ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 658 สิงเทียน?
บทที่ 658 สิงเทียน?
ในระหว่างที่ร่วงลงมา อาซูหลัวก็คำรามร้องและง้างกำปั้นโจมตีสวี่ชีอัน
‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ’…หมัด ศอก เข่า และส่วนอื่นๆ กลายเป็นอาวุธที่แหลมคมที่สุด เขาโจมตีจนสวี่ชีอันที่เสียพลังเทพวชิระและกระดูกหักไปหลายท่อน ทั้งยังมีเลือดสาดกระเซ็นเป็นสาย
แต่ไม่นาน พลังของอาซูหลัวก็เริ่มอ่อนลง เขากลับมาหายใจเป็นปกติ แต่ทุกครั้งที่โคจรปราณเพื่อโจมตีล้วนแต่ทำให้เจ็บปวดที่หัวใจอย่างรุนแรง แขนขาล้วนไร้ซึ่งกำลังและวิงเวียนศีรษะ
พลังปราณที่เดิมทีไหลเวียนอย่างราบรื่น ในตอนนี้กลับกลายเป็นภาระหนักของร่างกายเสียแล้ว
“เป็นอย่างไร? รสชาติของตะปูตอกวิญญาณไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันพ่นเลือดออกมาแล้วเอ่ยเยาะเย้ย
“หัวใจนั้นเป็นแกนหลักของอวัยวะทั้งห้า พอไม่มีมันแล้ว แก่นโลหิตอสุราของเจ้ายังจะโคจรไปได้สักกี่น้ำ”
เขาหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง หมัดหนักๆ กระแทกเข้าที่หน้าผากของอาซูหลัวจนเบื้องหน้าเห็นดาววาววับ ดวงตาก็เหลือกขึ้นจนเห็นตาขาว
เมื่อจอมยุทธ์ต่อสู้กัน แก่นโลหิตล้วนต้องอาศัยหัวใจในการโคจร เมื่อมันหยุดส่งกระแสเลือด สมองก็จะขาดอากาศ เลือดในร่างกายก็จะหยุดชะงัก และแขนขาทั้งสี่ก็จะไร้เรี่ยวแรง
ความเจ็บปวดทรมานของมัน สวี่ชีอันตระหนักรู้ดีที่สุด พลังชีวิตที่แข็งแกร่งเหนือกว่าจอมยุทธ์คนใดทำให้เขาไม่อาจเสียชีวิต แต่ความทรมานยังคงสถิตอยู่ทุกชั่วขณะ
โชคดีที่ตอนที่เขาเลื่อนสู่ขั้นหลอมวิญญาณ เขาได้ฝึกฝนจิตเดิมจนแข็งแกร่งยิ่งยวดและพลังจิตตานุภาพก็มั่นคงแล้ว ดังนั้นจึงยังไม่แตกสลายเพราะถูกความเจ็บปวดทรมานเคี่ยวกรำ
จอมยุทธ์ชั้นยอดทุกคนล้วนแต่มีจุดแข็งที่น่าสะพรึงกันทั้งนั้น
เขาสูดหายใจลึก บาดแผลทะลวงที่หน้าอกและอาการบาดเจ็บต่างๆ บนร่างกายฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว สวี่ชีอันเริ่มทำการโจมตีกลับ ทั้งกำปั้น ศอก เข่า ส่วนที่แข็งต่างๆ ของร่างกายล้วนกลายเป็นอาวุธ เมื่อครู่อาซูหลัวโจมตีเขาอย่างไร เขาก็โจมตีคืนให้แบบนั้น
‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’…
เสียงใสกระจ่างดุจดังลำไผ่ระเบิดดังขึ้น เลือดไหลกระเซ็นออกมาจากร่างของอาซูหลัวไม่หยุด
บุตรแห่งราชันอสูรสองตาแดงก่ำ ปากร้องคำรามราวกับสัตว์ดุร้ายและพยายามต่อต้านเต็มกำลัง แต่กลับยากจะกลับมาเป็นต่อได้อีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง ซุนเสวียนจีลงมาสู่ยอดเจดีย์อย่างแผ่วเบา ปลายเท้าบังเกิดเป็นค่ายกลทรงกลมขึ้นมาทีละชั้นๆ ค่ายกลทรงกลมสิบสองชิ้นกำลังจะแบ่งเจดีย์ให้เป็นสิบสองส่วนเท่าๆ กัน
จากนั้นค่ายกลหกชิ้นด้านบนก็เริ่มหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนหกชิ้นด้านล่างก็เริ่มหมุนทวนเข็มนาฬิกา
‘พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!’
อักขระพุทธสีทองที่ปกคลุมภายนอกเจดีย์ที่ถูกผนึกทยอยระเบิดออก นี่ไม่ใช่แรงระเบิดทำลายทั่วไป แต่เป็นวิธีการทำลายที่ล้ำเลิศยิ่งกว่า นั่นคือการทำให้อักขระพุทธที่ก่อตัวเป็นผนึกค่ายกลขนาดใหญ่ถูกทำลายยันรากฐาน
ภิกษุที่ดูอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นภาพนี้ต่างก็มีสีหน้านิ่งงัน เช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ พวกเขาไม่เข้าใจการต่อสู้เหนือสามัญที่เปลี่ยนผันจนคาดเดาไม่ได้เช่นนี้เลย
โจรต่างแดนสองคนนี้สามารถบีบให้อาซูหลัวผู้สูงส่งเปิดใช้พลังแห่งสายเลือดได้ เช่นนี้นับว่าเป็นการต่อสู้ที่แม้ตายก็สมเกียรติแล้ว
นี่เป็นความจริง เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับอาซูหลัวผู้สูงส่งที่เปิดใช้พลังแห่งสายเลือด ระดับเพชรที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนั้นก็ถอยร่นและวิ่งหนีหางจุกตูดไป
โหรที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นกล้าก็แต่ลอบยิงข้างหลัง
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากอาซูหลัวผู้สูงส่งไล่สังหารขึ้นไปที่ป้อมแล้ว สถานการณ์ก็พลิกผัน ระดับเพชรต่างแดนที่ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนฝ่ายไหนกลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ และโจมตีจนอาซูหลัวผู้สูงส่งไม่อาจโต้กลับได้เลย
อีกอย่างนี่ไม่ใช่การได้เปรียบโดยบังเอิญ พวกเขามองเห็นได้ชัดว่าลมหายใจของอาซูหลัวผู้สูงส่งลดลงอย่างรวดเร็ว
“จะ…จัดกระบวน…”
ภิกษุชราริมฝีปากสั่นเทา เขาตะโกนลั่นด้วยภาษาของดินแดนประจิมทิศ
“รีบจัดกระบวนเร็วเข้า ไปช่วยอาซูหลัวผู้สูงส่งสังหารศัตรูจากภายนอกนั่นแล้วคุ้มกันเจดีย์ไว้”
“รนหาที่ตาย!”
สวี่ชีอันเตะเข้าที่หน้าอกของอาซูหลัวด้วยสองเท้า พร้อมกับขว้างดาบไท่ผิงออกมา
‘ชิ้ง…’
ไท่ผิงกรีดร้องออกมาแล้วกลายเป็นลำแสงสีทองหม่นราวกับปลาที่แหวกว่าย แล้วฟันลงไปในหมู่ภิกษุทั้งหลายอย่างเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ
ทุกที่ที่มันฟันผ่านไป เหล่าฉานซือต่างก็ต้องล้มลงกับพื้น บ้างก็ลอยขึ้น บ้างก็ลำตัวด้านบนและด้านล่างแยกจากกัน หรือไม่ก็เข่าทั้งสองข้างถูกฟันขาด
มีเพียงฉานซือขั้นสี่เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถใช้วิชาฉานออกมาในช่วงเวลาสำคัญ แสงแห่งพุทธเข้ามาคุ้มกายแล้วต้านทานการฟาดฟันจากลำแสงแห่งดาบเอาไว้
ในบรรดาพลังต่อสู้ที่เหนือสามัญในอดีต ดาบไท่ผิงนั้นแสดงพลังออกมาได้สงบนิ่งสมชื่อ ถึงขั้นออกจะยืดหยุ่นโอนอ่อนไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่แข็งแกร่ง
หลักๆ คือสถานะของศัตรูที่เจ้านายของมันพบเจอนั้นอยู่สูงเกินไปทั้งนั้น ดาบน้อยๆ ที่เพิ่งจะบังเกิดจิตวิญญาณได้ไม่นานอย่างมันเลยยากจะฟาดฟันเพื่อตัดสินชัยชนะให้ชี้ขาดได้
แต่ระหว่างนี้มันได้ปราณมังกรหล่อเลี้ยง ประกายดาบจึงยิ่งคมกริบยิ่งกว่าเดิม
มันเริ่มเติบโตขึ้นและสามารถแสดงแสนยานุภาพออกมาได้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ได้แล้ว
ตอนนี้การได้ต่อกรกับฉานซือกลุ่มนี้ ไม่อาจพูดว่าเหมือนหั่นผักหั่นแตง แต่กล่าวได้เพียงแค่ว่าเหมือนกับการหั่นเต้าหู้
“จัดกระบวนอยู่กับที่!”
ภิกษุชราคนหนึ่งตะโกนบอก
เหล่าฉานซือพากันตอบสนองโดยทันที คนหลายคนหรืออาจสักสิบกว่าคนพากันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมและเริ่มจัดกระบวนเป็นค่ายฉาน
ผลคือสามารถต้านทานอาวุธเทพที่ไร้เทียมทานนี้ได้ และทำให้มันยากจะทะลวงแสงทองคุ้มกายาที่เปล่งออกมาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ได้ แต่เช่นนี้ทำให้ภิกษุทั้งหลายไม่มีกำลังจะไปช่วยเหลืออาซูหลัวและซุนเสวียนจีไม่ให้ทำลายค่ายกล
เสียงคานหักดัง ‘แกร่ก’ พร้อมกับเสียงอิฐที่แตกกระจายดัง ‘โครม’ เป็นสัญญาณบอกว่าในที่สุดเจดีย์ที่ถูกผนึกแห่งนี้ก็ไม่อาจรับได้ไหว และล่มสลายในที่สุด
ซุนเสวียนจีจึงมองเห็นภาพภายในเจดีย์ได้ชัดเจน
ตรงกลางชั้นที่หนึ่งมีฐานแปดเหลี่ยมที่ถูกหล่อด้วยทองคำ บนฐานนั้นมีแท่นดอกบัวที่หล่อด้วยทองคำอยู่หนึ่งแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นตัวฐานหรือว่าดอกบัวก็ล้วนแต่มีอักขระพุทธคงอยู่แน่นขนัดซึ่งเป็นส่วนของค่ายกลผนึก แต่ตอนนี้สัญลักษณ์แห่งสำนักพุทธเหล่านั้นกำลังหม่นแสงและกลายเป็นลายสลักธรรมดาๆ ไร้ซึ่งมนตร์ขลังอีกต่อไป
บนแท่นดอกบัวมีขาที่สองข้างแข็งแกร่งเรียวยาววางอยู่ บนนั้นมีกล้ามเนื้อเป็นวงโค้งราบเรียบ
มันถูกผนึกอยู่ที่นี่มาห้าร้อยปี แต่กลับไม่มีร่องรอยว่าจะเหือดแห้งเหี่ยวเฉาแม้แต่นิด และยังคงสดใหม่เหมือนกับขาของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เจดีย์ที่ถูกผนึกนั้นมีทั้งหมดสามชั้น และทุกชั้นล้วนมีฉานซือกลุ่มหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
เมื่อเจดีย์เริ่มล่มสลาย ฉานซือเหล่านี้ที่ยังคงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิก็พากันร่วงหล่น แต่ถึงแม้จะร่วงตกมาจากที่สูงกัน พวกเขาก็ยังคงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ไม่ฟื้นตื่น และไม่ต่อต้าน
ซุนเสวียนจีเปิดถุงออกแล้วเล็งไปยังขาคู่นั้น
ถุงหอมหมุนวนและดูดท่อนขาคู่นั้นเข้าไปอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองฉานซือกลุ่มนั้นที่เอนล้มซ้ายทีขวาทีราวกับรูปสลัก เขาลังเลพักหนึ่ง สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารฉานซือเหล่านี้ทิ้งไป
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกัน ฉานซือเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ในสายตาของศิษย์พี่ซุน
เขาไม่อาจบอกให้ตนเองสังหารผู้บริสุทธิ์ได้
แม้ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งในอนาคตที่ฉานซือเหล่านี้จะกลายเป็นศัตรูของเขา แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต หากถึงเวลานั้นจริงๆ เมื่อเขาสังหารศัตรูก็ย่อมไม่ออมมือให้แน่
“เยี่ยม!”
ซุนเสวียนจีคำรามเสียงสั้นๆ จากนั้นที่ใต้เท้าก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาแล้วส่งตัวเขากลับไปยังป้อมปืนใหญ่
บนป้อมมีแสงสว่างไสวแล้วสลายหายไปกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด
เมื่อเห็นดังนั้น สวี่ชีอันก็ไม่ลังเลอีก เขาหยุดการประมือกับอาซูหลัวแล้วจดจ้องไปยังเจดีย์พุทธะที่พุ่งขึ้นมากลางอากาศแล้วตะโกนว่า
“ไท่ผิง!”
ดาบไท่ผิงกู่ร้องแล้วให้เจ้านายเหยียบลงไปบนนั้น หนึ่งคนหนึ่งดาบจึงทะลวงท้องฟ้าบินจากไป
ไม่ใช่ว่าสวี่ชีอันมีความเมตตายอมรามือ แม้กลิ่นอายของอาซูหลัวจะลดลงเมื่อโดนตะปูตอกวิญญาณหนึ่งตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าบุตรแห่งราชันอสูรผู้นี้จบสิ้นแล้ว เขายังคงอยู่ในระดับผู้อยู่เหนือสามัญ
และจอมยุทธ์ก็ขึ้นชื่อเรื่องตายยาก อวัยวะของเสินซูก็ชิงมาได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปอีก หากอยู่นานไปสถานการณ์อาจเปลี่ยนได้
…
วัดหนานฝ่าที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มีสภาพเละเทะยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่กระจุกอยู่ทางตะวันตก พื้นที่แถบนั้น นอกจากดาบที่สวี่ชีอันฟันออกมาทะลวงวัดหนานฝ่าไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้สาหัสอะไรนัก
อาซูหลัวนั่งขัดสมาธิอยู่บนลานที่ยังคงสภาพดี ฉากหลังคือเจดีย์ที่ล่มสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ผิวของเขาไม่ได้ดำสนิทอีกต่อไป แต่ก็ไม่ใช่สีทองหม่นในแบบเฉพาะของระดับเพชรเช่นกัน วงแหวนด้านหลังศีรษะดับแสงลง ตอนนี้เขามองดูแล้วเหมือนกับภิกษุธรรมดาๆ รูปหนึ่ง
อย่างมากก็คือพระอาจารย์หน้าตาขี้ริ้วคนหนึ่ง
ตะปูสีทองนอนอย่างนิ่งสงบอยู่ตรงหน้าเขา
อาซูหลัวผู้สูงส่ง ย่อมมีวิธีลับที่สามารถถอนตะปูตอกวิญญาณออกอย่างแน่นอน ทั้งยังมีพลังที่จะทำได้ด้วย
โชคดีที่มีตะปูตอกวิญญาณเพียงแค่หนึ่งดอก แม้ว่าจะทำให้พลังของเขาอ่อนลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เขาใช้การไม่ได้ เขายังคงเหลือพลังถอนมันออกให้กับตัวเอง
ถ้าหากว่ามีตะปูตอกวิญญาณเก้าดอกพร้อมใจกันเข้าสู่ร่างกาย เขาก็ทำได้เพียงกลับไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ที่อรัญตาแล้ว
ภิกษุชราคนหนึ่งเดินนำลูกศิษย์สิบกว่าคนเข้ามาในแถบตะวันตก เหล่าลูกศิษย์หยุดอยู่กับที่ ส่วนภิกษุชราก้าวขึ้นไปประนมมือทั้งสิบ
“อาซูหลัวผู้สูงส่ง ชิ้นส่วนของภิกษุมารถูกชิงไปแล้ว ควรจะทำเช่นไรดีขอรับ”
ภิกษุชราผู้นี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ร่างกายผอมแห้งราวกับไม้ฟืน เขาคือไต้ซือผานเนี่ยนเจ้าอาวาสประจำวัดหนานฝ่า
อายุหนึ่งร้อยเก้าปี
สำนักพุทธในปัจจุบัน ในสายตาของศิษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่ผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพนับถือล้วนแต่เป็นบุคคลในรุ่นตัวอักษร ‘ผาน’ ส่วนรุ่นก่อนหน้านี้เป็นตัวอักษร ‘ตู้’ ซึ่งภิกษุในรุ่นตัวอักษร ‘ตู้’ นั้น หากไม่ได้เป็นผู้อยู่เหนือสามัญ ก็ล้วนแต่กลายเป็นดินเหลืองไปนานแล้ว
ส่วนผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือสามัญ ก็ไม่อาจใช้คำว่ามีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพนับถือมาอธิบายได้แล้ว
“เราจะรายงานพระโพธิสัตว์กว่างเสียน”
อาซูหลัวนั่งขัดสมาธิอย่างเปี่ยมบารมี ไร้ซึ่งสุขหรือเศร้า
“ต้องส่งศิษย์ในสำนักไปตามล่าเผ่าพันธุ์ปีศาจในภูเขาสือว่านหรือไม่ขอรับ”
สำนักพุทธตั้งอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้มาหลายปี มีทหารกองกำลังพร้อมพรัก ยอดฝีมือก็ยิ่งมีมากมาย แข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจนัก แต่ก็ยังไม่อาจรวมภูเขาสือว่านให้เป็นหนึ่งเดียวได้
อาซูหลัวส่ายหน้า
“สั่งลงไปทั่วทุกแห่งให้กักตุนเสบียงอาหาร ยารักษาโรค เสริมความมั่นคงให้กำแพงเมือง และถอนต้นไม้ใบหญ้าเพื่อถางทาง”
เจ้าอาวาสผานเนี่ยนตกใจ
“ท่านหมายความว่า…”
คำสั่งเหล่านี้ แต่ละอย่างล้วนเป็นเรื่องที่ใช้ในยามอดอยากและช่วงศึกสงคราม แต่ทรัพยากรในภูเขาสือว่านมีมากมายให้ใช้ได้ไม่รู้จักหมด ไม่มีปัญหาเรื่องความอดอยากแน่นอน
ดังนั้นคำตอบจึงมีเพียงหนึ่งเดียว
สีหน้าของอาซูหลัวเคร่งขรึม ยังคงท่าทางประนมมือเอาไว้
“ปีศาจทักษิณอดทนมาห้าร้อยปีและลักลอบสั่งสมกำลัง ตอนนี้ได้โอกาสที่จะกลับมาอีกครั้งแล้ว เรื่องนี้ข้าจะติดต่อกับฝั่งอรัญตาเอง เมื่อภูเขาสือว่านเข้ามาอยู่ในแผนที่ของสำนักพุทธก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไป ครั้งนี้ พวกเราจะทลายชะตากรรมของปีศาจทักษิณให้หมดสิ้น”
เจ้าอาวาสผานเนี่ยนถอนหายใจออกมาแล้วถามข้อสงสัยที่รบเร้าในใจมานาน
“ระดับเพชรที่ต่อสู้กับท่านเมื่อครู่นี้คือใครหรือขอรับ”
อาซูหลัวถามกลับ “ผู้ที่ฝึกวิชาระดับเพชรและเป็นจอมยุทธ์เหนือสามัญแห่งต้าฟ่งที่มีความสัมพันธ์กับสำนักโหราจารย์ เจ้าคิดว่าเป็นใครได้ล่ะ”
สมองของเจ้าอาวาสผานเนี่ยนมีชื่อผุดขึ้นมาหนึ่งชื่อ…สวี่ชีอัน!
“เป็นเขา…”
สีหน้าของเจ้าอาวาสผานเนี่ยนซับซ้อน เขาเอ่ยด้วยท่าทางใจสลาย
“บุตรผู้นี้เติบโตจนมาถึงขั้นนี้แล้วแต่ไม่อาจนำเขาเข้าสู่สำนักพุทธได้ ช่างเสียโอกาส เสียโอกาสครั้งใหญ่ไปโดยแท้”
น้ำเสียงของเขาทั้งชิงชังและเสียดาย
…
ในหุบเขา ข้างกองไฟที่ลุกโชน
เหมียวโหย่วฟางและผู้พิทักษ์หงอิง ผู้พิทักษ์ชิงมู่ ผู้พิทักษ์วานรขาว รวมถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจสิบกว่าตนต่างพากันพูดคุยหัวเราะและร้องเพลงเต้นระบำเพื่อเฉลิมฉลองที่ปฏิบัติการสำเร็จลุล่วง
“สมแล้วที่ดินปืนของต้าฟ่งมีชื่อเสียงขจรไกล ระเบิดได้น่าประทับใจจริงๆ”
ปีศาจม้าตัวหนึ่งตบอกตนเองแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “แทบจะรอกำจัดคนจากแดนตะวันตกทิ้งไม่ไหวแล้ว เราจะได้ช่วยเหลือพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตกที่นั่งลำบากได้สักที”
ผู้พิทักษ์หงอิงรีบยกจอกสุราขึ้นทันที “ปฏิบัติการครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ก็เพราะฆ้องเงินสวี่และพี่เหมียวมีส่วนเป็นอย่างมาก พวกเรามาดื่มเพื่อเป็นเกียรติแด่แขกผู้มีเกียรติจากแดนไกลกันเถอะ”
พูดไปพูดมาก็ดันตัวเหมียวโหย่วฟางไปยังกลางเวทีจนกลายเป็นจุดรวมสายตาของปีศาจทุกตน
เหมียวโหย่วฟางได้ยินเสียงเรียก ‘จอมยุทธ์เหมียว’ ดังเป็นทอดๆ แม้คนจะยังไม่เมา แต่จิตใจก็มัวเมาไปแล้ว
“ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว!”
เหมียวโหย่วฟางคำนับและเอ่ยเสียงดัง
“เมื่อเจอเรื่องอยุติธรรมย่อมเข้าช่วยเหลือ นี่คือเรื่องที่คนจากภาคกลางย่อมต้องกระทำ แม้ทุกท่านเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ความกระตือรือร้นและความซื่อตรงของพวกท่าน ในสายตาของข้า คู่ควรแก่การผูกมิตรมากกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่เสียอีก
“ข้าแซ่เหมียวขอเคารพท่านหนึ่งจอก”
ขณะที่เงยหน้าดื่มสุรา เขาก็กวาดตามององค์เอวคอดบางของปีศาจสาวรูปร่างหน้าตางดงามไปด้วย
‘ไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเปิดกว้างเรื่องความรักชายหญิงหรือไม่นะ ข้าเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อปาระเบิดไปทั่วทุกที่ หากพวกเขาจะส่งปีศาจสาวมาปรนนิบัติสักสองสามคนน่าจะไม่เกินไปกระมัง ได้มาคลุกคลีกับฆ้องเงินสวี่ช่างดีเสียจริง…’ ความคิดของเหมียวโหย่วฟางเต็มไปด้วยจินตนาการ
ตอนนี้เอง เขาก็พบว่าดวงตาสีฟ้าใสของผู้พิทักษ์วานรขาวที่อยู่ไกลๆ กำลังจดจ้องมาที่ตนอยู่
‘แย่แล้ว!!’
เหมียวโหย่วฟางใจตกไปที่ตาตุ่ม ความตื่นตัวพลุ่งพล่าน ถ้าหากให้เจ้าปีศาจลิงตัวนี้พูดความคิดเมื่อครู่ที่อยู่ในใจของตนออกมา เช่นนั้น เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นหลี่หลิงซู่อีกคนหรือไม่
พอถึงตอนนั้น คงทำได้เพียงปกปิดใบหน้าแล้วหนีออกจากภูเขาสือว่านเท่านั้นแล้ว
ในช่วงเวลาสำคัญนี้เอง ผู้พิทักษ์หงอิงก็ทิ้งจอกสุราในมือแล้วพุ่งไปหาผู้พิทักษ์หยวน จากนั้นก็กดเขาไว้กับพื้น สองมือปิดปากหนาๆ ของเขาเอาไว้แน่นสนิท
“เจ้าอย่าได้พูดออกมาเชียว!”
ผู้พิทักษ์หงอิงเอ่ยเตือน
ผู้พิทักษ์ผู้พิทักษ์วานรขาวมองเขาอย่างดื้อรั้นแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
ความสามารถของเขาอยู่เหนือขอบเขตของขั้นสี่ ไม่ใช่คนที่ตนคิดจะควบคุมก็ควบคุมได้เลย
เมื่อเห็นดังนั้น ผู้พิทักษ์ชิงมู่ก็จับไม้เท้าเถาวัลย์เอาไว้อย่างเงียบงัน
ผู้พิทักษ์วานรขาวเหลือบมองไม้เท้านั่นแล้วพยักหน้าเงียบๆ
ผู้พิทักษ์หงอิงจึงปล่อยมือออก
ผู้พิทักษ์วานรขาวจึงฉีกมุมเสื้อแล้วนำมาปิดตา จากนั้นก็หันหลังให้กับทุกคน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงความในใจของทุกคนจะยังเข้ามาในหูของเขา แต่เขาก็ไม่อาจแยกแยะได้แล้วว่าความในใจนั้นเป็นของใครบ้าง
เหมียวโหย่วฟางถอนหายใจโล่งอก แล้วจับมือผู้พิทักษ์หงอิงไว้แน่น ก่อนเอ่ยพูดอย่างจริงใจ
“ผู้พิทักษ์หงอิง สหายตลอดชีวิตของข้า”
…
ภายในถ้ำ
หลังจากใช้ยาอายุวัฒนะของซุนเสวียนจีและปรับลมหายใจเล็กน้อยแล้ว กลิ่นอายของสวี่ชีอันก็กลับมาอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้ง
“อาซูหลัวน่ากลัวเกินไป เขาไม่ใช่ผู้ที่ขั้นสามจะสามารถต่อกรได้เลย”
สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมความกลัวที่ยังสถิตอยู่ในใจ
“สวี่หลางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เย่จีรินชาให้อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เมื่อสวี่ชีอันดื่มหมดแล้วนางก็เอ่ยว่า
“ร่างกายชิ้นนี้ของไต้ซือเสินซูจะสามารถช่วยให้สวี่หลางถอดตะปูตอกวิญญาณไปได้สองดอก เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็เหลือเพียงตะปูตอกวิญญาณดอกเดียวแล้ว”
“ยินดีด้วยๆ” ไป๋จียกอุ้งเท้าสองข้างของมันขึ้นทำท่าทางคำนับ
ซุนเสวียนจีที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
“ยอด…”
เย่จีเหลือบมองเขาพร้อมรอยยิ้ม รออยู่นานแต่ประโยคต่อมาก็ยังไม่มีสักที จึงหันกลับมามองคนรักด้วยความงุนงง
ตอนนี้เอง ซุนเสวียนจีก็พลันโพล่งขึ้นมา
“เยี่ยม!”
ยอดเยี่ยม…เย่จีมองสวี่ชีอันตาใส ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาจึงเชิญให้ผู้พิทักษ์วานรขาวมาช่วยพูดแทนซุนเสวียนจี
“ชินแล้วจะดีเอง”
สวี่ชีอันส่งเสียงในใจบอกไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็หันมามองซุนเสวียนจี “ศิษย์พี่ซุน นำชิ้นส่วนของเสินซูออกมาเถอะ”
ซุนเสวียนจีปลดถุงหอมที่ห้อยอยู่กับเอวแล้วเปิดออก จากนั้นก็เทลงมาเบาๆ
‘พลั่ก!’
ขาสองข้างหล่นลงมา
สวี่ชีอันมองพินิจดูขาสองข้างที่มีกล้ามเนื้อเรียบเนียนนั่น จากนั้นก็หันไปมองฝูเซียง
“ไม่มีวิญญาณอยู่?”
เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของจิตเดิมในท่อนขานี้ได้เลย
เย่จีอธิบาย
“ผนึกไว้ห้าร้อยปี ไต้ซือกำลังหลับใหล จึงจำเป็นต้องใช้แก่นโลหิตมาปลุกเขา ไม่มากหรอก แค่หนึ่งหยดก็เพียงพอ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นแก่นโลหิตของสวี่หลาง ใช้ของข้าก็ได้”
ซุนเสวียนจีกวาดตามองถ้ำหิน แล้วมองหาแผ่นกระดาษ น้ำหมึก และพู่กันด้วยตนเอง จากนั้นก็เขียนออกมาว่า
“มีลำตัว แขนสองข้าง และขาสองข้างแล้ว แต่ศีรษะล่ะ?”
“ศีรษะน่าจะอยู่ที่อรัญตา ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้เฝ้าดูอยู่” สวี่ชีอันนึกถึงคำพูดของแขนของซ้ายที่ชั่วร้ายภายในเจดีย์พุทธะ
ไต้ซือเสินซูในตอนนี้เป็นสิงเทียน[1]ตัวจริงเสียงจริงแล้ว อืม ต้องหาขวานให้เขาสักด้ามแล้วสิ…เขาคิดอยู่ในใจ
“สวี่หลาง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจิตเดิมที่อยู่ในชิ้นส่วนร่างกายนี้เป็นด้านดีหรือร้าย เช่นนั้นข้าขอรายงานให้นายหญิงทราบก่อนนะเจ้าคะ”
ฝูเซียงยังคงทำสิ่งใดได้รอบคอบระมัดระวังดียิ่ง…สวี่ชีอันตอบรับ ‘อืม’
เย่จีรีบหยิบธูปหอมทรงจิ้งจอกออกมาทันที จากนั้นจุดธูปสีดำแล้วรอให้ควันเขียวลอยขึ้นมา ก่อนจะสูดดมเข้าจมูกเต็มแรง
พักหนึ่ง เจตจำนงอันแข็งแกร่งก็ฟื้นตื่นขึ้นในร่างกายของนาง ตาซ้ายเกิดแสงสีใสเป็นทรงหมอกควันขึ้นมา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่พูดอะไร แต่ใช้สายตามองจ้องขาทั้งสองที่วางอยู่บนโต๊ะ
……………………………………
[1] 刑天 สิงเทียน เทพที่มีแต่ตัวไร้หัวจากตำนานเทพจีนโบราณ ในระหว่างศึกชิงตำแหน่งเทพ สิงเทียนรบแพ้จึงถูกตัดหัวแล้วนำไปฝัง เขาจึงใช้หัวนมเป็นตา ใช้สะดือเป็นปาก มือหนึ่งถือขวานยักษ์ อีกมือหนึ่งถือโล่ และหมายจะรบกับจักรพรรดิหวงตี้ต่อ