ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 740 ก่อกบฏ (2)
บทที่ 740 ก่อกบฏ (2)
การประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น
ยามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) สีของท้องฟ้าดำขลับ เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารพร้อมด้วยขุนนางระดับต่างๆ ผ่านเข้าประตูด้านทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก และข้ามสะพานจินสุ่ยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขุนนางในเมืองหลวงรอข้าราชการทั้งหลายก้าวเข้าตำหนักกระดิ่งทองอยู่ตามบันไดหน้าบัลลังก์ ขั้นบันไดและจัตุรัส
การประชุมราชสำนักช่วงเช้าของวันนี้จัดขึ้นเพื่อคณะทูตอวิ๋นโจวโดยเฉพาะ ตัวละครหลักคือจีหย่วนและกลุ่มผู้ติดตาม
‘คณะเจรจา’ ซึ่งสวมชุดข้าราชการอวิ๋นโจวยี่สิบกว่าคน เดินยกเท้าสูงก้าวเข้าตำหนักกระดิ่งทองอย่างผึ่งผายด้วยความทรงอำนาจและความทะนงของผู้มีชัย
จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งอยู่บนที่สูง หลังจากสนทนาอย่างไม่เจ็บไม่คันไม่กี่ประโยคก็ให้คนแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญา
“เป็นบุญคุณที่ฝ่าบาทและใต้เท้าทั้งหลายให้การต้อนรับอย่างดี ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ทางข้าสบายใจอย่างยิ่ง”
จีหย่วนน้อมคำนับจักรพรรดิหย่งซิ่งและขุนนางทั้งหลายด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
สีหน้าของบรรดาขุนนางภายในตำหนักกระดิ่งทองไม่น่าดูนัก ทำได้เพียงแสร้งมองไม่เห็นการเย้าหยอกบนใบหน้าของเขาและความหยิ่งยโสที่แสดงให้เห็นอย่างกำเริบเสิบสาน
“จริงสิ พักนี้ความแค้นเคืองประชาชนในเมืองหลวงเดือดพล่าน ด่าประจานราชสำนักและฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง ข้าน้อยขอแนะนำว่าควรฆ่าเสียเลยเพื่อตักเตือนไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง” จีหย่วนเอ่ยยิ้ม
สวี่หยวนซวงซึ่งอยู่ข้างๆ นึกขึ้นได้ว่า ไม่กี่วันมานี้พี่เก้ามักจะสืบข่าวคราวชาวบ้าน ฟังข่าวคราวผู้คนในเมืองหลวงและบัณฑิตราชวิทยาลัยด่าคณะทูตอวิ๋นโจวและสายเลือดเมืองเฉียนหลงทุกวัน ในขณะนั้นมือของเขากำลังโบกพัด ดูเหมือนว่าไม่สนใจแม้แต่น้อย
ที่แท้ก็แอบจำไว้ในใจแล้ว
ขณะนี้จักรพรรดิหย่งซิ่งเพียงต้องการส่งคณะทูตอวิ๋นโจวไปให้เร็วที่สุด จึงเอ่ยว่า
“ท่านทูตจีไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ข้าจะจัดการด้วยตนเอง นอกจากนี้ ได้จัดเตรียมตำลึงเงินและแพรไหมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ท่านทูตจีนำไปได้”
ในส่วนของการแบ่งดินแดน ยังมีงานให้ทำอีกมากต่อจากนี้ อย่างเช่นการแจ้งฝ่ายราชการท้องถิ่น การถอนกำลังตระกูลเสนาบดีเล็กรวมไปถึงกองทัพท้องถิ่นและเรื่องอื่นๆ
เป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จในทันที
“เช่นนั้นก็ขอบคุณฝ่าบาท…”
หลังจากสิ้นเสียงจีหย่วน เสียง ‘โครม’ ดังขึ้นในทันใด เสียงปืนใหญ่ดังมาจากไกลๆ ตามมาด้วยเสียงกลองระรัวดังขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งมาจากทางประตูวัง
มวลชลในพระราชวังกลัวจนหน้าถอดสี หนึ่งในนั้นมีคณะทูตที่อวิ๋นโจวที่จีหย่วนเป็นตัวแทน
ดันเกิดเรื่องในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ความตื่นตระหนกในดวงตาของจักรพรรดิหย่งซิ่งหายวับไป ฝืนทำเป็นไม่สะทกสะท้าน แล้วมองไปยังจ้าวเสวียนเจิ้นพร้อมเอ่ยว่า
“ไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
จ้าวเสวียนเจิ้นรับคำสั่งแล้วออกไป เขาก้าวออกจากตำหนักกระดิ่งทอง และมองไปยังจัตุรัสนอกพระราชวัง ขุนนางด้านล่างล้วนตกอยูในความชุลมุน สีหน้าตื่นกลัว ราชองครักษ์ในพระราชวังบางส่วนกรูกันไปยังประตูวัง บางส่วนวิ่งไปที่ตำหนักกระดิ่งทองเพื่อคุ้มกันฝ่าบาทและบรรดาขุนนาง
ภายในตำหนักกระดิ่งทอง จีหย่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด จับพัดกระดูกเงินไว้แน่นโดยไม่พูดไม่จา
ส่วนสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหว คนแรกขมวดคิ้ว อีกคนมองไปข้างนอกอย่างถี่ยิบ
เจ้าหน้าที่พลเรือน ทหารและสมาชิกราชวงศ์ในสำนักจ้องมองซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จนกระทั่งจ้าวเสวียนเจิ้นวิ่งกลับมาอย่างแทบบ้า เขาวิ่งยกชายเสื้อคลุมเหมือนสุนัขข้างถนน และเอ่ยกรีดร้องว่า
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วๆ …”
“ฝ่าบาท กองทัพกบฏบุกมาแล้ว”
ผู้คนในวังสีหน้าเปลี่ยน พร้อมมองไปยังจีหย่วนด้วยจิตสำนึก ตั้งแต่อวิ๋นโจวเริ่มก่อเรื่อง คำว่า ‘กองทัพกบฏ’ ก็มีความเกี่ยวพันกับอวิ๋นโจว และได้ยินมาสองเดือนกว่า การตอบสนองโดยสัญชาตญาณเมื่อได้ยินคำว่ากองทัพกบฏจึงหมายถึง กองทัพกบฏอวิ๋นโจวเข้าโจมตีเมืองหลวง
จีหย่วนและคนอื่นๆ ชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนได้ยินเสียงจ้าวเสวียนเจิ้นหายใจหอบหืดในชั่วประเดี๋ยวนั้น และเอ่ยต่อว่า
“กวาดล้างคนเลวข้างองค์จักรพรรดิ”
เสียงอื้ออึงกระพือขึ้นในวังอีกครั้ง จักรพรรดิหย่งซิ่งมองไปยังที่ที่สมาชิกราชวงศ์อยู่ในทันควันพร้อมด้วยความอ้ำอึ้ง เนื่องจากเขาเห็นเหยียนชินอ๋อง
หากกล่าวตามเหตุผล เหยียนชินอ๋องไม่ควรอยู่ที่นี่ในตอนนี้ถึงจะถูก หรือว่าไม่ใช่เขา
บรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องกำลังมองเหยียนชินอ๋องด้วยสายตาประหลาดเช่นเดียวกัน ในบรรดาขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบ มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนหนึ่งเข้าประชิดเหยียนชินอ๋องอย่างไร้สุ้มเสียง
หากจะให้กล่าวว่าในราชสำนักมีใครที่กล้าและสามารถก่อกบฏได้ คงเหลือเพียงชินอ๋องที่ไทเฮาผู้นี้ให้กำเนิดแล้ว
ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน
เหยียนชินอ๋องตะลึง
“อะไรคือการบุกเข้ามา มีการโจมตีประตูวังหรือ”
ในบรรดาขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบ กั๋วกงคนหนึ่งก้าวออกจากแถว และเอ่ยขณะจ้องจ้าวเสวียนเจิ้นอย่างเหี้ยมโหดว่า
“บอกมาให้หมด”
ขณะที่จ้าวเสวียนเจิ้นซึ่งมีใบหน้าซีดขาวกำลังจะเอ่ย พลันได้ยินเสียงเข่นฆ่าร้องห่ม เสียงคมอาวุธปะทะกันและเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังมา
ตอนนี้คงไม่ต้องบอกแล้ว
กองทัพกบฏมีผู้ซุกซ่อนอยู่ภายในและมีขนาดไม่เล็กทีเดียว…ผู้คนในวังวินิจฉัยในทันที
ผู้ที่ปกป้องประตูวังคือทหารรักษาวัง ส่วนผู้ที่ปกป้องเขตพระราชฐานคือสิบสององครักษ์ ไม่มีกองทัพใดๆ สามารถโจมตีเขตพระราชฐานและประตูวังอย่างต่อเนื่องในเวลาอันสั้นเช่นนี้ นอกจากว่ากองทัพกบฏจะเป็นสิบสององครักษ์และทหารรักษาวังเสียเอง
ผู้ใดกันที่สามารถปลุกระดมกองทัพกบฏและสิบสององครักษ์แห่งเมืองหลวง
ระหว่างที่ความคิดของผู้คนกำลังผุดระยับ เสียงเข่นข้าร้องห่มยิ่งใกล้เข้ามา จนกระทั่งมีทหารรักษาพระองค์ในวังส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาและล้มคะมำเข้ามาในตำหนักกระดิ่งทอง
นอกประตูวัง เงาคนวับแวบ ผู้ที่คนนำฝ่าเข้ามาคือฆ้องทองคำสองคนซึ่งสวมชุดคนเคาะยามบอกเวลาที่ขาดรุ่งริ่ง และหยางเยี่ยนที่สวมเกราะเบาพร้อมถือหอกยาว ถัดไปอีกข้างหลังมีฆ้องเงิน ฆ้องทองแดง หน่วยองครักษ์ราชวัลลภรวมไปถึงกองดาบและคนอื่นๆ
สมาชิกสับสนปนเปไปหมด แต่พวกเขาล้วนรัดแพรสีแดงไว้ที่แขน
พวกเขาชูดาบที่อาบเลือดขึ้น และมัดบรรดาข้าราชการ ราชนิกุลและขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบไว้เป็นกลุ่มๆ
“หยางเยี่ยน”
จวิ้นอ๋องผู้หนึ่งจำเขาได้ และกล่าวด้วยความตื่นตระหนกและโมโหว่า
“เจ้าโจรกบฏ เจ้ากล้าวางแผนทรยศ ไม่กลัวโทษประหารเก้าชั่วโคตรหรือ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งระงับความรู้สึกทั้งหมดไว้ เขายันโต๊ะลุกขึ้นโดยคงความเยือกเย็นของจักรพรรดิเอาไว้ แล้วมองเหยียนชินอ๋องครู่หนึ่ง ก่อนหันไปทางหยางเยี่ยนและฆ้องทองคำ เขาเอ่ยอย่างฝืนสงบสติอารมณ์ว่า
“นายของพวกเจ้าคือใคร”
และในขณะเดียวกันนี้ ขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบสองคนข้างๆ ได้ปิดปากเหยียนชินอ๋องไว้
เมื่อเห็นหยางเยี่ยนและฆ้องทองคำปรากฏตัว ผู้ที่มีสายตาเฉียบคมก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร
ในตอนแรกพรรคพวกของเว่ยเยวียนเหล่านี้สนับสนุนพระราชโอรสที่สี่
หลังจากสวี่ชีอันสังหารจักรพรรดิเจินเต๋อ หากเว่ยเยวียนไม่ตายไปเสียก่อน ผู้ที่ขึ้นครองราชย์คงไม่ใช่องค์รัชทายาทอย่างแน่นอน แต่เป็นพระราชโอรสที่สี่ในตอนแรก
จีหย่วนไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจในช่วงกุญแจสำคัญอย่างอยู่เป็น และถือพัดพับมองอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
“คุณชายเก้า ราชสำนักต้าฟ่งเกิดความวุ่นวายภายใน”
ขุนนางชุดแดงคนหนึ่งเอ่ยด้วยความกึ่งดีใจกึ่งกังวล
สิ่งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของพวกเขา หากการเจรจาสงบศึกสามารถทำให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายภายใน เช่นนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จล้วนไม่สำคัญแล้ว และดียิ่งกว่าผลการเจรจาสำเร็จเสียอีก
หากส่วนกลางตกอยู่ในความโกลาหล ราชสำนักต้าฟ่งจะพังทลายและแหลกสลายด้วยความเร็วที่ทำให้ผู้คนเป็นต้องแปลกใจ
ซึ่งแน่นอนว่า ความปลอดภัยของชีวิตคณะทูตก็จะไม่ได้รับหลักประกันเท่าที่ควร ทุกคนจึงดีใจกึ่งกังวล
“สังเกตสถานการณ์เงียบๆ” ขุนนางชุดแดงอีกคนเอ่ยเบาๆ
“ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะ หากไม่อยากให้ประเทศชาติล่มสลาย คงต้องเกรงอกเกรงใจพวกเราเป็นแน่”
หากอิงตามสถานการณ์ของต้าฟ่งในปัจจุบัน การฉีกหน้าอวิ๋นโจวเป็นหนทางแห่งความพินาศ ผู้ที่ก่อกบฏคงมองไม่เห็นความจริงที่ว่านี้
“นี่ นี่มันไม่เกี่ยวกับข้า…”
เหยียนชินอ๋องเป็นผู้บำเพ็ญตนระดับหลอมปราณ การถูกขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบซึ่งมีตบะสูงล้ำสองคนคุมตัวไว้ จึงไร้ความสามารถในการขัดขืนแม้เพียงเล็กน้อย
ขณะนี้ เสียงเข่นฆ่าโรมรันนอกวังหยุดลงราวกับรู้ผลแพ้ชนะแล้ว
แน่นอนว่าจุดที่ไกลออกไปยังคงมีเสียงปืนใหญ่และเสียงกลอง การต่อสู้ในจุดอื่นๆ ยังคงดำเนินต่อไป
“ไม่จำเป็นต้องทำให้เสด็จพี่สี่ลำบากใจ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา”
เสียงอันเยือกเย็นไพเราะดังขึ้น ผู้คนในวังบ้างก็หันศีรษะ บ้างก็ชำเลืองมอง พบว่านอกตำหนักกระดิ่งทอง เงาซึ่งมีทรวดทรงสวยงามในชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบเดินกระชายโปรงลากพื้นก้าวข้ามธรณีประตูที่ยกสูงเข้ามา
องค์หญิงใหญ่?
ผู้ที่ไม่รู้ความจริงมีสีหน้างงงัน
จักรพรรดิหย่งซิ่งนิ่งอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าผู้ที่ปรากฏตัวตรงหน้าจะเป็นนาง
“ฮว๋ายชิ่ง”
จักรพรรดิหย่งซิ่งชี้ไปที่นาง ก่อนเอ่ยอย่างโมโหว่า
“เจ้าคิดจะทำอะไร ตอบข้ามา เจ้าคิดจะทำอะไร”
เขาตบโต๊ะเต็มแรง พลังความโกรธเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างรุนแรง
ฮว๋ายชิ่งก้าวเข้าไปใต้บัลลังก์จักรพรรดิ ก่อนมองไปยังจักพรรดิหย่งซิ่งและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ระดับเสียงกลับไม่เบาว่า
“เจ้าพี่โปรดสละบัลลังก์”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ภายในวังตกอยู่ในความเงียบงัน ซึ่งแม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยินเสียง
จีหย่วนลิ้นพันต้าค้าง เพ่งมองเงาหลังของฮว๋ายชิ่งอย่างพินิจ ภายในดวงตาเกิดความอัศจรรย์ใจในความสวยงามอันยากจะปกปิด
“เจ้า ฮว๋ายชิ่ง…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งราวว่าได้ยินคำเย้ยหยันที่ใหญ่เท่าฟ้า เขายันมือทั้งสองไว้บนโต๊ะ มองจากข้างบนลงไปที่เสด็จน้องผู้ทรยศ และแผดเสียงในฉับพลันว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไร”
จักรพรรดิหย่งซิ่งทุบกำปั้นอย่างรุนแรง
หากเป็นพี่น้องฝ่ายชายคนอื่นใด เขาคงจะระวังและตื่นตัว แต่ในตอนนี้คนที่กลับขอให้เขาสละบัลลังก์และก่อกบฏกลับเป็นเครือญาติฝ่ายหญิง
น่าขัน
เขาไม่ได้มองฮว๋ายชิ่งอีก แต่มองไปที่หยางเยี่ยน พวกฆ้องทองคำ และบรรดากองทัพกบฏที่ล้อมรอบขุนนางในวังแทน ก่อนเอ่ยตำหนิด้วยความโกรธว่า
“เจ้ากับพวกสติไม่สมประกอบ ก่อกบฏร่วมกับสตรี หัวพวกเจ้าหลายคนจะหลุดออกจากบ่า”
“พึ่งนางจะสำเร็จงานได้หรือ ขอถามขุนนางทั้งหลายในวัง ใครจะหนุนนาง ขอถามผู้คนในใต้หล้า ใครจะหนุนสตรีอ่อนแอผู้นี้”
ขณะนี้เอง หลิวหงออกจากแถวเงียบๆ ก่อนน้อมคำนับ และเอ่ยเสียงดังว่า
“ฝ่าบาทโปรดสละบัลลังก์”
หลังจากนั้นสมุหราชเลขาธิการเฉียนก็ยืนแนบไหล่กับกับหลิวหง ก่อนน้อมคำนับ และเอ่ยเสียงดังว่า
“ฝ่าบาทโปรดสละบัลลังก์”
ตามด้วยรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาจางสิงอิง เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาและเจ้ากรมทหารออกจากแถวพร้อมกัน และเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ฝ่าบาทโปรดสละบัลลังก์”
ราวก่อให้เกิดผลตอบสนองหมู่ ทันใดนั้นเอง ขุนนางกลุ่มใหญ่ก็น้อมคำนับพร้อมเอ่ยว่า
“ฝ่าบาทโปรดสละบัลลังก์”
จำนวนคนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของคนในห้องวัง
เป็นครั้งแรกที่พรรคหวางและพรรคเว่ยพร้อมใจกันเช่นนี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งสีหน้าแข็งเกร็ง และเริ่มซีดขาวอย่างช้าๆ เขามองไปยังขุนนางที่โค้งตัวน้อมคำนับอย่างเลื่อนลอยพักใหญ่ ก่อนเอ่ยพึมพำด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือว่า
“เสียสติไปแล้ว พวกเจ้าเสียสติไปแล้ว…”
ทางฝั่งสมาชิกราชวงศ์ บรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องต่างงุนงงทำอะไรไม่ถูก มีเพียงเหยียนชินอ๋องที่ดีใจแทบคลั่ง ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่แทบไม่อยากเชื่อ ไปพยุงตัวขุนนางที่น้อมคำนับทีละคน ก่อนเอ่ยตำหนิว่า
“พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เป็นบ้าไปกับเครือญาติฝ่ายหญิงคนหนึ่ง ผู้ใดทำให้พวกเจ้าช่างกล้า อย่าได้คิดหาความสุขเพียงฉาบฉวย ไม่สำเร็จหรอก”
ตอนนี้เพียงเริ่มจู่เริ่ม ต่อจากนี้ล่ะ
จำนวนสมาชิกราชวงศ์มีมากมาย เพียงต้องการเสนอความเห็นในตำแหน่งจักรพรรดิก็จะสามารถยุติการก่อกบฏได้
เพราะว่าไม่มีใครสนับสนุนเครือญาติฝ่ายหญิง
ก่อกบฏตามองค์หญิง หากไม่เสียสติจะให้เรียกอะไร
ฮว๋ายชิ่งไขว้มือทั้งสองไว้ที่ท้องน้อย แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“นำเขาลงไป ให้เขาเขียนพระราชโองการสละราชบัลลังก์”
หยางเยี่ยนนำฆ้องเงินก้าวไปข้างหน้า และเดินไปหาจักรพรรดิบนบัลลังก์จักรพรรดิ
“อย่าบังอาจ”
ขันทีกุมตราลัญจกรจ้าวเสวียนเจิ้นอ้าแขนทั้งสองข้างขวางหน้าหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ สีหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยหน้าตาบึ้งตึงว่า
“ฝ่าบาทหลินอันหมั้นหมายกับฆ้องเงินสวี่ เจ้าและคนอื่นๆ ก่อกบฏ ฆ้องเงินสวี่จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป”
คำพูดประโยคนี้เหมือนเป็นการตีกลองปลุกสติสมาชิกราชวงศ์ ขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบรวมไปถึงขุนนางคนอื่นๆ นอกเหนือพรรคหวางและพรรคเว่ยที่ลังเลไม่แน่ไม่นอน
ภายในดวงตาที่ซีดเซียวของจักพรรดิหย่งซิ่งส่องสว่างออกมาในทันทีทันใด เหมือนคนที่ผิดหวังพบเห็นแสงอาทิตย์แรกอรุณ
ใช่แล้ว เขายังมีสวี่ชีอัน
ตราบใดที่สวี่ชีอันสนับสนุนเขา ไม่ว่าฮว๋ายชิ่งและเหยียนชินอ๋องจะกำแหงเท่าใดก็คงไม่สำเร็จ
คนที่ลังเลไปลังเลมาเหล่านั้นก็รู้ถึงปัญหานี้
จักรพรรดิหย่งซิ่งตั้งสติ มองดูหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ โดยรอบ และเอ่ยเสียงดังว่า
“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าดึงบังเหียนม้าหน้าขอบผา[1]อีกครั้ง ข้าจะไม่ถือโทษเรื่องที่ทำไว้ จับตัวกบฏฮว๋ายชิ่ง ข้าจะมอบรางวัลให้พวกเจ้า”
“มิเช่นนั้น เจ้าและคนอื่นๆ คงจะรู้ว่าจุดจบของการวางแผนทรยศเป็นเช่นไร”
จ้าวเสวียนเจิ้นได้รับกล้าหาญมากขึ้น หันไปตะโกนว่า “ยังไม่ลงมาอีก”
“เจ้าโจรกบฏ ยังไม่สำนึกอีก”
“ก่อกบฏตามผู้หญิงยิงเรือ อยากอายุสั้นหรือ”
“รีบๆ จับตัวฮว๋ายชิ่ง มิเช่นนั้น ก็รอให้ทหารรักษาวังมาฆ่าหรือรอให้ฆ้องเงินสวี่มาฆ่าแทน พวกเจ้าจะตายกันหมด”
ขุนนางทั่วไปและขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบซึ่งเห็นชอบจักรพรรดิหย่งซิ่งเหล่านั้นกล่าวตำหนิเสียงดัง
“เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังก้องในวัง เงาคนขยายตัวและแผ่ออกมาจากเงาด้านหลังฮว๋ายชิ่ง ซึ่งก็คือสวี่ชีอันที่เพิ่งจะปราบทหารรักษาวังห้ากอง
เมื่อครู่เพิ่งจะเอ่ยถึงสวี่ชีอัน วินาทีถัดมาขวัญใจก็ปรากฏตัว ทันทีที่สีหน้าท่าตาดีอกดีใจเพิ่งจะล่องลอยในดวงตาของจักรพรรดิหย่งซิ่ง เขาก็เห็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งผู้นี้มองมาที่ตนอย่างเย็นชาและเอ่ยว่า
“หย่งซิ่ง สละบัลลังก์เสีย ข้ารับรองว่าท่านจะไม่ตาย”
“ไม่เช่นนั้น ท่านก็จะเป็นแบบหยวนจิ่ง”
จักรพรรดิหย่งซิ่งมีสีหน้าราวหิมะ สั่นไปทั้งตัว ล้มลงบนเก้าอี้มังกรเหมือนสูญเสียกำลังในการปลุกตนเอง
ขุนนางทั่วไปและขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบซึ่งเห็นชอบจักรพรรดิหย่งซิ่งทำสีหน้าแข็งเกร็งโดยพร้อมกัน
พัดกระดูกเงินในมือของจีหย่วนร่วงลงบนพื้นดัง ‘ตึก’ รูม่านตาของเขาหดลงอย่างรุนแรงราวพบแสงจ้า
ผู้ที่ต้องการก่อกบฏคือสวี่ชีอัน…
…………………………………………..
[1] ดึงบังเหียนม้าหน้าขอบผา มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 悬崖勒马 หมายถึงกลับเนื้อกลับตัวใหม่ในตอนที่ยังไม่สาย