ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 869-2 ความลับของมหาเคราะห์ (สิ้นสุด)
บทที่ 869 ความลับของมหาเคราะห์ (สิ้นสุด)
……….
ไม่แปลกใจเลยที่พระพุทธเจ้าคืออรัญตาและอรัญตาก็คือพระพุทธเจ้า นี่ย่อมหมายความว่า ตอนแรกพระองค์ทรงมีลักษณะเป็นเช่นเทพมารรึนี่? แล้วจะมีคุณสมบัติพอให้แก่งแย่งวิถีแห่งฟ้าด้วยรึ?
กลายเป็นว่าข้ารู้โฉมหน้าที่แท้จริงของมหาเคราะห์แล้ว พอรู้ความจริง ก็อดคิดไม่ได้…สวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า
“แล้วเหตุใดเทพมารจึงล้มเหลว?”
“ท่านโหราจารย์ตอบว่า
“เพราะว่า ‘ประตู’ นั่นสร้างเสร็จเองตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่ต้องสั่งสมจิตวิญญาณอีกต่อไป เทพมารล่มสลายไม่อาจผ่านเข้าไปได้ตั้งแต่ก่อนจะสร้างประตูเสร็จอยู่แล้ว ฟ้าดินจึงวิวัฒนาการเข้าสู่ขั้นต่อไป ดังนั้น เทพมารจึงไร้คุณสมบัติที่จะผ่านเข้าไปในประตู…”
“จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าฮวงจะผ่านประตูไปได้จริงๆ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนเป็นวิถีแห่งฟ้าได้อีกแล้ว”
“สำหรับการใช้งาน เจ้าจะรู้ได้หลังจากใช้ดาบไท่ผิงย่อยสลายมันแล้ว”
สวี่ชีอันมองไปที่ดาบไท่ผิงอีกครั้ง ขณะนั้นจิ้งจอกฟ้าเก้าหางก็ถามว่า
“ท่านโหราจารย์ มหาเคราะห์ครั้งที่สองเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงวิถีแห่งฟ้าหรือไม่?”
สวี่ชีอันละสายตาแล้วหันมามองท่านโหราจารย์
ผู้ถูกมองลูบเครายาวของเขาเบาๆ และเงียบไปนาน ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แล้วจู่ๆ เขาก็พูดว่า
“หลังจากสิ้นสุดยุคเทพมาร ฟ้าดินก็วิวัฒนาการเข้าสู่ขั้นที่สาม โลกค่อยๆ เป็นระเบียบมากขึ้น ปราณจิตวิญญาณพลันบังเกิด ขณะที่เผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย”
“แม้ว่ามหาเคราะห์ครั้งแรกจะสิ้นสุดลง แต่อิทธิพลของมันยังคงอยู่ ประตูแสงที่บังเกิดขึ้น บ่งบอกเรื่องหนึ่งให้ผู้รอดชีวิตรู้ว่า…สามารถแทนที่วิถีแห่งฟ้าได้”
“แต่สิ่งที่แตกต่างจากยุคเทพมารก็คือ ถ้าคนรุ่นหลังต้องการเปลี่ยนวิถีแห่งฟ้าก็ต้องก้าวขึ้นเป็นระดับสุดยอดก่อนเท่านั้น แต่หลังจากเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับสุดยอดแล้วจะมาแทนที่วิถีแห่งฟ้าได้อย่างไร? เรื่องนี้ไม่มีใครรู้จนกระทั่งปรมาจารย์เต๋าปรากฏตัวในอีกหลายปีต่อมา”
“นี่คือบุคคลผู้มีคุณสมบัติติดหนึ่งในสามอันดับแรกนับตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้น”
ข้าสงสัยว่าถ้านักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อพบปะกับปรมาจารย์เต๋าตอนขึ้นสู่จุดสูงสุดจะเป็นเช่นไร…ความคิดนี้แวบขึ้นมาในใจสวี่ชีอัน
น่าเสียดายที่ระดับสุดยอดทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกัน
แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นร่างอวตารลัทธิเต๋าของปรมาจารย์เต๋า แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์เต๋าที่แท้จริง
“หลังจากที่ปรมาจารย์เต๋าได้เลื่อนขั้นเป็นระดับสุดยอดแล้ว เขาก็เริ่มสำรวจหนทางที่จะมาแทนที่วิถีแห่งฟ้า เนื่องจากเขากำลังคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ เขาจึงต้องเตรียมรับความล้มเหลว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องอันตราย กระทั่งตัวเขาเองยังไม่กล้าพูดว่า เขาจะสามารถเอาตัวรอดโดยปราศจากบาดแผลได้หรือไม่”
“ดังนั้น วิชาไตรวิสุทธิเทพแปลงชี่จึงถือกำเนิดขึ้น”
เมื่อสวี่ชีอันได้ยินเช่นนี้ เบาะแสมากมายจากอดีตก็ไหลมารวมกัน ทำให้เขาได้รับประสบการณ์อันเร้าใจ
เขาอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดขัดจังหวะ เพียงตั้งใจฟังคำพูดของท่านโหราจารย์ต่อไปอย่างอดทน
“ปรมาจารย์เต๋าได้ศึกษาเรื่องราวเก่าก่อนของเหล่าเทพมารจึงได้คิดหาหนทาง ในเมื่อเทพมารถูกกฎฟ้าดินเปลี่ยนแปลง พวกมันจึงสามารถเข้าแทนที่วิถีแห่งฟ้าและกลายเป็นวิถีแห่งฟ้าเสียเอง แล้วเหตุใดมนุษย์ที่เลียนแบบเทพมารจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎฟ้าดินไม่ได้?”
พอท่านโหราจารย์พูดจบ จิ้งจอกฟ้าเก้าหางก็พึมพำ
“พลังภายในของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไปได้!”
ท่านโหราจารย์พยักหน้า
“ถูกต้องแล้ว การตัดอารมณ์ความรู้สึกของนิกายสวรรค์กับสวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง เป็นพลังภายในที่ปรมาจารย์เต๋าสร้างขึ้นเลียนแบบเทพมารแทนที่วิถีแห่งฟ้า”
จิ้งจอกเก้าหางถอนหายใจ
“แต่เขาล้มเหลว”
ท่านโหราจารย์ส่ายหัวแล้วพูดว่า
“เขาทั้งสำเร็จและล้มเหลว”
“ถ้าสำเร็จแสดงว่าเขาได้รวมเข้ากับวิถีแห่งฟ้าอย่างแท้จริงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎฟ้าดิน เช่นเดียวกับเทพมารในสมัยนั้น”
“ถ้าล้มเหลวแสดงว่าความจริงฟ้าดินได้วิวัฒนาการมาถึงขั้นสามแล้ว ย่อมไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ใดบังคับเทพมารได้อีกต่อไป เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎฟ้าดิน เช่นเดียวกับเทพมารในตอนนั้น”
“หนทางที่จะตัดอารมณ์ความรู้สึกนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นปรมาจารย์เต๋าจึงหันเหความสนใจไปที่วิถีแห่งชินโตแทน เรื่องนี้เจ้าน่าจะเข้าใจ”
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดเสียงแผ่วเบา
“วิถีแห่งชินโตที่ใช้ขัดเกลาพลังแห่งขุนเขาและสายน้ำในดินแดนของตัวเองย่อมเรียกได้ว่าเป็นผู้อยู่ยงคงกระพันเป็นอมตะ ปรมาจารย์เต๋าเชื่อว่าตราบใดที่เขาขัดเกลาฟ้าดินของจิ่วโจวได้ เขาก็สามารถแทนที่วิถีแห่งฟ้าได้”
ดูท่านโหราจารย์เป็นตัวอย่าง ถ้าต้าฟ่งเป็นอมตะ เขาก็เป็นอมตะ แม้แต่เทพมารโบราณก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้
ดังนั้นหากขัดเกลาภูมิภาคจิ่วโจวจนหมดสิ้นแล้ว เขาจะกลายเป็นวิถีแห่งฟ้าได้หรือไม่?
นี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การทดลอง
ท่านโหราจารย์พูดว่า
“เขาใช้ร่างอวตารของนิกายปฐพีเป็นวัสดุในการขัดเกลาของวิเศษหนังสือปฐพี แล้วจิตเดิมก็กลายเป็นวิญญาณอาวุธ เพื่อให้แน่ใจว่าหนังสือปฐพีจะสามารถต้านทานเคราะห์สวรรค์ได้หากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เขาจึงวางแผนล่วงหน้าด้วยการสร้างพลังภายในนิกายปฐพี เพื่อใช้ฝึกพลังบุญกุศลเพิ่มพูนดวง เพื่อชดเชยผลข้างเคียงจากวิถีแห่งฟ้า น่าเสียดายที่แม้ว่าจะขัดเกลาหนังสือปฐพีไปแล้ว แต่สติปัญญาของเขากลับถูกทำลายจนกลายเป็นวิญญาณอาวุธบริสุทธิ์”
“เหตุใดวิถีทางนี้ถึงผิด?”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยปากถาม
ท่านโหราจารย์ยิ้มและบอกว่า
“ในเวลานั้นปรมาจารย์เต๋าก็คงเหมือนกับเจ้า เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงล้มเหลว อันที่จริงมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก คำที่เป็นแก่นของวิถีแห่งชินโตคืออะไร?”
สวี่ชีอันพูดช้าๆ
“ธูป”
ท่านโหราจารย์พูดน้ำเสียงหนักแน่น
“ธูปคือโชคชะตา!”
“แก่นแท้ที่จริงคือโชคชะตา เขาปล้นชิงผนึกภูผาธารามาสร้างเป็นหนังสือปฐพีและพยายามปกครองจิ่วโจวผ่านหนังสือปฐพี แต่เขาลืมไปว่าผนึกภูผาธาราก่อตัวมาเช่นไร”
“ต่อมาปรมาจารย์เต๋าก็ค่อยๆ คิดออก ถ้าเขาต้องการแทนที่วิถีแห่งฟ้าและกลายเป็นวิถีแห่งฟ้า เขาก็ต้องอาศัยโชคชะตา”
“เจ้าน่าจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
สวี่ชีอันตอบว่า “อืม”
“เขาแย่งชิงบัลลังก์และกลายเป็นจักรพรรดิผู้ครองโลก เขารวบรวมโชคชะตาไว้ในร่างกายตัวเอง โดยคิดไม่ถึงว่า ต่อให้มีโชคชะตาอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตอยู่ชั่วกาลนาน”
ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็อดถอนหายใจไม่ได้ ไม่แปลกใจที่นิกายทั้งสามนิกาย ‘สวรรค์ ปฐพี และมนุษย์’ จะมีปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ เพราะวิถีทางทั้งสามวิถีทางนี้ผิดธรรมชาติและเป็นความพยายามที่ล้มเหลวทั้งสามครั้งของปรมาจารย์เต๋า
ท่านโหราจารย์พยักหน้า
“โชคดีที่คราวนี้ในที่สุดเราก็ได้เคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง แม้จะมีความเบี่ยงเบน แต่ก็ยังไม่ถึงคราวคับขัน ร่างอวตารลัทธิเต๋าก้าวถอยหลังจากขอบเหวทันเวลา กำจัดร่างเก่าของมันเองและกำจัดกฎแห่งการมีอายุยืนยาวไป”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเหลือบมองสวี่ชีอัน
“ถ้าผู้มีโชคชะตาอยู่กับตัวยังไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ แล้วเหตุใดเทพพ่อมด พระพุทธเจ้าแล้วก็ฮวงยังปล้นชิงโชคชะตากันอยู่?”
สวี่ชีอันส่ายหัวแล้วพูดว่า
“พวกเขาปล้นชิงแต่โชคชะตา แทนที่จะเพิ่มโชคชะตาและรองรับโชคชะตาไว้ ร่างอวตารลัทธิเต๋าของเทพสวรรค์ก็ได้ทดลองใช้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่เข้าใจ”
“มีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถควบคุมโชคชะตาได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นระดับสุดยอด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมความสามารถที่อยู่นอกระบบของตัวเอง”
ตอนแรกสวี่ชีอันขมวดคิ้ว แต่จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
“ข้าเข้าใจแล้ว ด้วยการก่อตั้งนิกาย การรวบรวมธูปและการหลอมรวมตัวตนเข้ากับนิกายเท่านั้น ท่านจึงจะสามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องมีโชคชะตาอยู่ โดยพื้นฐานแล้ว มันยังคงเป็นวิถีแห่งชินโตอยู่ดี”
เรื่องนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากระบบขงจื๊อ
วิธีการฝึกฝนของระบบขงจื๊อผสมผสานกับโชคชะตา
ดังนั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงไม่สามารถหลบหนีกฎฟ้าดินที่ ‘ไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปได้’
แน่นอนว่าด้วยนิสัยของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ เขาอาจไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ตลอดไป
เพราะในปรัชญาขงจื๊อ การสร้างคุณธรรม การทำบุญและการพูดจาดี ถือเป็นวัฒนธรรมอมตะสามประการของขงจื๊อ
เพราะชีวิตไม่ยืนยาว
ท่านโหราจารย์พูดว่า
“นับตั้งแต่ฟ้าดินวิวัฒนาการมา โชคชะตาย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โชคชะตาเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เป็นเจ้าผู้ครองรัฐจิ่วโจว หากระดับสุดยอดต้องการเป็นวิถีแห่งฟ้า ก็จำต้องปล้นชิงโชคชะตามา ใช้โชคชะตาเป็นใบรับรองเพื่อเป็นหลักฐานแสดงถึงวิถีแห่งฟ้า”
“นี่คือกฎฟ้าดิน”
จู่ๆ สวี่ชีอันก็มีท่าทีลำบากใจ
“ท่านฝึกให้ข้าเป็นผู้เฝ้าประตูเพราะข้าโชคดีที่ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ตลอดไปและหมดโอกาสแข่งขันเป็นวิถีแห่งฟ้ารึ?”
จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่านี่เป็นความจริง
ไม่คาดคิดว่าท่านโหราจารย์จะส่ายหัว
“ข้าเลือกเจ้าเป็นผู้เฝ้าประตูเพราะเจ้าทำตามระบบจอมยุทธ์”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ท่านโหราจารย์ก็ทำท่ามีเลศนัยและตลกขบขันอย่างยิ่ง
“เจ้าน่าจะเห็นบันทึกที่ข้าทิ้งไว้ในสำนักโหราจารย์”
สวี่ชีอันขอพรให้ตัวเองโชคดี
“หนังสือเล่มนั้นเกี่ยวกับการเลื่อนอันดับเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวนี่นา?”
ท่านโหราจารย์จ้องมองเขาแล้วพูดไปยิ้มไป
“จำบทนำประโยคแรกได้หรือไม่?”
ระบบฟ้าดินกระโดดออกมานอกสามภพ ทว่าอยู่ในห้าธาตุ มีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นที่อยู่ในสามภพ ไม่ใช่ห้าธาตุ…สวี่ชีอันบ่นพึมพำกับตัวเองหลายครั้ง ร่างกายสั่นเทิ้มพลางพูดจาน้ำเสียงชวนง่วง
“นั่นสินะ นั่นสินะ”
จิ้งจอกเก้าหางหันไปมองท่านโหราจารย์ จากนั้นก็มองสวี่ชีอันแล้วเลือกจะถามคนหลัง
“พูดอะไรน่ะ?”
สวี่ชีอันไม่สนใจนาง แต่ท่านโหราจารย์ยิ้มและบอกว่า
“ระบบหลักทั้งหมดสามารถยืมพลังของฟ้าดินและใช้ประโยชน์จากธาตุทั้งห้าได้ แต่จอมยุทธ์ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกจึงสร้างโลกของตัวเองขึ้นมา ระบบจอมยุทธ์จึงเป็นระบบเดียวที่จะไม่เข้ามาแทนที่วิถีแห่งฟ้า”
แม่มดผมเงินอดไม่ได้ต้องนึกถึงเรื่องที่ท่านโหราจารย์บอกกับฮวงในเกาะเทพมาร
‘ผู้เฝ้าประตูต้องมาจากระบบจอมยุทธ์เท่านั้น’
“นั่นสินะ…” จู่ๆ นางก็พูดขึ้น
ในเวลานี้ สวี่ชีอันขมวดคิ้วและถอนหายใจอย่างหดหู่
ข้าคิดว่า เทพยุทธ์สามารถฆ่าคนระดับสุดยอดได้ และระบบจอมยุทธ์ก็เป็นระบบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาระบบหลักทั้งหมด ใครจะคิดว่าเทพยุทธ์จะเป็นเพียงผู้เฝ้าประตู
โลกทั้งใบกำลังดูถูกยุทธ์และกฎฟ้าดินก็ดูถูกยุทธ์เช่นกัน!
หลังจากบ่นไปแล้ว จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยไม่สนใจประเด็นสำคัญประเด็นนี้มาก่อนเหมือนกัน
“เนื่องจากการดำรงอยู่ของจอมยุทธ์คือเพื่อเฝ้าประตู ก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้ระดับสุดยอดไม่สามารถกลายเป็นวิถีแห่งฟ้าได้”
…
อรัญตา
ผู้ศรัทธานับไม่ถ้วนนั่งขัดสมาธิบนที่ราบ พนมมือ สวดมนต์บทพระสูตรและพร่ำบทสวดภาวนาด้วยศรัทธา มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังขึ้นตราบฟ้าจรดดิน
ภายใต้เก้าสวรรค์ชั้นฟ้า แสงพุทธะอันศักดิ์สิทธิ์สง่างามน่าเกรงขามเปล่งประกายอยู่บนยอดเขาอรัญตา
ดวงตะวันสีทองค่อยๆ ปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา
ดวงตะวันแผดแสงแรงกล้างดงามเจิดจ้า และส่องสว่างไปทั่วทุกมุมโลก
ทันใดนั้น ก็เห็นร่างหนึ่งนั่งหลุบคิ้วขัดสมาธิปรากฏขึ้น เบื้องหลังศีรษะแสดงกงล้อสุกใสอันเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา เป็นร่างธรรมแห่งปัญญา
หลังจากร่างธรรมทั้งสองร่างควบแน่นขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว
แต่เมื่อเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังก้องพลันได้ยินเสียงคำอธิษฐาน แสงสว่างพร่างพรายคล้ายดังทองคำเลื่อมพรรณรายอยู่บนร่างของผู้ศรัทธา แล้วดวงดาวต่างๆ ที่กระจัดกระจายก็รวมตัวบรรจบอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาอรัญตา
เศษเสี้ยวแสงพุทธะชิ้นเล็กๆ เหล่านี้พลันควบแน่นรวมตัวกันอยู่ทางด้านขวาของร่างธรรมสังสารวัฏเป็นร่างธรรมแห่งความเมตตา ความเมตตากรุณาและความรัก
แล้วยังมีร่างธรรมอื่นๆ มาหล่อหลอมพร้อมเพรียงกัน
ร่างธรรมมหาสังสารวัฏ ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ร่างธรรมวชิระ ร่างธรรมไร้สีหลิวหลี ร่างธรรมธุดงค์และร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ
แทบไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเบื้องหลังอรัญตา ดวงตาขนาดใหญ่ไร้ซึ่งขนตาคู่หนึ่งค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ
……………………………………….
……….