ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 804 สวี่เป็นล่อชนิดใด? (2)
บทที่ 804 สวี่เป็นล่อชนิดใด? (2)
เหนือเหวลึก เหนือป่าบุพกาล
หลงถูมองไปรอบๆ สีหน้าจริงจังชัดแจ่มอยู่บนหน้าตาหยาบกร้านของเขาขณะพูดจาน้ำเสียงหนักแน่น
“พลังเทพเจ้ากู่ในเหวลึกเบาบางลงอย่างน้อยห้าในสิบส่วน”
เขาคำนวณตาม ‘พลังปราณโลหิต’ ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งคงเป็นเช่นเดียวกับพลังเทพเจ้ากู่อีกหกประเภทที่หลงถูมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
“จริงๆ แล้วเป็นประมาณห้าในสิบส่วนต่างหาก”
ฉุนเยียนและหัวหน้าคนอื่นๆ ตอบกลับตามสิ่งที่พวกเขาสังเกตเห็น
ผลลัพธ์นี้ทำให้บรรดาหัวหน้าทั้งหลายในขณะนี้ดูไม่ดีอย่างยิ่งและออกจะหวาดกลัวเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าในครั้งนี้จะมีอสูรกู่เหนือมนุษย์อยู่มากกว่าหนึ่งตัว และมีความเป็นไปได้ว่าจะควบคุมไสยศาสตร์กู่มากกว่าสองชนิดได้ในเวลาเดียวกัน”
โหยวซือในชุดเสื้อคลุมสีดำ ผู้มีศพเดินได้เจ็ดศพอยู่ข้างหลังกระซิบบอก
สำหรับปรมาจารย์กู่ การรองรับกู่เจ้าชะตาสองชนิดในเวลาเดียวกันถือเป็นพฤติกรรมเสี่ยงตาย มีเพียงอัจฉริยะไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้
ไม่มีอัจฉริยะคนใดสามารถรองรับกู่เจ้าชะตาสามชนิดพร้อมกันได้ ยกเว้นสวี่ชีอัน
แต่สาระสำคัญคือ อสูรกู่ที่บ้าคลั่งมีความน่าจะเป็นว่าจะรองรับไสยศาสตร์กู่ชนิดต่างๆ ได้มากกว่าปรมาจารย์กู่
ในอดีต อสูรกู่ที่คลานออกมาจากเหวลึก โดยทั่วไปแล้วสามารถควบคุมไสยศาสตร์กู่ได้มากกว่าหนึ่งชนิดและด้วยเหตุนี้จึงทำให้หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่ต้องสู้จนตัวตาย
ดวงตาที่สดใสและนุ่มนวลของหลวนอวี้กวาดไปรอบๆ อย่างระมัดระวังและแนะนำว่า
“แม่ย่ายังไม่มา ทำไมไม่กลับไปปรึกษาแม่ย่าก่อน”
ลมอุ่นพัดกรรโชก แต่นางกลับรู้สึกหนาว กระโปรงผ้าตาข่ายบางๆ บนตัวไม่อาจสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้นางได้
นางสวมชุดผ้าตาข่ายสีชมพู สวมชุดชั้นในเก๋ไก๋ปิดหน้าอก สวมกางเกงขาสั้นที่ทำจากหนังสัตว์และผ้าไหม
เครื่องแต่งกายเช่นนี้จับคู่กับร่างกายเย้ายวนย่อมดึงเสน่ห์ของฉิงกู่ออกมาได้เต็มที่ แต่ตอนนี้ หลวนอวี้ยังแทบทนไม่ได้ ต้องห่อตัวเองให้มิดชิดและสวมอาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสุดเพื่อปกป้องร่างกายของนาง
พลังของเทพเจ้ากู่ทั้งเจ็ดชนิดลดลงเกือบครึ่งพร้อมกัน แสดงว่ามีอสูรกู่ถือกำเนิดขึ้นในเหวลึกมากกว่าหนึ่งตัว
ในหมู่หัวหน้าทั้งหลาย ความสามารถในการปกป้องตัวเองของหลวนอวี้นั้นย่ำแย่ที่สุด หากนางเผชิญหน้ากับอสูรกู่ที่มีความสามารถระดับเทียนกู่ แล้วถูกคู่ต่อสู้ลอบโจมตีนางย่อมต้องตายอย่างแน่นอน
ป๋าจี้ หัวหน้าเผ่าตู๋กู่ส่ายหัวเล็กน้อย “เจ้าไม่ได้สังเกตที่แม่ย่าพูดไว้หรือว่า อีกประมาณครึ่งปีจะมีอสูรกู่เหนือมนุษย์ปรากฏตัวขึ้น แต่นี่มันเกิดก่อนเวลา คำทำนายของแม่ย่าไม่ถูกต้อง”
ฉุนเยียนปรมาจารย์ซินกู่ครุ่นคิดพลางพูดว่า
“เจ้าหมายความว่า ในเหวลึกนี้ต้องมีอสูรกู่เหนือมนุษย์อย่างน้อยหนึ่งตัวที่มีความสามารถระดับเทียนกู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อเรามาถึงเหวลึก อีกฝ่ายก็น่าจะรู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่”
หลงถูพูดเสียงแผ่วเบา
“ไม่อาจล่าช้าได้ ถ้าอสูรกู่เหนือมนุษย์ออกจากเหวลึกนี้เมื่อใด สิ่งมีชีวิตที่อยู่รายรอบต้องประสบภัยพิบัติ วิธีที่ดีที่สุดคือฆ่ามันตั้งแต่แรกเกิด ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่รู้จำนวนและชนิดของอสูรกู่เลยด้วยซ้ำ”
“รีบกลับไปบอกแม่ย่าสิ มัวพูดคุยอะไรกันอยู่? ลงไปหาพวกเขาสักพัก”
เมื่อเห็นว่าทุกคนตัดสินใจแล้ว หลวนอวี้ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยก็ทำได้เพียงติดตามและเชื่อฟังคนส่วนใหญ่เท่านั้น นางเม้มริมฝีปากแดงฉ่ำของนางและพูดจาน่าสงสาร
“ร่างเงา อย่าทิ้งระยะห่างจากข้าเกินสามจั้ง”
เผ่าตู๋กู่ ซินกู่ ลี่กู่และซือกู่ล้วนมีวิธีเอาตัวรอด แต่ฉิงกู่ไม่มี และสี่พวกแรกสามารถปกป้องได้แค่ตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ผู้อื่น มีเพียงอั้นกู่เท่านั้นที่สามารถปกป้องนางได้
“อืม!”
ร่างเงาไม่ออกห่างจากโฉมงามและพยักหน้า
หลวนอวี้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยและถอนหายใจเบาๆ คงจะดีไม่น้อยถ้ามีเผ่าพันธุ์กู่ผู้มีกำลังรบขั้นสองมาด้วย
ปัจจุบันมีเพียงแม่ย่าแห่งเทียนกู่เท่านั้นที่อยู่ขั้นสอง แต่เทียนกู่ต่อสู้ไม่เก่ง แม้ว่าเทียนกู่จะมีประโยชน์มากสำหรับเผ่าพันธุ์กู่ ในการสังเกตปรากฏการณ์ท้องฟ้าเพื่อกำหนดเงื่อนไขสุริยะและสังเกตการณ์อนาคต แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในแดนเหนือก็จำเป็นต้องมีผู้แข็งแกร่งที่มีกำลังรบทรงพลังที่สุดไร้ผู้ใดเทียบมากำราบทุกสิ่งให้ราบคาบ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เล่นที่ทรงพลังที่สุดในสนามคือหลงถูจากเผ่าลี่กู่ เขาอยู่ห่างจากขั้นสองเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แต่หลังจากเห็นกำลังรบของสวี่ชีอันแล้ว หลวนอวี้ก็นึกดูแคลนหลงถู
น่าเสียดายที่สกุลสวี่มาจากที่ราบลุ่มภาคกลางและเขาไม่สามารถดับกระหายให้นางจากระยะไกลได้
ทุกคนเหาะข้ามป่าบุพกาล มองลงมาและค้นหาอสูรกู่เหนือมนุษย์ในเหวลึกผ่านความสามารถด้านประสาทสัมผัสของตัวเอง
ฉุนเยียนเลียนเสียงนก และเรียกนกรูปร่างแปลกๆ จากป่าทึบหลายแห่งมา
‘ชูว ชูว! ชูว ชูว ชูว!’
ฉุนเยียนขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ฟังแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
“พวกเขาบอกข้าว่ามีคนเข้าไปในเหวลึก”
เหล่าหัวหน้าหยุดการค้นหาทันทีและมองหา
‘มีคนเข้าไปในเหวลึกรึ?’
‘ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เขาต้องเข้าสู่เหวลึก’…เหล่าหัวหน้ามองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ความคิดมากมายปะทะกันอยู่ในใจ
หลวนอวี้เม้มริมฝีปากสีแดงของนางแล้วถามว่า
“เขาเข้าสู่เหวลึกตั้งแต่เมื่อใดและรูปร่างหน้าตาของบุคคลผู้นั้นเป็นเช่นไร?”
ฉุนเยียนส่ายหัวเล็กน้อย
“พวกเขาไม่ตอบคำถามนั้น”
‘อสูรกู่ไม่รู้จักเวลา นับประสาอะไรกับรูปร่างหน้าตามนุษย์’
หลังจากพูดจบ ฉุนเยียนก็หันหน้าไป พ่นเสียงนกร้องออกมาและสื่อสารกับพวกเขาสักพัก
ทันใดนั้นนางก็มีสีหน้าจริงจัง และจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
“พวกเขาพูดอะไร?”
ฉุนเยียนเงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปที่หัวหน้าทุกคนและพูดช้าๆ
“กลัว!”
“พวกเขารู้สึกกลัวบุคคลผู้นั้นอย่างยิ่ง”
‘ความกลัวสุดขีด’…ทุกคนขมวดคิ้ว มองหน้ากันสองสามครั้งและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
โดยทั่วไปแล้วอสูรกู่มักบ้าคลั่งและโหดร้าย แม้เผชิญหน้ากับพวกเขา ก็ยังกล้าจู่โจมโดยไม่เกรงกลัวความตาย
ตัวตนที่สามารถทำให้อสูรกู่หวาดกลัวได้จะต้องอยู่ในขั้นสูงมาก
ในขณะเดียวกันก็สามารถตัดสินได้ว่า บุคคลลึกลับที่เข้าสู่เหวลึกนั้นอยู่ในระดับขั้นที่สูงกว่าพวกเขาทั้งหมด และสูงกว่ามาก
หลงถูกระซิบถาม
“คนผู้นั้นยังอยู่ในเหวลึกหรือไม่?”
ฉุนเยียนพยักหน้าเล็กน้อย
เหล่าหัวหน้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ทราบว่าจะรุกดีหรือจะถอยดี
‘เมื่อบุคคลภายนอกเข้าสู่เหวลึก พลังของเทพเจ้ากู่ทั้งเจ็ดจะอ่อนแอลงเกือบครึ่งพร้อมๆ กัน’ …ใจของฉุนเยียนพลันสั่นไหวราวกับนางนึกอะไรบางอย่างออก ใบหน้าเคร่งขรึมของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลง จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มที่หวงแหน
นั่นเป็นเขา!
เหล่าหัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่คนอื่นๆ ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาตัวตนของบุคคลที่มาได้ทันที
เนื่องจากน้องสาวฝันถึงเทพเจ้ากู่ สวี่ชีอันจึงกลับมายังชายแดนตอนใต้และเจ็ดยอดกู่ในร่างกายของเขาก็มิใช่ความลับ และตอนนี้พลังของเทพเจ้ากู่ทั้งเจ็ดพลันเบาบางลงพร้อมๆ กัน
นอกเหนือจากข้อมูลที่อสูรกู่ถ่ายทอดมาให้ในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่า เป็นสวี่ชีอันเองที่ทำให้เหวลึกเกิดการเปลี่ยนแปลง
ดวงตาของหลวนอวี้เปล่งประกายเจิดจ้า ความสุขลอยเด่นอยู่บนใบหน้านางอย่างไม่อาจระงับได้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคนที่เอาแต่ขมวดคิ้วและระมัดระวังตัวเมื่อครู่
โหยวซือก็ตื่นเต้นเช่นกัน ร่างกายภายใต้เสื้อคลุมของเขาสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าใครก็มองเห็นว่าเขาตื่นเต้น กระทั่งน้ำเสียงก็ยังตื่นเต้น
ศพตายซากในฝันของเขา!
หลงถูยังคงไม่ยิ้มแย้มเช่นเคย สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างเงียบเชียบ เขาค่อยๆ คลายสภาวะตื่นตัวและพร้อมต่อสู้ลง
‘ฟู่’…ป๋าจี้ผ่อนลมหายใจออกแล้วพูดว่า
“ครั้งสุดท้ายที่เราสู้กัน เจ็ดยอดกู่ของเขาเข้าใกล้เหนือมนุษย์มาก การที่พลังของเทพเจ้ากู่เปลี่ยนแปลงไป น่าจะเกิดจากการที่เขาเลื่อนขั้นเป็นเจ็ดยอดกู่นี่เอง”
เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ด้วยวิธีนี้ ปัญหาที่ยากลำบากที่สุดของเผ่าพันธุ์กู่ย่อมถูกแก้ไข และต่อไปในอนาคต ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องจะมีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นในเหวลึกอีก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวหน้าหลายคนก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม
ร่างเงาพูดว่า
“ไปดูในเหวลึกกัน ห้ามลดความระมัดระวังลงก่อนจะได้เจอฆ้องเงินสวี่”
เหล่าหัวหน้าต่างเลิกยิ้ม พยักหน้าเล็กน้อยและรีบไปที่หุบเขารอยแยกทันที
หลวนอวี้ขึ้นเป็นผู้นำ กระโปรงผ้าตาข่ายของนางพลิ้วไหวอยู่ข้างหน้า ผิดจากก่อนหน้านี้ที่นางได้แต่ซ่อนตัวอยู่ข้างร่างเงาอย่างระแวดระวัง
เมื่อมองเห็นหลวนอวี้ผู้เปี่ยมเสน่ห์อยู่ตรงหน้านาง ฉุนเยียนก็เม้มริมฝีปากของนางเบาๆ และงูตัวเล็กๆ สองตัวที่ติ่งหูนางก็ส่งเสียง ‘ฟ่อๆ’ ออกมาราวกับกำลังล้อเลียนหลวนอวี้
…
“ได้เวลากลับแล้ว!”
หลังจากรักษาเจ็ดยอดกู่ให้เสถียรได้แล้ว สวี่ชีอันที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนขอบหน้าผาก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็หันไปมองแนวฟ้าสีครามเหนือหัวของเขา
มองผ่านหน้าผาทั้งสองด้านท่ามกลางฟากฟ้าสีคราม เห็นร่างเจ็ดร่างเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว ผู้นำหน้าคือ หลวนอวี้หญิงสาวผู้มีเสน่ห์ นางมองลงมาจากที่สูง เมื่อนางเห็นสวี่ชีอัน นางก็เร่งความเร็วจนมาถึงที่หมายทันที
‘แผละ!’
“ฆ้องเงินสวี่!”
เจ้าล่อสวี่…หัวใจของสวี่ชีอันบอกตัวเองว่า ฟังสำเนียงของคนจากชายแดนตอนใต้แล้วรู้สึกอึดอัดจริงๆ
อีกหกคนร่อนลงมาทีละคน พร้อมรอยยิ้มสบายอกสบายใจบนหน้าราวกับเมฆหมอกอึมครึมจางหาย
“ได้พบฆ้องเงินสวี่แล้ว!”
เหล่าหัวหน้ารีบโค้งคำนับ
สวี่ชีอันละสายตาจากร่างสูงมีส่วนเว้าส่วนโค้งของหลวนอวี้และค้อมศีรษะไปทางฝูงชนเล็กน้อย
……………………………………………