ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 859 ความฝันอันงดงาม
บทที่ 859 ความฝันอันงดงาม
……….
‘ไอ้สิบแปดมงกุฎ’…จิ้งจอกเก้าหางกลอกตา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลดระดับความสูงลงมา นางป้องกันการจู่โจมจากสวี่ชีอันไปพลาง ถามไปพลางว่า “เจ้าเหยียบอะไร?”
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับ เขากระโจนเข้าไปในหินหนืด คลำอยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงวัตถุบางอย่างออกมาจากด้านล่างของหินหนืด
นางปีศาจผมขาวเยื้องกรายลงมาลอยอยู่บนหินหนืด ชะโงกหน้ามองกระดูกสีแดงเพลิงชิ้นหนึ่งในมือของสวี่ชีอัน มันมีขนาดใหญ่เท่ากับอ่างทองแดง พื้นผิวของมันแกะสลักลายเปลวเพลิงที่ดูไม่เป็นระเบียบ
“นี่ดูเหมือนจะเป็นกระดูกสันหลังของสัตว์ใหญ่บางชนิด พูดให้ถูกก็คือกระดูกสันหลังของหนึ่งในนั้น”
สวี่ชีอันก้มศีรษะลงไปตรวจสอบกระดูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากับอ่างทองแดงและกล่าววิเคราะห์ว่า “เจ้าของมันน่าจะมีรูปร่างสูงกว่าห้าจั้ง แต่เตี้ยในหมู่เทพปีศาจ เจ้าว่านี่เป็นสถานที่ที่เทพปีศาจตนนี้ตายหรือไม่?”
เมื่อวิเคราะห์จากประสบการณ์ของเขา กระดูกสันหลังชิ้นนี้น่าจะเป็นศูนย์กลางที่เก็บจิตวิญญาณโดยกำเนิดของเทพปีศาจตนนี้
กระดูกอยู่ที่นี่ เช่นนั้นบริเวณที่ถูกปกคลุมไปด้วยหินหนืดก็น่าจะเป็นสถานที่ที่เทพปีศาจตนนี้ล่มสลาย
“เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในสนามรบโบราณของเทพปีศาจ เช่นนั้นสถานที่นี้ย่อมเป็นสถานที่ที่มันล่มสลาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากการสิ้นขององค์เทพ จะมีเทพปีศาจใจดีฝังมันไว้ใต้ดิน?”
จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่าสิ่งที่เขาถามล้วนไร้สาระ
“แต่ข้าคิดไม่ตกมาโดยตลอด เหตุใดหลังจากที่เทพปีศาจสิ้นแล้วถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเกินจริงเช่นนี้ กลายสภาพเป็นหมู่เกาะและเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นทะเลเพลิง…ถ้าจะพูดว่าพลังการต่อสู้ของพวกมันไม่ด้อยไปกว่าระดับสุดยอด ข้าไม่เชื่อ”
พวกมันไม่ได้ดีไปกว่าข้าเสียด้วยซ้ำไป แต่หากข้าล่มสลาย อย่างมากที่สุดก็เป็นร่างกายที่มิอาจทำลายได้
สวี่ชีอันมองนางโดยหวังว่าจะได้รับคำตอบ
นางปีศาจผมขาวช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นมามอง พลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครตอบคำถามของเจ้าได้ เทพปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษ เจ้าคงแค่คิดว่าพวกมันเกิดมาพร้อมกับความสามารถกระมัง”
รอจนสวี่ชีอันพยักหน้า นางก็กล่าวว่า “เจ้าเก็บกระดูกไว้ มันเป็นวัสดุยอดเยี่ยมที่หาได้ยากยิ่ง ส่งมันไปให้โหร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลั่นอาวุธวิเศษที่ไม่มีใครเทียบได้ออกมาได้”
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงเก็บไว้ด้วยความยินดีอย่างมาก
ผ่านพื้นที่ที่อบอวลไปด้วยเปลวเพลิงเหล่านี้ พวกเขามีประสบการณ์กับสถานที่ล่มสลายของเทพปีศาจหลายแห่ง มีสถานที่ที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดซึ่งเทียบได้กับภัยพิบัติจากสวรรค์ หนองน้ำที่มีมนุษย์หินเดินเตร่ พื้นที่ซึ่งน้ำไหลออกอย่างรวดเร็วหลังจากที่เข้าไป เมื่อทั้งสองออกมาก็เกือบจะกลายเป็นมัมมี่
โชคดีที่สถานการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นวิกฤตการณ์ที่สามารถจัดการได้ ซึ่งไม่เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงถึงชีวิตต่อทั้งสองคน
ซากโบราณสถานของเทพปีศาจนี้ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ สวี่ชีอันประเมินว่าพวกเขาทั้งสองเดินทางมาอย่างน้อยหนึ่งร้อยลี้แล้ว แต่ยังคงสำรวจเกาะเทพปีศาจนี้อยู่
หลังจากพวกเขาบุกเข้าไปยังพื้นที่ที่เหลือไว้หลังจากการสิ้นของเทพปีศาจ เบื้องหน้าก็ปรากฏเพียงความรกร้างว่างเปล่าอันมืดมิด ไม่มีพืชพรรณ เปล่าเปลี่ยวและเงียบสงบ
จิ้งจอกเก้าหางและสวี่ชีอันมองหน้ากัน สถานที่ที่ไม่มีความผิดปกติเช่นนี้ มักจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุด
เนื่องจากมองไม่เห็นความผิดปกติ เจ้ายิ่งไม่สามารถป้องกันและตกเป็นเป้าหมายได้
“ดูเหมือนจะมีรอยเท้าอยู่ตรงนั้น”
ดวงตาคมกริบของจิ้งจอกเก้าหางจ้องไปทางทิศตะวันตกและพูดเสียงเบา
ทั้งสองบินต้านสายลมแล้วมองลงมาจากที่สูง นั่นคือรอยเท้าจริงๆ รอยเท้าของแกะ เมื่อวิเคราะห์จากขนาดของรอยเท้า เจ้าของรอยเท้าน่าจะมีรูปร่างสูงกว่ากำแพงเมืองเสียอีก
“มีแค่รอยเดียวรึ?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและต้องการที่จะเพิ่มระดับความสูง แต่มีหมอกที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อยู่ที่เหนือศีรษะแล้ว
เขาและจิ้งจอกเก้าหางกลับมาที่พื้นดินทันที สวี่ชีอันกล่าวว่า “ตามกฎเดิม ข้าจะไปค้นหาเส้นทาง!”
ฮวงสามารถผ่านสถานที่นี้ไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ไม่มีเหตุผลที่เขาทำไม่ได้
ในแง่ของความสามารถในการป้องกันทางกายภาพและการฟื้นฟู สวี่ชีอันคิดว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพปีศาจระดับสุดยอดในอดีตตนนั้น
“ระวังหน่อย” จิ้งจอกเก้าหางส่งสัญญาณเตือน นางเชื่อใจสวี่ชีอันมาก
สวี่ชีอันเดินไปทางพื้นที่ราบอันรกร้างและมืดมิด หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…ในระหว่างกระบวนการนี้ นางปีศาจผมขาวจ้องมองเขาไม่วางตา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สี่ก้าว ห้าก้าว…ในขณะที่สวี่ชีอันก้าวเท้าก้าวที่หก จู่ๆ เขาก็หายตัวไป หายไปอย่างแปลกประหลาด
“สวี่หนิงเยี่ยน!?”
จิ้งจอกเก้าหางเปิดจิตคำนึงศักดิ์สิทธิ์ทันทีเพื่อสำรวจสถานการณ์โดยรอบพร้อมกับตะโกนชื่อของสวี่ชีอัน
เสียงของนางดังก้องเข้าไปในสถานที่อันรกร้างโดยไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา
‘รอยเท้าของฮวงก็มีเพียงรอยเดียว มันหายไปโดยไม่มีเหตุผลเหมือนกันรึ?’ นางปีศาจผมขาวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเกิดการคาดเดาในใจแล้ว นางก็ตัดสินใจบินอย่างรีบเร่งไปทางสถานที่อันรกร้าง
ในขณะที่นางบินออกไปในระยะทางสั้นๆ ฉากเบื้องหน้าก็พร่ามัว ทิวทัศน์เปลี่ยนไป จากนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระทบเข้าที่หน้าอกของตนเอง
คำพูดของสวี่ชีอันดังทุ้มอยู่ที่ข้างหู “อะไรบังตาข้า?”
นางปีศาจผมขาวกระตุกริมฝีปากและก้มศีรษะลง พอดีกับที่เห็นสวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าอกของนาง ทั้งสองประสานสายตากัน สวี่ชีอันอุทานว่า “เกรงใจเกินไปแล้ว เกรงใจเกินไปแล้ว!”
จิ้งจอกเกาหางสะบัดเขาออกด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไม่ให้โอกาสเขาแต๊ะอั๋งอีกต่อไป ในขณะที่มองไปรอบๆ นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พื้นที่ว่างเปล่า?”
สวี่ชีอันยังคงจมอยู่กับเสน่ห์ของกลิ่นโฟมล้างหน้า หลังจากล่าช้าไปครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้ากล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น สิ่งที่ควบคุมเทพปีศาจที่ล่มสลายลงที่นี่น่าจะเป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ว่างเปล่า พื้นที่ชุลมุนวุ่นวายกระจายไปทั่ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเจ้าของคอยควบคุม สิ่งมีชีวิตที่ผลีผลามเข้ามาสถานที่แห่งนี้ก็จะถูกส่งตัวไปอย่างไม่เป็นระเบียบ”
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวพึมพำว่า “เช่นนั้นจะฝ่าฟันสถานที่แห่งนี้ไปได้อย่างไร?”
สวี่ชีอันยักไหล่แล้วกล่าวว่า “เดินทีละก้าว ว่ากันไปทีละก้าว พื้นที่ว่างเปล่าเป็นวรยุทธ์ที่ลึกซึ้งมาก เท่าที่ข้ารู้จนถึงตอนนี้ มีเพียงการส่งตัวของโหรและเขตอาคมล่องหนของพระโพธิสัตว์หลิวหลีเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตความว่างเปล่า”
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวว่า “ระวังตัวด้วย พื้นที่ที่จิตวิญญาณของเทพปีศาจยังหลงเหลืออยู่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ย่อมไม่สามารถส่งตัวแบบสุ่มได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ก็อย่าลืมว่า ฮวงอาจจะยังอยู่ในพื้นที่แห่งนี้”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ ลางสังหรณ์ของข้าจะคัดค้านข้าเอง”
เหตุผลที่เมื่อครู่ถูกจิ้งจอกเก้าหางใช้โฟมล้างหน้าฉาบใบหน้า เป็นเพราะลางสังหรณ์ขั้นวิกฤติไม่มีการตอบสนองใดๆ ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันไม่มีภัยอันตรายจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่มีอันตราย แต่ยังสดชื่นขึ้นเล็กน้อยด้วย
ในขณะที่เขากล่าวก็เดินไปด้านหน้าด้วย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานของจิ้งจอกเก้าหางดังมาจากด้านหลัง
หันกลับไปมองก็ต้องตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นร่างกายท่อนล่างของนางปีศาจผมขาวหายไปแล้ว ตั้งแต่เอวลงมาถูกตัดออกเป็นสองท่อน ร่างส่วนบนยังอยู่ที่เดิม ร่างส่วนล่างไม่รู้ว่าหายไปไหน
นี่…สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น
“พื้นที่ว่างเปล่าแตกกระจัดกระจายรึ?”
จิ้งจอกเก้าหางก้มลงไปมองร่างกายส่วนล่างที่หายไปและกล่าวเสียงทุ้มว่า “ไม่เพียงแต่แตกกระจัดกระจาย แต่ยังเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา”
หากเปรียบเทียบพื้นที่ปกติกับกระจกที่มั่นคง เช่นนั้นพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นกระจกที่ประกอบด้วยเศษชิ้นส่วน ที่แต่ละชิ้นเคลื่อนที่ไปอย่างต่อเนื่อง
สิ่งมีชีวิตที่เข้ามาที่นี่ เมื่อร่างอยู่ในชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่ง ก็จะเคลื่อนที่ไปตามการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนต่างๆ ราวกับกำลังเคลื่อนย้ายมวลสาร
แต่เมื่อร่างไม่ได้อยู่ในชิ้นส่วนเดียวกัน เมื่อพวกมันเคลื่อนไหวก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับจิ้งจอกเก้าหาง
ร่างกายจะถูกตัดกระจายออกเป็นชิ้นๆ
สวี่ชีอันครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจ้ารู้สึกได้หรือไม่ว่าส่วนของร่างกายที่ถูกแยกออกไปอยู่ที่ใด?”
ถ้าเป็นเขา ร่างกายส่วนล่างของตนเองจะวิ่งมาหา เพราะร่างกายส่วนล่างก็เป็นส่วนที่มี ‘สมอง’ (จิตเดิม)
แต่จิ้งจอกเก้าหางไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง นางอาจจะไม่มีความสามารถเช่นนี้
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า “ข้ารู้สึกได้ถึงตำแหน่งของมัน แต่มันเคลื่อนย้ายไม่หยุด หากเวลาผ่านไปนาน ข้าอาจจะรู้สึกถึงมันไม่ได้ และ…มันจะงอกใหม่ตามสัญชาตญาณ พยายามซ่อมแซมตัวเองใหม่ ต้องหามันให้เจอก่อนที่มันจะซ่อมแซมตัวเอง”
ตอนนี้นางยังคงรักษาสภาพครึ่งตัวไว้ เพราะการงอกใหม่ต้องใช้แก่นปราณโลหิต
ถ้าจำไม่ผิด แก่นโลหิตของทายาทเทพปีศาจทั้งสามตนล้วนอยู่ในหางของนางทั้งหมด…เดิมทีสวี่ชีอันอยากจะเตือนนาง แต่เมื่อเห็นท่าทางของราชินีท่านนี้ที่กำลังขมวดคิ้วแน่นและกระวนกระวายใจที่จะนำร่างกายส่วนล่างกลับคืนมาราวกับลืมเรื่องนี้ไปแล้ว สวี่ชีอันก็แอบกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปอย่างเงียบๆ และแสร้งทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขึ้นมาบนหลังข้า การแตกของพื้นที่ว่างเปล่าตรงนี้น่าจะทำอะไรข้าไม่ได้”
สวี่ชีอันกล่าวเสนอ
นางปีศาจผมขาวก็ไม่ได้อวดดี ร่างท่อนบนของนางลอยไปบนหลังของสวี่ชีอัน ลำแขนทั้งสองข้างเกี่ยวรอบคอของเขา
สวี่ชีอันพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตามคำแนะนำของนาง ช่วงเวลานี้เขาประสบกับการถูก ‘เนรเทศ’ อยู่หลายครั้ง หลังจากใช้เวลาไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พบกับร่างกายท่อนล่างของจิ้งจอกเก้าหาง…ไม่สิ พูดว่าร่างกายท่อนล่างอาจจะไม่ถูกสักเท่าไหร่
เพราะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาคือจิ้งจอกเก้าหางในร่างที่เปลือยเปล่าและมีสภาพสมบูรณ์
ร่างกายท่อนล่างของนางมีขนสัตว์ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนกระโปรง หางจิ้งจอกสีแดงอ่อนทั้งเก้าหางลากยาวจรดพื้นราวกับกระโปรงชุดแต่งงาน
ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า ผิวขาวละเอียดราวกับหยก ลำแขนเรียวยาว กระดูกไหปลาร้างดงามและละเอียดอ่อน เอวบางเผยให้เห็นสะดือที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
สัดส่วนร่างกายสมบูรณ์แบบมาก นางเป็นสตรีรูปร่างงดงามผอมเพรียว แต่หน้าอก…
ภูเขาลูกนี้ขาวมาก กลมมาก และงดงามอย่างมาก…สวี่ชีอันฉวยโอกาสมองให้เต็มทั้งสองตา
“ถ้ามองอีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา”
นางปีศาจผมขาวที่อยู่บนหลังกล่าวด้วยอารมณ์ดุเดือด
ข้ามองตัวปลอมต่างหาก เกี่ยวอะไรกับตัวจริงอย่างเจ้าเล่า…สวี่ชีอันบ่นในใจพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นางไม่มีสติ”
จิ้งจอกเก้าหางดูงดงามก็จริง เพียงแต่แววตานั้นว่างเปล่า สีหน้าหมองคล้ำราวกับดอกไม้กระดาษที่ไม่มีชีวิตชีวา
อย่างไรร่างกายท่อนล่างก็ไม่มีสมอง สมองอยู่ที่ศีรษะด้านบน ดังนั้น แม้ว่าร่างกายจะเติบโตขึ้นแต่ก็เป็นเพียงร่างกายเท่านั้น
จิ้งจอกเก้าหางถอนหายใจด้วยความเย็นชา จากนั้นก็กดไหล่เขาแล้วบินขึ้นไปชนเข้ากับร่างนั้น
ทั้งสองมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เป็นร่างกายเดียวกัน การเชื่อมต่อและผสมผสานจึงไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ
วินาทีต่อมา ดวงตาที่ว่างเปล่าของจิ้งจอกเก้าหางก็ฉายแววของความฉลาดและมีไหวพริบ
ในขณะที่นางยกหางจิ้งจอกขึ้นมาปิดหน้าอกก็ผูกผ้าพันหน้าอกหนังสัตว์ไปด้วย โดยไม่ลืมที่จะจ้องเขาตาเขม็ง
หลังจากผสมผสานกันแล้ว ทั้งสองก็เดินหน้าต่อไป ด้วยบทเรียนที่ได้รับในครั้งนี้ จิ้งจอกเก้าหางเลือกที่จะพึ่งพาแผ่นหลังของเขา ปล่อยให้เขาลากบั้นท้ายกลมๆ และเรียวขาทั้งสองข้างของตัวเองส่ายไปส่ายมาข้างลำตัวสวี่ชีอัน
“ข้าใช้แก่นโลหิตของไอ้หมอนั่นทั้งสามไปครึ่งหนึ่งแล้ว!” นางกล่าว
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุ้มค่าแล้ว”
‘ไอ้บ้า’…จิ้งจอกเก้าหางกัดฟันกรอด จู่ๆ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ว่า “รอกลับไปที่จิ่วโจวก่อนเถอะ ข้าจะวิ่งไปอยู่ที่จวนตระกูลสวี่ คนอื่นถามขึ้นมา ข้าก็จะบอกว่าเจ้าเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของข้าแล้ว”
สวี่ชีอันยกกำปั้นขึ้นมาคำนับนาง “เจ้าชนะแล้ว”
เขาเดินไปด้วยพูดไปด้วย หลังจากผ่านการส่งตัวและเฉือนตัดมากกว่าสิบครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากพื้นที่นี้ เบื้องหน้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
“นี่มันเป็นทางอะไรอีก?” สวี่ชีอันหันหน้าไปถามด้านข้าง
จิ้งจอกเก้าหางวางคางไว้บนไหล่ของเขาพอดีจึงเกือบถูกเขาจุมพิต นางเด้งตัวขึ้นมาจากแผ่นหลังของเขาพลางกลอกตากล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้ารู้เรื่องเทพปีศาจไม่มากนัก ตามกฎเดิม เจ้าไปดูสิ”
สวี่ชีอันพยักหน้า หายใจเข้าลึกๆ อยู่ที่เดิม ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในกลุ่มหมอกหนา
เขาเดินไปได้ไม่ไกล หลังจากเข้าสู่บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาแล้วก็หยุดทันที หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
ในขณะที่จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขา สวี่ชีอันก็ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนที่แฝงไปด้วยความหวาดผวา
“เกิดอะไรขึ้น?”
นางตะโกนมาจากที่ไกลๆ
“สบายดีมาก!”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
‘สบายดีมาก? สบายดีตรงไหนกัน’…นางปีศาจผมขาวขมวดคิ้วรอคำอธิบายจากเขา
สวี่ชีอันกล่าวว่า “ที่นี่คือขอบเขตแดนแห่งความฝัน ความฝันที่ทำให้คนลุ่มหลงจนไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ ช่างงดงามแต่ก็น่ากลัวมากเช่นกัน หากข้าไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ข้าอาจจะติดอยู่ในความฝันอันสวยงาม ไม่มีทางหลุดพ้นจนกระทั่งตายไป”
“เช่นนั้นเจ้าเห็นอะไร?” จิ้งจอกเก้าหางถาม
“เมื่อครู่เห็นร่างของเจ้าไม่ใช่รึ ความฝันแรกของข้าก็คือการนอนกับเจ้าที่นี่ อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ใช่คนประเภทบีบบังคับจิตใจคนอื่น เป็นเจ้าที่ต้องการก่อน เจ้ายังพูดด้วยว่า ข้าเห็นร่างของเจ้าแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับข้า”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านและทอดถอนใจกล่าวอีกว่า “เจ้าในความฝันช่างเชื่อฟังดีจริงๆ”
…นางปีศาจผมขาวยิ้มเยาะ “ยังมีอีกหรือไม่”
นางรู้ว่าสิ่งที่สวี่ชีอันพูดกับนางเป็นความสามารถในการอธิบายความฝันอย่างใจเย็นและไม่ลำเอียง
แต่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกโกรธมาก!
อะไรคือการทำอะไรไม่ได้ นอกจากมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง? ด้วยนิสัยของข้าแล้ว ต้องฆ่าเจ้าให้ตายด้วยการลงดาบครั้งเดียว
ช่างเป็นความฝันอันแสนหวานจริงๆ!
“หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองก็พบกับฮวงและฆ่ามันได้สำเร็จ ช่วยท่านโหราจารย์ออกมาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็กลับจิ่วโจวด้วยกัน แล้วพลังเทพของข้าก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ข้าบำเพ็ญจนเป็นเทพยุทธ์ไร้พ่าย เอาชนะเทพพ่อมด เทพกู่และพระพุทธเจ้าได้ จิ่วโจวสงบสุข เพราะผลงานของข้ายิ่งใหญ่มาก ฮว๋ายชิ่งก็รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากแต่งงานกับข้าจึงจะสามารถตอบแทนที่ข้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อราชสำนัก เพื่อประชาชนของต้าฟ่ง ต่อมาข้าก็สร้างพระราชวังหลังหนึ่งที่เมืองหลวง ชื่อที่ตั้งก็คือ พระราชวังไป๋ฮวา เหล่าเพื่อนสนิทต่างเพศของข้าล้วนอยู่ที่นั่นทั้งหมดและยังอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี พวกนางสละสิทธิ์การนอนกับข้าอย่างเป็นมิตร และยังขอร้องให้ข้าพระราชทานพระเมตตาอย่างทั่วถึง อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ทุกคนในฝันล้วนเชื่อฟังเป็นอย่างดี…”
‘ไร้สาระ เพราะนี่คือความฝันอันงดงามของเจ้าอย่างไรล่ะ!’ สมองของจิ้งจอกเก้าหางเต็มไปด้วยคำตำหนิ แต่ฟังไปฟังมา จู่ๆ นางก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ นางจึงกล่าวด้วยความโกรธว่า “ข้าล่ะ? นี่เจ้าลืมข้าไปแล้วรึ?”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “ไม่ลืม เจ้าและหางทั้งเก้าอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ รอคอยข้าด้วยความลุ่มร้อนใจ ข้ามักจะมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าเป็นระยะๆ วันปีต่างๆ ผ่านไปอย่างสงบและมีความสุข จุ๊ๆ…”
จิ้งจอกเก้าหางมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่งและระเบิดเสียงหัวเราะ “เหอะๆ”
สวี่ชีอันยักไหล่ “แต่ต่อมาข้าก็พบว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าก็ดี ฝูเซียงก็ดี หรือลั่วอวี้เหิง ฮว๋ายชิ่ง หลินอัน และมู่หนานจือ พวกนางล้วนใช่ย่อย หากจัดให้พวกนางอยู่ด้วยกันก็มีแต่จะทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวันจนถึงขั้นดึงผมจิกหน้า ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล สุดท้ายข้าก็หลุดพ้นจากแดนแห่งความฝัน”
จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวในฉับพลันว่า “เจ้าหมายความว่า วิธีการหลุดพ้นจากความฝันคือบอกใบ้ตัวเองในใจอยู่ตลอดเวลาโดยเน้นว่าสิ่งที่เจ้าเห็นในความฝันนั้นไม่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่?”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ “เป็นเช่นนั้น!”
ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดว่า “เข้ามาเถอะ” จู่ๆ ก็เห็นสีหน้าของจิ้งจอกเก้าหางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางชี้ไปที่ด้านหลังตนเองและกล่าวว่า “สิ่งต่างๆ ในความฝันจะปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมหรือไม่?”
สวี่ชีอันตกตะลึง “หมายความว่าอะไร?”
จิ้งจอกเก้าหางตะโกนสุดเสียง “ฮวงอยู่ด้านหลังเจ้า!”
………………………………………………………….