ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 822 บุญกุศล
บทที่ 822 บุญกุศล
หลังจากที่ยาโลหิตเข้าปาก พลังปราณถูกกลั่นหลอมครู่เดียวก็กลายเป็นกระแสความร้อนพุ่งลงท้องทันที
ฮว๋ายชิ่งได้สัมผัสความเจ็บปวดในยามนั้นของสวี่ชีอัน นางรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองกลืนเข้าไปไม่ใช่ยาโลหิต แต่เป็นลาวาเต็มปาก อุณหภูมิร้อนสูงระเบิดในลำคอ ‘ละลาย’ ลำคอของนาง ทำลายเส้นเสียงของนาง ทำให้นางสูญเสียความสามารถในการพูด
จากนั้น เผาไหม้เลียบตามหลอดอาหารลงสู่กระเพาะ
ในระหว่างขั้นตอนนี้ พลังยาโลหิตนี้มีจำนวนเล็กน้อยหลอมรวมเข้าสู่กระแสเลือด เลียบตามหลอดเลือด สูบฉีดสู่แขนขาและกระดูก ฉีกกายเนื้อจากภายใน
ความเจ็บปวดเช่นนี้เป็นพันเท่าร้อยเท่าของทัณฑ์เลาะกระดูก ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับหลอมวิญญาณจะตายทันทีในความเจ็บปวดเช่นนี้
จิตสำนึกของฮว๋ายชิ่งเริ่มสับสน กลายเป็นเลอะเลือน จมอยู่ในความเจ็บปวดอันสาหัส
เลื่อนสู่ระดับเหนือมนุษย์ด้วยยาโลหิต ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอันน่ากลัวที่สุด พอที่จะฆ่าขั้นสี่ผู้ใดก็ตามได้ง่ายๆ ใช้เล่ห์เหลี่ยมเลื่อนสู่ระดับเหนือมนุษย์ นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย
เรื่องพวกนี้ สวี่ชีอันบอกฮว๋ายชิ่งล่วงหน้าแล้ว
นางเตรียมใจไว้แล้ว แต่นางไม่นึกว่าความเจ็บปวดจะน่าหวาดผวาและน่าหวาดกลัวเช่นนี้
‘สุดจะทนได้ สุดจะทนได้จริงๆ’…จิตเดิมของฮว๋ายชิ่งดับสลายอย่างรวดเร็ว แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเกล็ดหิมะที่ละลายสู่น้ำ
ในจิตสำนึกเดียวที่มีอยู่ของนางเหลือเพียงความหวาดกลัว
ความหวาดกลัวที่มีต่อความตาย ความหวาดกลัวที่มีต่อความเจ็บปวด ราวกับเด็กที่เดินกลางหิมะน้ำแข็ง โหยหาแสงไฟที่ปรากฏข้างหน้า
“รักษาจิตเดิมเป็นหนึ่ง อดทนไว้!”
ในจิตสำนึกพร่ามัวของนาง ได้ยินข้างหูแว่วเสียงต่ำทุ้มอ่อนโยน
เด็กหญิงตัวเล็กๆ กลางหิมะน้ำแข็งมองเห็นแสงสว่างที่นางโหยหา
ฮว๋ายชิ่งได้สติขึ้นมาทันที เพิ่งพบว่าตนเองกลิ้งลงมาจากพระแท่นบรรทมไม่รู้ตั้งแต่ยามใด เลือดท่วมตัวนอนอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน
สติสัมปชัญญะของนางรักษาไว้ได้ไม่นาน ถูกความเจ็บปวดราวกับระลอกคลื่นทะเลปกคลุม
“เจ้า ยามนั้นเจ้าผ่านมาได้อย่างไร…” ฮว๋ายชิ่งหายใจแผ่วเบาราวกับใยแมงมุม จิตสำนึกพร่ามัว พูดเสียงขาดๆ หายๆ
ยามนี้นางส่องกระจกไม่ได้ มิฉะนั้นต้องตกใจกับรูปโฉมอัปลักษณ์ของตนแน่นอน
เลือดเนื้อตรงแก้มของฮว๋ายชิ่งแตกร้าว มีเลือดไหลออกมา ราวกับสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกจากร่างกาย
เรือนร่างของนางก็เช่นเดียวกัน
“สำหรับข้าในยามนั้น ทนผ่านไปไม่ได้ ก็คือตัดหัวทั้งตระกูล” สวี่ชีอันพูดเสียงเบา “ข้าไม่มีทางเลือก ฮว๋ายชิ่ง เจ้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ทนผ่านไปไม่ได้ เจ้าก็มีแต่ต้องตาย”
ฮว๋ายชิ่งไม่พูดอีก พยายามต่อต้านการแตกสลายของจิตเดิม
ยามนี้ มังกรทองตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของนาง เกาะพันราวกับงูเหลือม ‘รัด’ จิตเดิมที่แตกสลายของนางไว้ ยับยั้งไม่ให้มันดับสูญ
เวลาแต่ละนาทีและวินาทีผ่านไป สวี่ชีอันปกป้องข้างกายนางเงียบๆ กางอาณาเขต ปกคลุมเสียงกรีดร้องของฮว๋ายชิ่งและกลิ่นอายยาโลหิต ไม่รั่วไหลไปแม้แต่น้อย
จนกระทั่งควันไม้จันทน์ในสัตว์ทองคำไม่เพิ่มขึ้นอีก สถานการณ์ของฮว๋ายชิ่งถึงค่อยๆ มั่นคง
ร่างกายของนางสลัดคราบความเป็นปุถุชน ทุกๆ เซลล์เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเปี่ยมล้น เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถอดร่างเกิดใหม่ได้ ย้ายภูเขาถมทะเลได้
ยามนี้จิ่วโจว จอมยุทธ์หญิงเหนือมนุษย์คนแรกถือกำเนิดแล้ว
มังกรทองสลายไป สวี่ชีอันก็เลิกกางอาณาเขต จับมือที่เปื้อนเลือดของฮว๋ายชิ่งไว้ ถ่ายทอดพลังปราณ
“ข้าทำสำเร็จแล้ว?”
ฮว๋ายชิ่งลืมตา พลังปราณคมกริบสองสายเจาะทะลุหลังคาตำหนัก นี่เพราะนางยังยากที่จะควบคุมพลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาท ขออวยพรแด่ฝ่าบาท!”
สวี่ชีอันคำนับติดต่อกัน ใบหน้าเจือรอยยิ้ม
ฮว๋ายชิ่งพ่นลมหายใจเบาๆ นั่งขัดสมาธิลุกขึ้น โบกมือคว้าผ้าเช็ดเหงื่อที่สะอาด เช็ดแก้มสะคราญปานบุปผาอย่างละเอียด
หลังจากพยายามเช็ดให้สะอาด นางพูดเสียงอ่อนโยน
“ระหว่างพวกเราพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ อะไรกัน” สวี่ชีอันยิ้มโบกมือ คิดในใจว่า เจ้าเป็นพี่สาวของภรรยาข้านะ
ฮว๋ายชิ่งพูดเสียงเบา
“ในเมื่อไม่ต้องพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ เช่นนั้นอยู่กันส่วนตัวฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ต้องพูดคำว่า ‘ฝ่าบาท’ พร่ำเพรื่อ”
แม้นางก็พูดคำว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’ พร่ำเพรื่อเช่นกัน แต่เมื่ออารมณ์ดี เมื่อไม่มีคนนอก ยังเรียกว่าหนิงเยี่ยน
นางอยากให้ข้าเรียกชื่อเดิมของนาง หรือฮว๋ายชิ่ง? สวี่ชีอันพูดว่า
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
“…” ฮว๋ายชิ่งไม่อยากสนใจเขา พูดเสียงเรียบ
“หลี่เมี่ยวเจินเลื่อนสู่ขั้นสามเมื่อใด”
สวี่ชีอันตอบ
“คืนนี้เอง นางจะรวบรวมแสงแห่งบุญกุศลที่แท่นแปดทิศหอดูดาว ทะลวงขั้นสามในครั้งเดียว”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า ถามต่อ
“มีความมั่นใจกี่ส่วน”
“ตามความหมายของนักบวชเต๋าจินเหลียน เมี่ยวเจินท่องยุทธภพสามปี พลังบุญกุศลที่รวบรวมได้ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เหตุต้นผลกรรมสะท้อนกลับที่ตามมา ก็มากมายเช่นกัน” สวี่ชีอันพูด
“คืนนี้ต้องไปเฝ้าดูหรือไม่”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
คุยเรื่องนี้จบ ฮว๋ายชิ่งก็เลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว สวี่ชีอันมองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง เริ่มอยากจะออกไป
นัดกับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไว้แล้ว ยามบ่ายฟังเพลงที่หอคณิกา หลังจากนั้นยังต้องปักดอกไม้แต่งหยก ต้องเสร็จก่อนพลบค่ำ เพราะกลางคืนต้องสั่งสอนหลินอัน
จริงสิ ตื่นเช้ามา เขายังต้องหาเวลาให้อาหารฝูเซียง
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ไม่มีเวลาเพียงพอเลย…สวี่ชีอันปลงอนิจจังจากใจจริง พูดว่า
“ฝ่าบาท ข้าขอตัวก่อน”
ฮว๋ายชิ่งเม้มปาก ผิดหวังอยู่บ้าง แต่ยังพยักหน้าตอบรับ ซ้ำยังไม่พอใจอยู่บ้าง พูดเสียงเรียบ
“ฆ้องเงินสวี่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอย่างสบายใจไม่น้อย”
“ไม่มีเวลาเพียงพอเลย หลินอันเด็กคนนั้นชอบก่อกวน แทบอยากจะตัวติดกับข้าทุกวัน”
สวี่ชีอันเพิ่งพูดจบ ก็เห็นฮว๋ายชิ่งหน้าขรึม พูดอย่างไร้อารมณ์
“ไม่ส่ง!”
เขาแปลงร่างเป็นเงามืดที่หลอมเหลวทันที หายไปจากตำหนักบรรทม
…
กลางคืน
ดวงจันทร์อันโดดเดี่ยวเหน็บหนาวลอยกลางฟ้า ม่านราตรีประดับดวงดาวพร่างพราย เมืองหลวงที่พลุกพล่านในยามกลางวันเข้าสู่ห้วงนิทรา ที่ไกลแว่วเสียงนกกลางคืนบางครั้ง
แท่นแปดทิศหอดูดาว กลุ่มคนกินเผือกมารวมตัวกัน
ซุนเสวียนจีและผู้พิทักษ์หยวนที่ติดตามข้างกายเขา หยางเชียนฮ่วนที่ยืนมือไพล่หลังหันหลังให้ทุกคน ฉู่หยวนเจิ่นนักกระบี่ชุดเขียวที่มีผมสีขาวตรงหน้าผาก ฮว๋ายชิ่งที่กลับมาสวมชุดองค์หญิงสีขาวปักดอกเหมย เหิงหย่วนที่มีความทุกข์ความแค้นอันใหญ่หลวง อาซูหลัวที่ไม่กลัววิชาอ่านใจ เหมียวโหย่วฟางลูกศิษย์ไม่เอาถ่าน หลี่หลิงซู่ที่ผอมลงแล้วนึกเสียใจและเกลียดคนแซ่สวี่จนตรอมใจ…
แน่นอนว่ายังมีบุคคลสำคัญในเหตุการณ์นี้ด้วย ได้แก่ หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียน
สวี่ชีอันนั่งข้างโต๊ะ มองบุตรคนสุดท้องของราชันอสูร
“เมื่อเมี่ยวเจินเลื่อนขั้นสำเร็จ พวกเราก็โจมตีอรัญตา”
อาซูหลัวสูดหายใจลึก “ดี! ข้ารอวันนี้มานานแล้ว ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด ก็รอมาโดยตลอด ตั้งแต่ถอนตะปูตอกวิญญาณให้เจ้า ก็รอเจ้าพูดประโยคนี้”
สำนักพุทธกับเผ่าอสูรมีความแค้น ‘ฆ่าล้างตระกูล’ มีความแค้นที่ฆ่าพ่อของเขา
ไม่มีผู้ใดอยากเหยียบย่ำอรัญตามากกว่าเขา
อาซูหลัวยกทัพปราบระดับเหนือมนุษย์อวิ๋นโจวให้ต้าฟ่ง แต่ไม่ใช่เพื่อแคว้นเพื่อราษฎร์ ชาวที่ราบลุ่มภาคกลางและราชสำนักต้าฟ่งเกี่ยวอะไรกับเขา
เขากำลังเดิมพัน!
เดิมพันว่าสวี่ชีอันจะยิ่งใหญ่ เดิมพันว่าต้าฟ่งจะชนะ จากนั้นตอบโต้สำนักพุทธแดนประจิม
เขาเดิมพันถูกแล้ว
เหมียวโหย่วฟางหาว ถามว่า
“เหตุใดต้องเลือกเลื่อนขั้นกลางคืน”
หลี่หลิงซู่ที่มีขอบตาคล้ำสองข้างพูดเสียงขรึม “กลางคืนดีนะ กลางคืนดีมาก”
ในที่สุดก็ได้พักผ่อนสักคืน
นักบวชเต๋าจินเหลียนอธิบายว่า
“กลางวันกับกลางคืนไม่แตกต่างกัน เพียงแต่สำหรับอาตมา กลางคืนจะมีชีวิตชีวากว่าหน่อย”
กลางคืนมีชีวิตชีวากว่า? นักบวชเต๋าเจ้าแปลงร่างเป็นแมวบ่อยเกินไปใช่หรือไม่ กิจวัตรการทำงานและการพักผ่อนเป็น ‘ร่างแมว’ หมดแล้ว? สวี่ชีอันมองนักบวชเต๋าจินเหลียนแวบหนึ่ง สีหน้าสงสัย
สังเกตเห็นสายตาจ้องมองของสวี่ชีอัน นักบวชเต๋าจินเหลียนกระแอมเล็กน้อย มองหลี่หลิงซู่ เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาและความสนใจ พูดอย่างแปลกใจ
“เจ้าบำเพ็ญถึงกระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้ว?”
‘เจ้าถูกบังคับให้ฝึกวิทยายุทธ์ถึงระดับขั้นหกแล้ว?’ ทุกคนสงสารในใจ
หลี่หลิงซู่ไม่สนใจทุกคน เพียงเบือนหน้าหนีอย่างทุกข์ทรมาน
เหมียวโหย่วฟางพูดอย่างดีใจ
“พี่หลี่ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ด้านวิทยายุทธ์บำเพ็ญคู่ ผู้โดดเด่นรองจากระดับเหนือมนุษย์”
‘คนระยำ นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี’…ในใจหลี่หลิงซู่ไม่ยินดีแม้แต่น้อย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า
“นี่ยังต้องขอบคุณการเร่งเร้าของสวี่หนิงเยี่ยน”
ยามนั้นเขาสร้างหมู่บ้าน ดึงผู้อพยพมาเป็นพวก ก็อยู่ระดับขั้นแปดแล้ว สิ่งที่ระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดฝึกฝนคือจิตเดิม โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเทพบุตรนิกายสวรรค์ จากนั้นก็ค้างอยู่ระดับหลอมวิญญาณ ยากที่จะทะลวงถึงขั้นหก
“ไม่ต้องขอบคุณ พี่น้องกัน เป็นเรื่องสมควร” สวี่ชีอันมีสีหน้าจริงใจ
“…” หลี่หลิงซู่เบือนหน้าหนีอีกครั้ง
ยามนี้ อาซูหลัวมองผู้พิทักษ์หยวน จุ๊ปากพูดว่า
“เจ้ามีชีวิตอยู่ หาเจอหรือไม่ว่าผู้ใดประกาศให้รางวัล ข้าคิดว่าเป็นจักรพรรดิ”
ฮว๋ายชิ่งไม่เปลี่ยนสีหน้า พูดเสียงเรียบ
“เรากลับคิดว่าเป็นเจ้า!”
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า
“ข้าคิดว่าไม่ใช่ฝ่าบาท ไม่ใช่อาซูหลัวด้วย เป็นน้องสาวของสวี่หนิงเยี่ยน เด็กคนนั้นภายนอกดูน่ารักอ่อนโยน ที่จริงใจดำมากนัก อีกทั้งคืนนั้น คนที่เสียหน้าที่สุดก็คือนาง”
สวี่ชีอันโต้แย้งทันที
“เหตุใดเจ้าไม่พูดว่าเป็นเจ้า ยามนั้นที่เจี้ยนโจว เจ้าเสียหน้ากว่านางมากนัก”
ถูกเปิดเผยรอยแผลเป็น ความแค้นครั้งเก่าและครั้งใหม่ของหลี่หลิงซู่ปะทุขึ้นพร้อมกัน
“โจรสุนัข ข้าอดทนกับเจ้ามานานแล้ว”
หยางเชียนฮ่วนพูดคล้อยตามทันที
“โจรสุนัข! ผู้แซ่หยางก็อดทนกับเจ้ามานานแล้ว”
เหมียวโหย่วฟางรีบเดินออกมาไกล่เกลี่ย
“พอแล้วๆ ไม่ต้องเถียงกัน ข้าเป็นคนประกาศให้รางวัลเองล่ะ ข้าให้รางวัลหนึ่งหมื่นเจ็ดพันตำลึงนำจับผู้พิทักษ์หยวน”
ทุกคนมองเขาแวบหนึ่ง
“เจ้าไม่คู่ควร!”
เหมียวโหย่วฟาง “…”
หลี่เมี่ยวเจินลืมตาพอดี ช่วยเหมียวโหย่วฟางจากความเก้อเขิน “นักบวชเต๋า ข้าพร้อมแล้ว”
นางปรับสถานะในทุกด้านถึงจุดสูงสุดแล้ว
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าจะตรวจสอบให้เจ้า แต่อย่างไรเสียสิ่งที่ช่วยได้มีจำกัด จะสำเร็จได้หรือไม่ อาศัยตัวเจ้าเอง”
จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง กลางวันเจ้าคนนี้พิทักษ์ฮว๋ายชิ่งแล้ว
ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของสวี่ไป๋เผียวมากนัก พูดเสียงเบา
“ข้าจะดูแลเจ้า วางใจ”
ฮว๋ายชิ่งฮึดฮัดในใจ
หลี่เมี่ยวเจินหลับตา โคจรพลังภายในนิกายปฐพีเพื่อรวบรวมบุญกุศล
เป็นคนก็มีกรรมกับบุญกุศล พลังภายในนิกายปฐพีเพียงรวบรวมพลังบุญกุศลของคนคนหนึ่ง เปลี่ยนเป็นรูปธรรม เปลี่ยนให้ใช้ได้จริง
หลี่เมี่ยวเจินลงเขาท่องเที่ยวสามปี สร้างวีรกรรมกล้าหาญ นางรวบรวมบุญกุศลได้มากเท่าใดกันแน่
ไม่มีคนรู้
แม้เป็นนักบวชเต๋าจินเหลียน ก็คาดเดาอย่างแม่นยำได้ยากมาก
ประมาณเจ็ดนาทีต่อมา ทุกคนตรงแท่นแปดทิศเห็นที่ไกลมืดมิด มีแสงสีทองประปรายลอยมาดุจหิ่งห้อยฝูงใหญ่
บริสุทธิ์ อ่อนโยน และศักดิ์สิทธิ์ ราวกับพลังที่ดีงามที่สุดในโลกนี้
“สวยมาก…”
ฮว๋ายชิ่งพูดเสียงเบา
เงาร่างเสมือนจริง อยู่ห่างจากความเป็นจริงเพียงก้าวเดียว ลอยเหนือศีรษะของหลี่เมี่ยวเจิน
นี่คือเทพเจ้าหยินของนาง
เทพเจ้าหยินนั่งขัดสมาธิหลับตา เช่นเดียวกับกายเนื้อ
‘หิ่งห้อย’ ที่ล่องลอยทั่วท้องฟ้าเข้ามาปกคลุมผิวกายของหลี่เมี่ยวเจิน ปกคลุมเส้นผมของนาง ปกคลุมทั้งตัว จากนั้นค่อยๆ หลอมเข้าสู่ในร่าง
ชั่วพริบตา เทพเจ้าหยินของหลี่เมี่ยวเจินก็ถูกพลังบุญกุศลอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ปกคลุม
“นึกไม่ถึงเลย เพียงสามปี นางรวบรวมบุญกุศลที่อาตมาใช้เวลาสามสิบปีถึงสะสมได้”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้าพูดปลงอนิจจัง
“คนธรรมดาทำความดี กระทำตามความสามารถ ถึงขนาดขึ้นอยู่กับอารมณ์ ดังนั้นแม้เป็นคนดี จำนวนครั้งในการสร้างกุศลก็มีจำกัด หลานเหลียนสร้างวีรกรรมกล้าหาญไม่หวังผลตอบแทน กระตือรือร้นทำความดีโดยไม่ชักช้า จิตใจอันบริสุทธิ์นี้ หาได้ยากในโลก”
ดอกหลานเหลียน อาอา…ในหัวสวี่ชีอันดังก้องด้วยทำนองเพลงอันคุ้นเคย ในใจแขวะอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ นักบวชเต๋า ขอร้องเจ้าอย่าเรียกนางว่าหลานเหลียนอีก
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป พลังบุญกุศลที่มาจากขอบฟ้าก็น้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่ลอยมาอีก
ยามนี้ เทพเจ้าหยินของหลี่เมี่ยวเจินก่อตัวกลายเป็นร่างจริง เปล่งแสงสีทองอันศักดิ์สิทธิ์
เทพเจ้าหยางสำเร็จแล้ว
“นี่คือพลังบุญกุศลสร้างเทพเจ้าหยาง?” อาซูหลัวเห็นช่องทางบางอย่าง
“ไม่เลว!” นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า
“ร่างทองที่พลังบุญกุศลสร้างขึ้น จะสำแดงวรยุทธ์บุญกุศลของนิกายปฐพีได้ถึงที่สุด”
เขาเผยสีหน้ากังวลทันที
“พลังบุญกุศลของเมี่ยวเจิน มากเกินพอที่จะก้าวสู่ขั้นสาม แต่เหตุต้นผลกรรมสะท้อนกลับที่สอดคล้องกัน ก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน”
ที่เรียกว่า ‘บุญกุศล’ สร้างความผาสุกฝ่ายหนึ่งนับเป็นบุญกุศล
โดยทั่วไปแล้ว การช่วยเหลือผู้อื่นกับการสร้างกุศลรวบรวมบุญกุศลได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการช่วยเหลือผู้อื่นกับการสร้างกุศลจะต้องเป็นบุญกุศลเสมอไป
ตัวอย่างเช่น มหาโจรยุทธภพผู้ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาถูกทางการไล่ล่า นอนหายใจรวยรินข้างถนน คนเดินถนนผู้สัญจรไปมาช่วยเขาไว้
คนใจดีคนนั้นตั้งใจดูแล ช่วยชีวิตมหาโจรยุทธภพ ฝ่ายหลังรอดพ้นจากความตาย หันหน้าก็ฆ่าคนตามอำเภอใจ ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์สิ้นชีวิต
เดิมทีมหาโจรยุทธภพควรตาย แต่เพราะการกระทำด้วยเจตนาดีของคนเดินถนน จึงรอดพ้นความตาย คนเดินถนนคนนั้นทำความดี เขารวบรวมบุญกุศลที่ช่วยชีวิตผู้คนได้เช่นกัน แต่เหตุต้นผลกรรมที่ปนเปื้อนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าของเศษเสี้ยวบุญกุศลนี้ ถึงขนาดมากกว่านัก
ตัวอย่างเช่นเดียวกัน ถ้าผู้ที่คนเดินถนนช่วยไว้เป็นเพียงโจรลักเล็กขโมยน้อย เพราะกรรมที่โจรสร้างขึ้นน้อยมาก หลังจากบุญกุศลหักล้างกับกรรมยังมีเหลือ เช่นนั้นคนเดินถนนก็ได้บุญกุศล
ดังนั้นพูดว่านิกายปฐพีจะมีวิกฤติที่เหตุต้นผลกรรมสะท้อนกลับ แต่ขอเพียงสะสมบุญกุศลอย่างระมัดระวัง ไม่ช่วยคนชั่ว ให้บุญกุศลอยู่ในสภาวะ ‘ได้กำไร’ เสมอ ก็จะยับยั้งอันตรายที่จะตกสู่ทางมารได้
ยามนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนมอมเมาจักรพรรดิบำเพ็ญธรรม ส่งผลให้หลายทศวรรษต่อมาการปกครองบ้านเมืองพังทลาย ราษฎรลำบากยากแค้น พลังเหตุต้นผลกรรมส่วนนี้ แปลงร่างเป็นส่วนประกอบเฮยเหลียนโดยตรง ทำให้นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่มีโอกาสแก้ไข
แม้หลี่เมี่ยวเจินสร้างวีรกรรมกล้าหาญหลายปี ช่วยชีวิตคนได้นับไม่ถ้วน แต่นางก็เคยช่วยเหลือคนผิดเช่นกัน กรรมพวกนี้ เมื่อไม่บำเพ็ญบุญกุศล ย่อมไม่มีปัญหา
แต่เมื่อบำเพ็ญบุญกุศลนิกายปฐพี กรรมก็จะสะท้อนกลับ
ในหลักการของนิกายปฐพี นี่ก็คือ ‘เหตุต้นผลกรรมสะท้อนกลับ’
เหมียวโหย่วฟางชี้หว่างคิ้วของหลี่เมี่ยวเจิน อุทานว่า
“เปลี่ยน เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว”
ตรงหว่างคิ้วของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินปรากฏจุดด่างดำที่มืดมิดดุจหมึกขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว
………………………………………………………………..