ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 671 เลี้ยงเจ็ดยอดกู่
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสที่เหลือก็เคลื่อนสายตาออกจากร่างของ ‘เด็กน้อย’ ในที่สุด คู่นัยน์ตาตั้งตรงที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวกวาดมองไปทั่วอย่างเงียบๆ
สีหน้าตื่นตะลึงและฉงนก็ฉายอยู่บนร่างอันกำยำของผู้อาวุโสพร้อมกัน
ในสายตาของพวกเขา อากาศรอบข้างสดชื่นเช่นนี้ พลังของเทพเจ้ากู่ที่เคยลอยล่องอยู่กลางอากาศเหมือนหิ่งห้อย บัดนี้เป็นเศษซากกระจัดกระจาย น่าสงสารอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พรสวรรค์สินะ…”
ใบหน้าอันตื่นเต้นของเหล่าผู้อาวุโสที่มีผู้อาวุโสใหญ่เป็นหัวหน้าสั่นสะท้าน มองไปที่สวี่หลิงอินเป็นตาเดียว
หรือว่า ‘พลังของเทพเจ้ากู่’ รอบข้างจะให้นางดูดซับอย่างนั้นหรือ
นางทำได้อย่างไร…เหล่าผู้อาวุโสทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ
“เอ๋ ไม่สิ”
ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายหน้าพร้อมมองสวี่หลิงอิน “จริงอยู่ที่พลังของหนูน้อยพุ่งขึ้นฉับพลัน ทว่านางยังอยู่ขั้นแปด พลังของเทพเจ้ากู่ที่นี่ยังไม่หนาแน่นเท่าในจี๋เยวียน ทว่าหากจะดูดซับทั้งหมดก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะรับไหว”
ผู้อาวุโสทุกคนขมวดคิ้วไม่เอื้อนเอ่ย ด้วยสติปัญญาของพวกเขาแน่นอนว่าไม่รู้อะไรเลย
ดังนั้นแต่ละคนจึงหน้านิ่วคิ้วขมวด
บัดนี้มู่หนานจืออุ้มจิ้งจอกขาวน้อยกลับมา ผู้อาวุโสใหญ่ปรายตามองหญิงอัปลักษณ์ผิวขาวบริสุทธิ์ผู้นี้ แล้วเอ่ยถามด้วยภาษาทางการของต้าฟ่งที่ไม่ค่อยสันทัด
“เจ้านั่นล่ะ”
“เขาบอกจะไปดูรอบๆ ” มู่หนานจือตอบ
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้ใส่ใจ คงเป็นเพียงคนต่างถิ่นสนใจจี๋เยวียน อยากสำรวจรอบๆ เป็นประสบการณ์
สำหรับด้านความปลอดภัย จอมยุทธ์เหนือมนุษย์ที่สังหารเทพารักษ์ของสำนักพุทธ อย่าว่าแต่เขตป่าดึกดำบรรพ์ของพื้นโลก แม้แต่เข้าไปในจี๋เยวียนก็ไม่มีปัญหา
…
อีกด้านหนึ่งสวี่ชีอันที่เข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินผา ใช้วิธีฝึกลมหายใจซึมซับพลังของเทพเจ้ากู่ที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศ
พลังของเทพเจ้ากู่ตรงนี้หนาแน่นกว่ารอบนอกสิบกว่าเท่า เลือดลมภายในร่างของสวี่ชีอันสูบฉีดในทุกการซึมซับ พัฒนาอย่างรวดเร็วยิ่ง
เลือดลมไม่เกี่ยวข้องกับพลังปราณ มันเป็นสัญลักษณ์ของพลัง ยิ่งเลือดลมสูบฉีด พลังกายก็จะยิ่งดี กำลังจะยิ่งมหาศาล
เช่นเดียวกับจุดสูงสุดของขั้นสาม หากไม่แสดงพลังปราณ สวี่ชีอันทั้งสองอาจจะไม่ทรงพลังเฉกเช่นหลงถู
“ยิ่งเลือดลมสูบฉีด พลังปราณที่ข้าหลอมออกมาได้ก็จะยิ่งมาก กลืนกินพลังเลือดลมของเทพเจ้ากู่มาเป็นของตนให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ไปพบน้องสะใภ้เพื่อบำเพ็ญคู่ สุดท้ายค่อยถอนตะปูตอกวิญญาณออกมา เช่นนี้ข้าก็จะอยู่จุดสูงสุดของขั้นสามอย่างเต็มตัว ไม่สิ ทะลวงจอมยุทธ์ขั้นสองหรือสามได้ทุกเมื่อ แข็งแกร่งกว่าอ๋องสยบแดนเหนือในตอนนั้นเสียอีก”
เขาอยู่ในท่าทางฝึกลมหายใจ ดูดซับพลังของเทพเจ้ากู่อย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านไปเสี้ยวชั่วโมง เจ็ดยอดกู่ก็หยุดดูดซับ
มันถึงขีดจำกัดแล้ว มิอาจรับพลังของเทพเจ้ากู่ได้อีก
สวี่ชีอัน ‘มองสำรวจ’ เจ็ดยอดกู่ก็พบว่าพลังของลี่กู่ไม่เพียงตามตู๋กู่ ซือกู่ และอั้นกู่ทันเท่านั้น ยังเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ
เขาได้รับความสามารถที่สองของลี่กู่ ‘บ้าคลั่ง! ’
มันกระตุ้นเซลล์และระเบิดพลังมากกว่าปกติออกมาภายในเวลาอันสั้น ค่าตอบแทนคือหลังสิ้นสุดการระเบิดจะเข้าสู่สภาวะอ่อนแรงและอยากอาหารมากขึ้น ต้องสวาปามอาหารถึงจะชดเชยส่วนที่เสียไปได้ มิเช่นนั้นจะทำให้เลือดลมอ่อนแรง ส่งผลต่ออายุขัย
‘ครืน!’
บัดนี้เอง เสียงคำรามก็ดังมาจากฟากฟ้า
เงามืดขนาดใหญ่ปกคลุม หินยักษ์ก้อนหนึ่งหมุนลอยและกระแทกเข้าใส่สวี่ชีอัน
เขาหันตัวเล็กน้อย ปล่อยให้หินยักษ์เฉียดผ่านร่างและกระแทกลงพื้นเป็นหลุมขนาดใหญ่ พลิกกลิ้งอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะชนต้นไม้กลายพันธุ์หักทั้งสองต้น
พืชพันธุ์ที่นี่ดูดซับเลือดลมของเทพเจ้ากู่ก็เปลี่ยนไประดับหนึ่งเช่นกัน แข็งแรงและหนากว่าต้นไม้ทั่วไป
สวี่ชีอันที่เลี่ยงการจู่โจมจากหินยักษ์ได้มองไปตรงหน้า กอริลลาหลังดำร่างสูงใหญ่ทรงพลังตัวหนึ่งยืนอยู่ใต้ร่มไม้ในป่าดิบ
คู่นัยน์ตาของมันแดงฉาน เขี้ยวยื่นออกมา กล้ามเนื้อด้านบนปากยาวกระตุกขึ้น จ้องมองสวี่ชีอันอย่างดุร้าย เมื่อเห็นมนุษย์ผู้นี้มองมา กอริลลาหลังดำก็คำรามพร้อมทุบอกอันล่ำสัน
จากนั้นคว้าก้อนกรวดกำหนึ่งขึ้นมาจากพื้นและออกแรงเขวี้ยง แล้วลอยพุ่งเข้ามาเต็มแรงราวกับฝนธนูกระหน่ำเทในบัดดล
กอริลลาตัวนี้ทรงพลังจนน่าตกใจ…สวี่ชีอันสลายร่างและโผล่ออกมาจากในเงาด้านหลังกอริลลาหลังดำ
เขาออกแรงกำหมัด กระดูกนิ้วดังกร๊อบราวกับทอดถั่ว กล้ามเนื้อแขนขวาทั้งหมดขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ผิดรูปไปอย่างสิ้นเชิง
บ้าคลั่ง
ตูม!
ท้องฟ้าเกิดเสียงกังวานจากหมัดนี้ราวกับปืนใหญ่ลั่นกระสุน
ร่างของกอริลลาหลังดำฉีกออกเป็นชิ้น ชิ้นเนื้อพุ่งไปทั่วสารทิศ เลือดสดและอวัยวะกระเด็นไปทั่วพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้งไปในชั่วพริบตา
“ตอนนี้ข้าอยากงัดข้อกับหลงถู…”
สวี่ชีอันรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตนอย่างมีความสุข
แล้วหันกลับมุ่งไปทางตะวันออกอย่างไม่รีรอ เดินตลอดสามสิบลี้ไปทางตะวันออกก็เข้าสู่เขตที่อบอวลไปด้วย ‘พลังแห่งตู๋กู่’
ไม่นานนักเขาก็มาถึงเขตที่ปกคลุมด้วยอากาศเป็นพิษและกิ่งก้านหนาแน่น
เดิมสวี่ชีอันคิดว่าเขตที่ปกคลุมด้วย ‘พลังแห่งตู๋กู่’ จะค่อนข้างมีพืชพรรณเบาบาง มีเพียงพืชพิษส่วนหนึ่งที่อยู่รอดได้ ใครจะรู้ว่าต้นไม้ที่นี่สูงใหญ่ กิ่งก้านตัดสลับกัน ปกคลุมเป็นชั้น หนาแน่นไร้ช่องลม
กร๊อบ!
เขาหักกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง แล้วเด็ดใบไม้บนกิ่งยัดใส่ปากพร้อมเคี้ยวอยู่ไม่กี่คำ
“มีพิษ ทว่าคุณสมบัติใช้ไม่ได้”
จากนั้นก็ชิมพุ่มไม้และวัชพืช ทั้งหมดมีพิษทั้งสิ้น เพียงแต่พิษไม่มาก เพิ่มประโยชน์อะไรให้ตู๋กู่ไม่ได้ ทว่าเป็นอาหารว่างที่บรรเทาผลข้างเคียงได้
เขาเดินพลางชิมตลอดทาง บางครั้งก็คว้าแมลงพิษไม่ก็เด็ดหญ้าพิษขึ้นมา ยิ่งเดินลึกเข้าไป คุณสมบัติของพืชและแมลงพิษก็ยิ่งมาก พิษก็จะยิ่งแรงขึ้น
หลังจากมาถึงจุดที่ทำให้เขากินอย่างเอร็ดอร่อย สวี่ชีอันก็นั่งขัดสมาธิใต้เงาร่มไม้ ฝึกลมหายใจอากาศพิษและไอพิษที่อบอวลอยู่กลางอากาศเพื่อหล่อเลี้ยงตู๋กู่
ไม่นานนักเจ็ดยอดกู่ก็มาถึงคอขวดอีกครั้ง มิอาจรับไอพิษได้อีก
สวี่ชีอันควบคุมความสามารถใหม่ของตู๋กู่…ร่างพิษ!
ร่างพิษมีสองความสามารถหลักนั่นคือ เปลี่ยนแปลงและดูดซับ
เปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนสิ่งไม่มีพิษทั้งหมดให้มีพิษและเปลี่ยนสิ่งมีพิษทั้งหมดให้ไม่มีพิษ
ดูดซับ เป็นการดูดซับสิ่งมีพิษทั้งหมดมาใช้เอง นี่รวมถึงการโจมตีเช่นพลังปราณและปราณกระบี่ของศัตรูด้วย ในเวลาเดียวกันมันยังซ่อมแซมร่างกายผ่านการดูดซับสิ่งมีพิษได้อีกด้วย
แม้จะแขนหักขาขาด ตราบใดที่พิษรอบกายมีมากพอก็จะดูดซับพวกมันและเปลี่ยนเป็นร่างพิษได้
ทว่าสำหรับสวี่ชีอัน ความสามารถนี้ก็แค่จิ๊บจ๊อย
จอมยุทธ์ป่าเถื่อนไม่กลัวแขนหักขาขาด
เขาไปเขตที่ปกคลุมด้วยพลังของเทพเจ้ากู่ห้าจุดที่เหลือต่อ ไม่ได้เข้าไปลึก ทว่าทำความเข้าใจเกี่ยวกับจี๋เยวียนเสียส่วนใหญ่
สิ่งที่มีชีวิตอยู่ในเผ่าซือกู่เป็นกลุ่มซากศพเดินได้ มีทั้งสัตว์และมนุษย์ พวกเขาจะเดินอย่างไร้จุดหมายในเขตที่กำหนดเหมือนกับผีดิบ เมื่อพบสิ่งมีชีวิตเข้าไปก็จะรุมตอมเหมือนผึ้ง
ไม่ได้เข้าไปกิน ทว่าจะส่งต่อจื่อกู่เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตกลายเป็นซากศพเดินได้
อากาศจะอบอวลด้วยกลิ่นปราณเสน่หาในเขตที่ฉิงกู่อยู่ ที่แห่งนี้มีเสียงนกร้องส่งกลิ่นหอมบุปผา พืชแพร่พันธุ์อย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ใบหญ้าจึงเจริญงอกงามอย่างยิ่ง จะเห็น ‘กีฬาหมู่’ ได้ทุกแห่งหน
เหล่าสัตว์จะทำกิจกรรมถ่ายทอดพันธุกรรมฉบับดั้งเดิมอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงนกร้องและเสียงคำรามเป็นท่วงทำนองเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ สวี่ชีอันลองใช้วิธีของซินกู่ฟังภาษาสัตว์
เสียงนกร้องจ้อกแจ้กจอแจจัดได้เป็นสองประเภท
‘รีบมาขึ้นข้าเร็ว’ กับ ‘เป็นบ้าอะไร’
ช่างเป็นดินแดนแห่งเสียงนกร้องส่งกลิ่นหอมบุปผาเสียจริง
เขตอั้นกู่มีความคิดจะสังหารในทุกฝีก้าว หนอนกู่และสัตว์กู่กระโจนออกมาจากเงามืดและโจมตีเจ้าถึงตายได้ทุกเมื่อ
ที่สวี่ชีอันพักอยู่ในเขตนี้นานที่สุดก็เพราะมิอาจสงบลงเพื่อฝึกลมหายใจได้ กระทั่งสังหารหนอนกู่และสัตว์กู่รอบข้างจึงจะมีสภาพแวดล้อมฝึกลมหายใจอย่างสงบใจได้
การปลดปล่อยกลิ่นอายระดับเหนือมนุษย์ใช้ไม่ได้ผล หนอนกู่กับสัตว์กู่หวาดกลัวเพียงผู้แข็งแกร่งระดับสูงประเภทเดียวกัน
เขตที่พลังของซินกู่ปกคลุมเป็นเรื่องปกติที่สุด ทว่าก็แค่ดูปกติ
ในความเป็นจริงที่แห่งนั้นอันตรายที่สุด เพราะพืชและสัตว์ทั้งหมดต่างมีความคิด ‘เป็นเอกภาพ’ คล้ายกับกองกำลังมหาศาลร่วมมือกันกลืนกินสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาในที่แห่งนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับพื้นที่เช่นนี้ สวี่ชีอันไร้หนทางใดๆ จึงได้แต่เปิดพลังเทพวชิระ ปล่อยให้สัตว์กู่และพืชพรรณที่ซินกู่ควบคุมโจมตี ต่างคนต่างดูดซับพลังของเทพเจ้ากู่ในพื้นที่
เมื่อซินกู่เปลี่ยนไปอีกขั้นและถูกควบคุมจากระดับสูงประเภทเดียวกัน ซินกู่ในพื้นที่จะไม่กล้าโจมตีเขาอีก
เมื่อสวี่ชีอันดูดซับพลังทั้งเจ็ดของเทพเจ้ากู่ทีละนิด หลังจากเจ็ดยอดกู่เข้าสู่สมดุล คอจะเกิดอาการชาฉับพลัน
“จะเปลี่ยนแล้ว…”
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิบนพื้นในบัดดล ตอบสนองเจ็ดยอดกู่ด้วยใจ
…
ผู้อาวุโสใหญ่พาผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสสี่เข้าสู่ป่าดึกดำบรรพ์ นัยน์ตาของพวกเขายังเป็นสีเขียว มองสำรวจ ‘พลังของเทพเจ้ากู่’ รอบข้างอย่างละเอียด
“ความหนาแน่นของพลังเทพเจ้ากู่ทางนี้ไม่มีความเปลี่ยนแปลง…”
ผู้อาวุโสใหญ่มองไปรอบๆ สายตาก็หยุดชะงักที่ทางตะวันออกพร้อมเอ่ย “ไปดูทางนั้นเสียหน่อยเถอะ”
ผู้อาวุโสสามเดินไปได้สักพักก็หยุดฝีเท้าลง พบว่า ‘พลังของเทพเจ้ากู่’ ที่นี่เบาบางเล็กน้อย ยังคงมีพลังของเทพเจ้ากู่รอบข้างอบอวลมาเพื่อชดเชย
ผู้อาวุโสสี่ลูบคางพร้อมวิเคราะห์
“มีกู่ตัวใหญ่เกิดงั้นหรือ”
เขาหมายถึงตัวกู่ระดับเหนือมนุษย์
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเผ่าพันธุ์กู่ บางครั้งตัวกู่ระดับเหนือมนุษย์ก็ปรากฏตัวในส่วนลึกของจี๋เยวียน กำเนิดสติปัญญา จากนั้นก็จะออกมาจากแนวหุบเขาลึก ล่าสิ่งมีชีวิตรอบข้างเป็นอาหาร ซึ่งรวมถึงเผ่าพันธุ์กู่ด้วย
ตัวกู่ระดับเหนือมนุษย์สักตัวจะถือกำเนิดขึ้นในรอบหกร้อยหรือเจ็ดร้อยปีโดยประมาณ
เผ่าพันธุ์กู่มีมาตรการรับมือกับสิ่งนี้โดยทุกหกสิบปีผู้นำทุกฝ่ายจะรวมกลุ่มเข้าไปในจี๋เยวียน กวาดล้างตัวกู่ที่แข็งแกร่งด้านใน
ทว่านี่มิอาจทำลายการเกิดของกู่ระดับเหนือมนุษย์ได้สมบูรณ์ เพราะสภาวะของเทพเจ้ากู่ไม่มั่นคง บางครั้งพลังของมันก็ล้นออกมาแน่นหนามหาศาล บางครั้งก็เบาบาง
ไม่มีกฎตายตัว
นี่ก็นำไปสู่ความเป็นไปได้ที่ว่าช่วงไม่กี่ร้อยปีก่อนหน้าอาจจะไม่มีตัวกู่ที่ทรงพลังถือกำเนิดขึ้น แต่ตัวกู่ที่ทรงพลังกลุ่มหนึ่งพลันถือกำเนิดขึ้นในหลายทศวรรษให้หลัง ถึงขั้นถือกำเนิดเป็นสิ่งสุดยอดขึ้น
ผู้นำของเผ่าพันธุ์กู่ทุกฝ่ายมิอาจเฝ้าจี๋เยวียนได้ตลอดเวลา
สายตาของผู้อาวุโสใหญ่ก็เคร่งขรึมในทันใด แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
“มีร่องรอย”
สายตาของผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสสี่มองตามเขา ที่นั่นมีชิ้นเนื้อกระจัดกระจายทั่วพื้น เลือดและอวัยวะสาดไปทั่ว
ผู้อาวุโสใหญ่สาวเท้าเข้ามาใกล้ราวกับบิน คว้าเศษเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาพร้อมเอ่ย
“ยังอุ่นอยู่”
ผู้อาวุโสสามพบศีรษะของกอริลลาหลังดำในพุ่มไม้ด้านข้าง ‘กอริลลา’
ผู้อาวุโสสี่เอ่ย “รวบรวมเนื้อขึ้นมา นำกลับไปต้มซุปเนื้อให้พวกเด็กๆ”
ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามเห็นพ้องต้องกัน
หลังจากรวบรวมเนื้อที่กินได้ ผู้อาวุโสสามจึงเริ่มวิเคราะห์ ผู้อาวุโสใหญ่ตั้งคำถาม
“หากเป็นกู่เหนือมนุษย์ เหตุใดถึงฆ่าแต่ไม่กิน”
ผู้อาวุโสสามตอบคำถาม
“อาจจะอิ่มแล้วกระมัง”
ผู้อาวุโสสี่แย้ง
“เจ้าเคยกินอิ่มเสียที่ไหน”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง พวกเขาก็ตัดสินใจเอาเนื้อที่ยังสดกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
เมื่อหารือกับผู้อาวุโสสามด้านนอก รวมถึงสวี่หลิงอินและมู่หนานจือ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ออกแรงลูบศีรษะของสวี่หลิงอิน พร้อมยิ้มอย่างเบิกบาน
“กลับถึงบ้านจะต้มซุปเนื้อให้เจ้านะ”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างเริงร่าพร้อมกลืนน้ำลาย
มู่หนานจือมองฉากนี้ก็สงสัยอย่างไร้เหตุผล น้องสาวของสวี่ชีอันผู้นี้ขโมยจากเผ่าลี่กู่กลับเมืองหลวงหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าเป็นคนต่างถิ่น ทว่าเมื่อนางมาถึงเผ่าลี่กู่ก็เหมือนได้กลับบ้าน อยู่ร่วมกับคนเผ่าพันธุ์ลี่กู่ได้กลมกลืนอย่างน่าประหลาด
“พี่ใหญ่ของเจ้ายังไม่กลับมางั้นหรือ”
ผู้อาวุโสสี่เอ่ยถาม
“เอ๋ ทำไมพี่หญ่ายไม่อยู่แล้ว”
สวี่หลิงอินราวกับเพิ่งรู้ว่าพี่ใหญ่หายไป
ผู้อาวุโสใหญ่ปรายตามองชิ้นเนื้อที่อุ้มอยู่ในอกก็พลันชะงัก ในที่สุดก็เชื่อมโยงบางอย่างได้ แล้วขมวดคิ้วเอ่ย
“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนฆ่าเจ้านี่หรอกหรือ”
ผู้อาวุโสสี่พึมพำ
“เป็นไปได้”
ผู้อาวุโสใหญ่ถามอีก
“เช่นนั้นที่พลังของเทพเจ้ากู่เบาบางก็เป็นเพราะเขาใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสสี่พึมพำ
“ไม่มีทาง เขาไม่ใช่คนเผ่าลี่กู่แบบพวกเรา ลี่น่าไม่มีทางถ่ายทอดวิชาลับในเผ่าให้คนนอกเผ่า…”
พูดไปพูดมา เหล่าผู้อาวุโสต่างก็พร้อมใจกันเงียบ แล้วมองไปที่สวี่หลิงอิน
พวกเขาพลันนึกขึ้นได้ วิชากู่ของสวี่หลิงอินศิษย์รักก็ถ่ายทอดมาจากลี่น่า เหตุผลก็คือเด็กคนนี้มีพรสวรรค์
หาก หากเจ้านั่นก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญลี่กู่ล่ะ
ผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนสีหน้า “ไปๆๆ กลับไปถามลี่น่ากันเถอะ”
…
กลุ่มผู้อาวุโสใหญ่กลับไปที่เผ่าลี่กู่ วิ่งตรงไปที่เรือนใหญ่ที่หัวหน้าเผ่าอาศัยอยู่
“ลี่น่า ลี่น่า! ”
ผู้อาวุโสใหญ่ตะเบ็งเสียงเรียกอยู่พักหนึ่ง
ลี่น่าวิ่งประคองชามไม้ออกมา ในชามพูนด้วยยาผีบอกที่เกือบจะล้นออกมา
“อะไรกัน…”
ผู้อาวุโสใหญ่สาวเท้ารุดไปข้างหน้า ถลึงตาด้วยสีหน้าตื่นตัว “เจ้าถ่ายทอดวิชาลับของลี่กู่ให้สวี่ชีอันนั่นแล้วใช่หรือไม่”
ลี่น่ากินพลางตอบคำถาม “เปล่า ข้ามีหลิงอินเป็นศิษย์คนเดียว”
ผู้อาวุโสเอ่ยแก้ทันที “เจ้าเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดให้ พวกข้าต่างหากเป็นอาจารย์ของนาง”
ผู้อาวุโสต่างโล่งใจพร้อมกับผิดหวังเล็กน้อย
โล่งใจเพราะหญิงสาวผู้โง่เขลาเช่นลี่น่าไม่ได้เที่ยวแพร่งพรายวิชาลับในเผ่าอย่างเสียสติ
ผิดหวังที่หากเรื่องนี้เป็นจริง เช่นนั้นสวี่ชีอันอาจจะมีพรสวรรค์ที่น่ากลัวกว่าสวี่หลิงอิน
“เหตุใดสวี่หนิงเยี่ยนไม่กลับมา”
ลี่น่ามองลอดไปทางด้านหลังด้วยสีหน้าเบิกบาน “ท่านพ่อกลับมาแล้ว”
ทุกคนหันไปมองข้างหลัง หลงถูเดินเท้าเปล่าเข้ามาด้วยจังหวะเท้ามั่นคง
เมื่อเดินใกล้เข้ามา ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นก็พบว่าหลงถูสีหน้าเคร่งขรึม
“มีเรื่องอะไรหรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่ค้ำไม้เท้าพร้อมเอ่ยถาม
นี่ไม่จำเป็นต้องใช้สมองตราบใดที่รู้จักหลงถูมากพอ
หลงถูพยักหน้า “มีคนต่างถิ่นบอกว่ามาจากอวิ๋นโจว หวังให้พวกเรายกทัพสู้กับต้าฟ่ง”
เขาอธิบายเรื่องการประชุมและเงื่อนไขของโหรจากอวิ๋นโจวกับเหล่าผู้อาวุโสอย่างละเอียด
“เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้บุ่มบ่ามตัดสินใจ ทว่าถามความเห็นจากหลงถูก่อน
“ไม่สู้แน่นอน สู้ไปก็ไม่เหลือศิษย์แล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายอีกเท่าไร นอกจากนี้ลูกศิษย์ใหญ่ของท่านโหราจารย์อะไรนั่นก็ไม่คุ้นเคยกับพวกเรา เขาพูดประโยคเดียวก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเราจะโง่ทำตาม”
หลงถูเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“ทว่าหากเป็นเรื่องจริง อีกหกเผ่าที่เหลือจะต้องสู้เป็นแน่” ผู้อาวุโสใหญ่สรุป
“หากพวกเราไม่สู้ แล้วเกิดชนะในวันหน้า พวกเราก็จะไม่ได้ประโยชน์ ตำแหน่งของเผ่าลี่กู่ในเผ่าพันธุ์กู่ก็จะลดลงเช่นกัน” ผู้อาวุโสรองเอ่ย
หลงถูเอ่ยเสียงดัง
“ไม่กลัว รอหลิงอินเลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์ในอนาคต เผ่าของพวกเราก็จะมีเหนือมนุษย์สามคน สถานะมีแต่สูงไม่มีต่ำ ข้าคิดไว้นานแล้ว แม้จะไม่สู้ พวกเราก็เป็นเผ่าพันธุ์กู่ที่แข็งแกร่งที่สุด”
ใบหน้าชราของผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มเบิกบาน
“สมกับเป็นเจ้าจริงๆ เจ้าเด็กเหลือขอเลือกไม่ผิดที่ให้เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าในตอนนั้น ดูสายตาข้าสิว่าชั่วร้ายเพียงใด”
มู่หนานจือกุมขมับและถอยหลังหลายก้าว
หลงถูยิ้มแสยะ แล้วสีหน้าก็พลันเคร่งขรึม
“พวกเขาเตรียมออกล่าสวี่ชีอัน ข้าบอกว่าจะไม่ยุ่ง ทว่าไม่ยุ่งไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้ไม่ตลกเอาเสียเลย”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ขมวดคิ้วสักพัก
“พวกเขามาแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า เงาบิดเบี้ยวปรากฏเงามืดอย่างช้าๆ
เมื่อเงามืดหายไป ร่างทั้งห้าก็ปรากฏอยู่ใต้ร่มเงา
ซากศพเดินได้ที่สวมผ้าคลุม หลวนอวี้ในชุดเกาะอกสีขาวและกางเกงชั้นในพร้อมกระโปรงยาวผ้าพลิ้วสวมอยู่ด้านนอก ฉุนเอียนห้อยงูน้อยตัวเรียวยาวไว้บนหูทั้งสองข้าง ป๋าจี้ที่อยู่ในชุดคลุมยาวเย็บจากหนังสัตว์ และแม่ย่าเทียนกู่ผมเงินทั่วทั้งศีรษะพร้อมรอยย่นกระจายอยู่ทั่ว
กระทั่งหัวหน้าของเผ่าอั้นกู่ เขาไม่ได้ปรากฏตัว แต่ซ่อนตัวอยู่ในร่มเงาเป็นอย่างดี
ซากศพเดินได้ในชุดคลุมเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“คนสกุลสวี่อยู่ที่ไหน”
………………………………………