตะ!
มันแตกต่างจากจอมยุทธ์ขั้นเหนือสามัญ เพราะคุณสมบัติอมตะของพวกนี้มาจากพลังชีวิตอันเฟื่องฟูและมหาศาล มันสามารถทำให้ร่างกายงอกขึ้นมาใหม่ได้ง่ายๆ
ส่วนคุณสมบัติอมตะของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวคือยากจะทำลายได้
สองอย่างนี้ต่างกันในด้านแก่นแท้
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่ทำให้สวี่ชีอันดีใจที่สุดคือ เมื่อเขาควบคุมหลิงอวิ้นส่วนหนึ่งของเทพมารบรรพกาลแล้วปล่อยออกมา พลังก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล
เมื่อเทียบกันด้านความแข็งแกร่งทางร่างกายล้วนๆ เสินซูถึงขั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ
ยิ่งรวมกับการเพิ่มขึ้นของวิชาสังเวยเลือดของลี่กู่ พลังของข้าก็มาถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้แล้ว…เขาล้มเลิกการมองภายในแล้วลืมตาขึ้นมา เขามองเห็นจิ้งจอกเก้าหางกำลังหลบอยู่ไกลๆ พลางสังเกตดูตัวเขาอย่างระแวดระวัง
ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความขลาดกลัวและความตื่นเต้น
นางเพิ่งได้เห็นการกำเนิดของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
ไม่ต้องสงสัยเลย พลังที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่นี้ไม่ด้อยไปกว่าของเสินซูเลยสักนิด
‘ฮู่ว’…
เมื่อสวี่ชีอันเก็บงำกลิ่นอายกลับไป จิ้งจอกเก้าหางก็ถอนหายใจออกมา แล้วเดินสะบัดหางจิ้งจอกหิมะขาวเข้ามาหา
“เมื่อเทียบกับเสินซู หลิงอวิ้นบนร่างของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกกดดันมากกว่า”
จิ้งจอกเก้าหางพยายามคืนความน่าเคารพให้กับตัวเอง และหาเหตุผลสำหรับอาการสั่นเทาเมื่อครู่
“ลูกหลานเทพมารอ่อนไหวและหวาดหวั่นต่อเทพมารที่แข็งแกร่งมากกว่าอยู่แล้ว อืม เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตีพ่อเจ้าได้ไม่มีปัญหา”
สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ
จิ้งจอกเก้าหางหรี่ตาลงแล้วเอ่ยกระตุ้น
“เจ้าไปสิ ไปเลย!”
สวี่ชีอันเล่าถึงสภาพของเขาให้นางฟังคร่าวๆ โดยเน้นถึง ‘ลวดลาย’ ที่ประทับอยู่ในรากฐานร่างกายของเขา
“เจ้าว่าอย่างไร”
จิ้งจอกเก้าหางมองพิจารณาเขา ดวงตาโตเรียวยาวมีเสน่ห์ฉายความประหลาดใจออกมา
“เจ้ากลายเป็นเทพมารแล้ว?”
ความหมายของนางคือ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเทพมารและลูกหลานเทพมารเท่านั้น
คิดไม่ต่างจากข้าเลย ข้าค่อยๆ กลายเป็น ‘เทพมาร’ แล้วหรือ? บัดซบ เช่นนั้นข้ายังจะมีลูกได้อีกหรือไม่…เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เริ่มร้อนใจ
ข้าปักดอกไม้หลอมหยกอยู่ทุกวัน แต่ในท้องกลับไร้การตอบสนอง
ฝูเซียงก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง
หลินอันแต่งเข้ามาได้สองเดือน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเหมือนกัน
ข้าคงมิได้มีปัญหากระมัง…อืม เทพมารก็สามารถมีลูกหลานได้เหมือนกันนี่ ถ้าไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็หาลูกหลานเทพมารสักตนมาลองดู…เขาใช้สายตาพินิจพิจารณามองดูจิ้งจอกเก้าหาง
“มองอะไร”
จิ้งจอกขมวดคิ้วเอ่ย
สายตาของเจ้าบุรุษหน้าเหม็นผู้นี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวนัก
สมบัติอย่างข้าเป็นถึงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเชียวนะ…ในสมองของสวี่ชีอันผุดชื่อหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอ่ยพึมพำ
“ถ้าหากนี่คือหลิงอวิ้น เช่นนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของ ‘อมตะ’ สถานการณ์เช่นนี้เกิดกับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเท่านั้น หรือว่าผู้อยู่เหนือระดับจากสายอื่นๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นได้เหมือนกัน?”
จิ้งจอกเก้าหางส่ายหน้า
“ไม่ถูกสิ!”
“ผู้อยู่เหนือระดับและเทพมารนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาไม่อาจได้รับมรรคาสวรรค์โดยตรงเหมือนอย่างเทพมาร จำเป็นต้องคว้าเอาโชคชะตาเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
หนทางนี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์เต๋าตายไปสามครั้งถึงจะพอคลำออกมาได้เสียด้วยซ้ำ
“อีกอย่าง ท่านโหราจารย์ก็เคยกล่าวไว้ว่า จอมยุทธ์ไม่อาจแทนที่มรรคาสวรรค์ เช่นนั้นการกลายเป็นเทพมารย่อมพูดได้ไม่สมเหตุสมผล สถานการณ์ของเจ้าไม่ใช่การกลายเป็นเทพมาร ข้าคิดว่าอาจจะเป็นความลับขั้นสูงสุดของสายจอมยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพยุทธ์ก็ได้”
นางวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลและไม่ต่างกับที่สวี่ชีอันคิดนัก
ขณะที่เขากำลังจะพูด จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสมองถูก ‘เคาะ’
เอ๋ สมาชิกพรรคฟ้าดินก็ออกทะเลมาด้วยหรือ? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ลูกกระเดือกกลิ้งเกลือก จากนั้นก็คายชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา
หมายเลขสอง ‘สวี่หนิงเยี่ยน สวี่หนิงเยี่ยน สวี่หนิงเยี่ยน…’
เสียงของหลี่เมี่ยวเจินเข้ามาสู่สมองอย่างบ้าคลั่ง
หมายเลขสาม ‘เมี่ยวเจิน เจ้าออกทะเลมาได้อย่างไร’
ระยะห่างของเขาในตอนนี้ ห่างจากแผ่นดินจิ่วโจวไกลโพ้นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นหลุดออกจากขอบเขตส่งสัญญาณของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว
เมื่อได้รับการตอบกลับจากสวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจินก็ราวกับยกภูเขาออกจากอก นางเอ่ยส่งข้อความด้วยน้ำเสียง ‘เจ้าผีบ้า เหตุใดถึงเพิ่งมา เจ้าไปตายที่ไหนแล้ว’
หมายเลขสอง ‘เจ้าไปอยู่ไหนแล้ว ไปเที่ยวกับนางปีศาจจนลืมชื่อแซ่ของตัวเองแล้วหรือไม่? เจ้าไปตายเสียเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะใช้ดาบสับเจ้าเป็นชิ้นๆ’
หมายเลขสาม ‘มีเรื่องอะไรก็ว่ามา’
ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ได้กลัวสตรีหรอก
หมายเลขสอง ‘พระพุทธเจ้าบุกโจมตีจิ่วโจวแล้ว’
เพียงหนึ่งประโยคก็ทำให้นัยน์ตาของสวี่ชีอันค่อยๆ หดเกร็ง
หลี่เมี่ยวเจินเล่าเรื่องราวให้สวี่ชีอันฟังด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนรวดเร็ว
หมายเลขสอง ‘เจ้านึกภาพไม่ออกหรอกว่าพระพุทธเจ้าแปลกประหลาดเพียงใด เขาไม่เพียงหลอมรวมเข้ากับภูเขาลำธารเมืองแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังคิดจะกลืนกินเหลยโจวด้วย ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาข้าก็ไม่กล้าเชื่อหรอก’
หลังจากที่หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยจบอย่างรวดเร็วก็เอ่ยถามด้วยความหวังเล็กน้อย
หมายเลขสอง ‘เจ้าเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วหรือ’
หมายเลขสาม ‘อืม!’
หมายเลขสอง ‘ไม่เป็นไร เทพยุทธ์ครึ่งก้าวไม่ใช่จะเป็นได้ในวันสองวัน อนาคตยาวไกล เจ้ากลับมาก่อนเถอะ ต้าฟ่งจำเป็นต้องมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง…’
นางยิ่งพูดยิ่งเสียงแผ่ว จากนั้นก็ค่อยๆ เงียบลงไป
ผ่านไปพักใหญ่ๆ
‘จะ จริงหรือ?!’
หมายเลขสาม ‘เดี๋ยวค่อยอธิบาย ข้าจะกลับไปทันที’
สวี่ชีอันหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก่อน หลังจากเปลี่ยนเรียบร้อย เขาก็กดไหล่ของจิ้งจอกเก้าหางไว้แล้วทำให้ ‘มหาเนตร’ สว่างขึ้น จากนั้นก็เคลื่อนย้ายผ่านมิติว่างไปโดยตรง
…
พื้นที่ระหว่างผืนฟ้าและผืนน้ำ หลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่บนกระบี่บิน มือหยกเรียวงามถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ ขณะที่หัวใจค่อยๆ กลับคืนสู่ตัว
ความกังวล ความหวาดกลัว และความรู้สึกด้านลบทั้งหลายสลายหายไปในทันใด
เขาทำสำเร็จแล้วจริงๆ เขากลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่ตั้งแต่โบราณมาล้วนมีอยู่หยิบมือได้
และได้เหยียบย่างเข้าสู่ทำเนียบผู้แข็งแกร่งที่สุดรองจากพวกเหนือระดับขั้นแล้ว
เขากลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงเฉกเช่นเสินซู
หลังจากความรู้สึกด้านลบสลายไป ในใจของหลี่เมี่ยวเจินก็ผุดความเศร้า การคร่ำครวญ และความทอดถอนใจที่บ่มเพาะมาจากกาลเวลา
พบพานและรู้จักท่านมาสามปี ราวกับผ่านสารทวสันต์มาสามพันปี
“สมกับเป็นเจ้าจริงๆ!”
นางเอ่ยพึมพำ มือที่ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้โบกไปมาอย่างตื่นเต้น
‘อืม สวี่หนิงเยี่ยนห่างไปไม่ไกลนัก หากเขาจะกลับจิ่วโจวก็ย่อมต้องผ่านซินเจียงตอนใต้ก่อน ข้ารออยู่นี่แล้วกัน…’ หลี่เมี่ยวเจินเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนดาบ
…
เหลยโจว
อาซูหลัวค่อยๆ โค้งตัวลง ได้ยินเสียงหายใจอันหนักหน่วงของตนเอง แขนขวาของเขาตกลงอย่างอ่อนแรง ใบหน้าด้านซ้ายถูกทำลาย
ร่างกายดำทะมึนดุจน้ำหมึกเสียหายอย่างหนัก
เขาเป็นผู้นำ ส่วนด้านหลังมีนักบวชเต๋าจินเหลียนและพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ จากนั้นก็เป็นหยางกงและซุนเสวียนจี
ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนถอยทัพออกไปชั่วคราวเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส
ผู้ที่ต่อสู้กับเหนือสามัญกลุ่มนี้ก็คือเจียหลัวซู่ ผู้มีพลังต่อสู้อันดับหนึ่งของสำนักพุทธ
ส่วนลั่วอวี้เหิง นางต้านทานพระโพธิสัตว์สองรูปของสำนักพุทธเพียงคนเดียว
ไม่ได้หมายความว่าพลังฝึกตนของนางสามารถบดขยี้ผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันสองคนได้ แต่เป็นเพราะเทพเซียนเดินดินมีคุณสมบัติพิเศษคือหมื่นวิชาไม่กล้ำกราย จึงสามารถยับยั้งพระโพธิสัตว์ที่เชี่ยวชาญการควบคุมทั้งสอง
โดยเฉพาะ ‘ร่างธรรมมหาสังสารวัฏ’ และ ‘ร่างธรรมมหากรุณา’ ของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ที่ราวกับไม่มีประโยชน์อันใดเลย
‘แกร่ แกร่ก แกร่ก’
เสียงมิติว่างพังทลายดังขึ้นมา สิ่งกีดขวางราวแก้วใสไร้สีราวกับคลื่นน้ำ มันแผ่ขยายรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อสัมผัสกับแสงทองคุ้มกายาของลั่วอวี้เหิงก็พังทลายทีละนิดๆ ราวกับกระจกแตก
ตลอดทั้งกระบวนการนี้ เงาร่างของพระโพธิสัตว์หลิวหลีส่องวาบและหายไปอย่างต่อเนื่องอยู่รอบตัวลั่วอวี้เหิง
เป้าหมายของนางชัดเจนยิ่ง นางคิดจะฟันผู้นำหญิงลัทธิเต๋าซึ่งเป็นอดีตราชครูแห่งต้าฟ่งผู้นี้ด้วยวิธีการทางกายภาพ
ในด้านการต่อสู้ระยะประชิด พระโพธิสัตว์หลิวหลีห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ที่ขึ้นชื่อเรื่องพลังการเข่นฆ่านัก แต่วิชาในใต้หล้าวัดกันที่ความเร็ว ขอเพียงคว้าโอกาสได้ เมื่ออยู่ในขั้นเดียวกัน หากคิดจะฟาดฟันกายเนื้อของเทพเซียนเดินดินก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ไม่ใช่สายการฝึกตนทุกสายที่จะเหมือนอย่างจอมยุทธ์
ถึงแม้ความเร็วของลั่วอวี้เหิงจะไม่เท่ากับร่างธรรมธุดงค์ แต่เมื่อ ‘ร่างปฐพี’ ในร่างทั้งสี่ผสานรวมกับ ‘ร่างวายุ’ ก็ทำให้นางรับมือได้สบายๆ
ทั้งยังสามารถแบ่งสมาธิไปใช้วิชากระบี่บินเพ่งเล็งพระโพธิสัตว์กว่างเสียนและเจียหลัวซู่ได้อีกด้วย
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมและใช้วิชาฉานต้าน ส่วนเจียหลัวซู่เพียงคิดว่าเทพเซียนเดินดินนั้นน่ารำคาญนัก
“หลังจากศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ พลังฝึกตนของลั่วอวี้เหิงก็ก้าวกระโดด หากให้เวลานางอีกหลายปีต้องสามารถก้าวเข้าสู่ระดับกลางของขั้นหนึ่งได้แน่ และรุ่นต่อไปก็จะยิ่งแย่”
ซ่าหลุนอากู่เอ่ยอย่างทอดถอนใจ
อีเอ๋อร์ปู้กลับกำลังครุ่นคิดว่าจะรับมือกับเทพเซียนเดินดินแห่งลัทธิเต๋าผู้นี้ดี คุณลักษณะหมื่นวิชาไม่กล้ำกรายช่างรับมือยากยิ่ง
วิธีการส่วนใหญ่ของสายพ่อมดล้วนถูกยับยั้งได้หมด
แต่ครู่ต่อมา เขาก็ไม่คิดมากอีก เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องใคร่ครวญ
ระหว่างขั้นสามและขั้นหนึ่งมีช่องว่างใหญ่ยิ่งกั้นอยู่
แค่นิ้วเดียวของเทพเซียนเดินดินก็สามารถจิ้มปราชญ์วิญญาณขั้นสามให้ตายได้แล้ว
“นางคนเดียวก็สามารถต้านทานพระโพธิสัตว์สองรูปได้แล้ว น่ากลัวจริงๆ” อูต๋าเป๋าถ่าเอ่ยประเมิน
อีกด้านหนึ่ง ความรู้สึกตึงเครียดของเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ก็ผ่อนคลายลง
สถานการณ์ของพวกเขาน่าอึดอัดอย่างยิ่ง
หากต้าฟ่งพ่ายแพ้ดุจภูเขาถล่ม พวกเขาก็ต้องถูกบีบให้ลงสนาม และการต่อสู้ในระดับเช่นนี้ หากอยากให้ขั้นสามตาย พวกเขาก็จะตายได้ตามนั้นเลย
สถานการณ์ที่ค่อนข้างจะสมดุลแบบในปัจจุบันคือสิ่งที่พวกเขาอยากเห็น
ซ่าหลุนอากู่กำมือที่ถือแส้แล้วออกแรงเล็กน้อยเอ่ยว่า
“กว่างเสียนก็ดี หลิวหลีก็ดี ล้วนแต่ไม่ได้ทุ่มเต็มกำลัง เนื่องจากร่างธรรมถูกเทพเซียนเดินดินยับยั้งอยู่ แต่พลังจริงๆ ของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าหรอก”
อีเอ๋อร์ปู้ตกตะลึงและเอ่ยว่า
“ท่านพ่อมดใหญ่หมายความว่า…”
ซ่าหลุนอากู่หัวเราะ
“พวกเขากำลังรอโอกาส”
เพิ่งพูดจบ ในที่สุดดวงอาทิตย์สีทองดวงนั้นก็ระเบิดแล้ว
แสงพุทธะที่สว่างจ้าเสียดตายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ระเบิดออก คลื่นกระแทกกวาดไปในรัศมีหลายสิบลี้และปกคลุมพวกลั่วอวี้เหิงและอาซูหลัวโดยตรง
พลังของร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรกวาดไปทั่วทุกสารทิศตามการระเบิดของมัน
เมื่อเห็นดังนั้น รอยยิ้มที่มุมปากของซ่าหลุนอากู่ก็กว้างขึ้น
โอกาสมาแล้ว
ร่างธรรมแห่งความมืดของเสินซูสลายหายไปภายใต้แสงพุทธะ จนเผยร่างจริงออกมา ร่างกายครึ่งบนของเขากลายเป็นโครงกระดูกและผูกเผาจนเป็นกระดูกสีแดง
แม้จะมีคุณสมบัติอมตะของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว แต่ก็ใช่จะไม่ได้รับความเสียหาย
แน่นอนว่านอกจากพลังกายที่อ่อนแอและกลิ่นอายที่ลดลงแล้ว เสินซูก็ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตใดๆ อีก
ผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญทางต้าฟ่งรับมืออย่างรวดเร็วทันที ทุกคนขยับเข้าใกล้หยางกงอย่างรู้กัน
หยางกงขยับมงกุฎปราชญ์แล้วกระตุ้นให้แสงสีใสปกคลุมทุกคน
“ถอยไปสามร้อยจั้ง”
ลั่นประกาศิตล้มเหลว
ซุนเสวียนจียกเท้าขึ้นเพื่อให้ค่ายกลส่งตัวแผ่ขยายอย่างรวดเร็วและพยายามปกคลุมทุกคนไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้แผ่ขยายออกไป ความเร็วก็ถูกทำลายลงและโดนแสงพุทธะชำระล้าง
แสงพุทธะจากร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรส่องไปที่ใด วิชาทุกสายล้วนถูกชำระล้างทั้งสิ้น
คุณสมบัติหมื่นวิชาไม่กล้ำกรายของลั่วอวี้เหิงนั้น เมื่ออยู่ใต้พลังของผู้อยู่เหนือระดับขั้น ก็ไม่อาจใช้การได้อีก
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนหลุดออกจากสถานะวิชาฉานทันที ร่างธรรมมหาสังสารวัฏเคลื่อนไหวเสียงดัง จากนั้นลวดลายแห่งพุทธที่เป็นตัวอักษร ‘มนุษย์’ ก็สว่างขึ้น ร่างธรรมมหากรุณาลืมตาแล้ว ‘มอง’ ไปยังผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญฝ่ายต้าฟ่ง
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พุ่งมาหาพวกอาซูหลัวเสียงดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ ราวกับหมาป่าหิวโหยที่ไล่ล่าฝูงแกะ
แต่ผู้ที่ว่องไวกว่าพวกเขาก็คือพระโพธิสัตว์หลิวหลี นางถือโอกาสใช้ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรสยบยั้งยอดฝีมือเหนือสามัญทุกคนไว้ทันที แล้วโผล่ขึ้นมาด้านหลังของตู้เอ้อร์อย่างไร้สุ้มไร้เสียง ที่ปลายนิ้วของนางคีบตะปูตอกวิญญาณเอาไว้ จากนั้นเล็งไปที่หลังศีรษะของเขา
ในฐานะที่เป็นคนในสำนักพุทธ ตู้เอ้อร์และอาซูหลัวไม่มีทางถูกแสงพุทธะชำระล้าง ทันทีที่วงแสงเจ็ดสีละลานตาเพิ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา ทิวทัศน์รอบตัวก็สูญเสียสีสันไปทันใด
การเคลื่อนไหว สติสัมปชัญญะ รวมถึงการสังหารแยกขันธ์ของพวกเขาต่างตกอยู่ในสถานะเชื่องช้า
พระโพธิสัตว์หลิวหลีตบลงไปเบาๆ เสียงฟึ่บดังขึ้น ตะปูตอกวิญญาณตอกลงไปยังจุดกลางศีรษะของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อย่างแรง การผนึกขั้นแรกเสร็จสมบูรณ์
จากนั้น พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็คว้าบ่าของตู้เอ้อร์แล้วหายวับไป
‘แย่แล้ว…’ ยอดฝีมือเหนือสามัญทางฝั่งต้าฟ่งหน้าเปลี่ยนสี
โชคชะตาบนร่างของตู้เอ้อร์สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฐานะของเขาก็สำคัญเสียยิ่งกว่า การมีอยู่ของเขาจะตัดสินว่าพุทธมหายานสามารถดำเนินต่อไปในภาคกลางได้หรือไม่
เขาคือผู้เชื่อมโยงระหว่างพุทธะสูงสุดสวี่ชีอันกับศิษย์พุทธมหายาน
หากอาศัยเพียงสวี่ชีอันที่ไม่เชี่ยวชาญในธรรม ก็ยากจะจัดการพุทธมหายานได้ และหากพุทธมหายานอ่อนแอลง พุทธมหายานก็จะย้อนกลับไปหาสำนักพุทธ
นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ บัดนี้จิตใจกลับรู้สึกไร้พลังอย่างล้ำลึก
ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วเรียวงามราวต้นหลิวขึ้น แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้ นางหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่อาจช่วยตู้เอ้อร์กลับมาได้
ครู่ต่อมา พระโพธิสัตว์หลิวหลีชุดขาวก็ปรากฏตัวในดินแดนไร้มนุษย์ที่ปกคลุมไปด้วยเลือดเนื้อสีแดงก่ำ
นางฉลาดยิ่งที่เลือกไม่เข้าใกล้ ‘ร่างแปลง’ ของพระพุทธเจ้า เพราะตรงนั้นอยู่ใกล้กับเสินซูมากเกินไป
“ตู้เอ้อร์ การได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้าคือโชคดีของเจ้าแล้ว!”
หลิวหลีเอ่ยอย่างเสียดาย
“เดิมทีเจ้าควรจะเป็นเหมือนพวกเราที่เป็นอมตะไม่เสื่อมสลายและกลายเป็นหนึ่งในสาวกของพระพุทธเจ้า”
ตู้เอ้อร์ก้มหน้ามองเบื้องล่าง สสารเลือดเนื้อเคลื่อนไหวราวกับมือหนวด พวกมันแทบอดใจที่จะกลืนกินตัวเขาไม่ไหวแล้ว
“มิใช่หนทางของข้า!”
เขาประนมมือ และเผชิญหน้ากับจุดจบของตนเองอย่างใจเย็น
หลิวหลีไม่พูดสิ่งใดมากอีก นางคลายมือแล้วโยนเขาลงไป
สสารเลือดเนื้อสีแดงก่ำพุ่งขึ้นฟ้า มันห่อหุ้มและกลืนกินตู้เอ้อร์ทันที
“รักษาเหลยโจวไว้ไม่ได้แล้ว” ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าและขมวดคิ้ว
‘ท่านโหราจารย์ไม่มีไพ่ตายอยู่จริงหรือ?’
เขากวาดมองเผ่าพันธุ์กู่ทุกคน และพบว่าสีหน้าของพวกเขาต่างก็ดูไม่ได้ มีเพียงสีหน้าของแม่ย่าเทียนกู่เท่านั้นที่เป็นปกติ
“เจ้ามองเห็นอะไร?” พ่อมดใหญ่เอ่ยถาม
“ความลับของสวรรค์มิอาจแพร่งพราย”
แม่ย่าเทียนกู่หรี่ตาเอ่ย
ซ่าหลุนอากู่ราวกับคิดอะไรอยู่
‘แม่ย่าไม่ร้อนใจเลยสักนิด สิ่งที่นางเห็นคืออนาคตอันเป็นประโยชน์ต่อต้าฟ่งหรือ?’ ฉุนเยียนดวงตาสว่างวาบ ความกังวลในใจถูกบรรเทาลงไปได้ไม่น้อย
‘ต้าฟ่งยังมีหนทางอื่นอีก? มันคืออะไรล่ะ…’ ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่พากันคาดเดา
ตอนนี้เอง สสารเลือดเนื้อส่วนที่กลืนกินตู้เอ้อร์ก็พลันบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขึ้นมา ราวกับระบบย่อยไม่ดี
จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ผึง’ ดังขึ้น สสารเลือดเนื้อระเบิดออกราวกับมีกระสุนปืนใหญ่ตกลงไปในหนองน้ำจนดินโคลนกระเด็นไปทั่วทุกแห่ง
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนพากันตื่นตะลึง เมื่อรวบรวมสมาธิมองไป ตู้เอ้อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของยอดฝีมือเหนือสามัญโดยไม่บุบสลาย และข้างกายเขาก็มีอีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
คนผู้นี้สวมชุดสีคราม ผมสีดำปลิวสยายอย่างเอ้อระเหย
องคาพยพองอาจหล่อเหลา ร่างกายเพรียวสมบูรณ์
นั่นคือฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง สวี่ชีอัน
…………………………………………………………
……….