ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 648 อาสะใภ้เดือดดาลยิ่งนัก
บทที่ 648 อาสะใภ้เดือดดาลยิ่งนัก
เมืองหลวง!
อาสะใภ้ได้ยินข่าวร้ายว่าลูกชายสุดที่รักของตัวเองจะไปร่วมทัพอีกครั้ง
สำหรับอาสะใภ้ที่ด้อยการศึกษา สายตาตื้นเขินและคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้าตัวน้อย สงครามก็มีความหมายไม่ต่างจากความตาย ส่งสัญญาณว่าครอบครัวจะล่มสลายและเป็นสัญลักษณ์ว่าคนหัวหงอกส่งศพคนหัวดำ
ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ สวี่เอ้อร์หลางต้องเดินทางขึ้นเหนือพร้อมกองทัพเพื่อไปช่วยปีศาจ ทำเอาอาสะใภ้กินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นเดือนแล้ว จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะฝันว่าเอ้อร์หลางตายไปภายใต้กีบเหล็กของปีศาจจิ้งกั๋ว
ในตอนแรกสวี่ผิงจื้อดูแลนางอย่างดีและปลอบโยนภรรยาตัวเองด้วยคำพูดอ่อนโยน
หลังจากนั้นไม่นานก็แอบบ่นในใจให้นางเลิกสาปแช่งเขาเสียที เพราะทุกวันฝันถึงทีไรเอ้อร์หลางก็ตายทุกครั้ง!
ในห้องโถงแสนอบอุ่น แสงเทียนส่องสว่างไสว
ตอนเย็นครอบครัวมารวมตัวกันรอบโต๊ะเพื่อทานอาหาร สวี่เอ้อร์หลางก็พูดอย่างมั่นใจว่า “ท่านแม่ อย่ากังวลเลย ตอนนี้ข้าเป็นผู้กรุณาขั้นเจ็ดแล้ว”
อาสะใภ้ได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ผู้กรุณาขั้นเจ็ดมีพลังแค่ไหนล่ะ?”
สวี่เอ้อร์หลางครุ่นคิดพลางพูดว่า “ลัทธิขงจื๊อขั้นเจ็ดเข้าใจความเมตตากรุณาและความชอบธรรม สร้างคุณธรรมได้ ทว่าไร้พลังต่อสู้พิเศษใดๆ เอาล่ะ ถ้าข้าต้องพูดถึงการเติบโต ก็หมายความว่าหัวใจของข้ามั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถูกล่อลวงด้วยทรัพย์ศฤงคาร การเสพสังวาสและสุราเมรัย”
อาสะใภ้ “ถุย”
“นั่นไม่ใช่บัณฑิตที่อ่อนแอรึ ข้าน่ะอยากให้เจ้าถูกล่อลวงด้วยสุราเมรัย สังวาสและความมั่งคั่ง ต้าหลางเคยเป็นคนซื่อสัตย์ทว่าไร้ค่า แต่หลังจากไปสำนักสังคีตทุกวัน เขาก็กลายเป็นฆ้องเงินสวี่ที่มีชื่อเสียงทั่วหล้า”
สวี่เอ้อร์หลางสำลักจนพูดไม่ออก
ในเวลานี้ ลี่น่ากลืนอาหารในปากนางและพูดว่า
“พี่เอ้อร์หลาง ท่านต่อสู้เมื่อใด ข้าจะลงใต้ไปกับท่าน”
เอ้อร์หลางมองไปที่นาง “ไปกับเจ้า?”
‘ข้าวข้าไม่หอมแล้วรึ’
ใบหน้าบอบบางของลี่น่าแสดงความสิ้นหวังออกมาให้เห็น
“สวี่หนิงเยี่ยนบอกข้ามาเมื่อวานนี้ บอกว่าเขากำลังจะไปทำงานทางชายแดนตอนใต้ บางทีเขาอาจไปที่เผ่าพันธุ์กู่ ข้าว่าข้าจะนำทางไปและให้คำแนะนำเขา อนิจจา ข้าไม่อยากทิ้งทุกคนไปจากเมืองหลวงเลย”
‘เจ้าลังเลที่จะเอาข้าวขาวๆ ของข้าไปหรือ?’… สวี่เอ้อร์หลางสาปแช่งอยู่ในใจ “โอ้” แต่เมื่อพิจารณาความอยากอาหารของลี่น่าจึงพูดว่า
“เจ้าจะไปเที่ยวก็ได้ แต่ต้องเอาเงินกับอาหารมาเอง”
ไม่อาจสูญเสียการปันส่วนทางทหารให้นางไปเปล่าๆ ได้
ดวงตาที่สวยงามของอาสะใภ้เป็นประกาย นางตบหน้าอกอวบอิ่มของนาง “ลี่น่าเป็นท่านอาจารย์ของหลิงอิน ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งหมดพวกเราก็ควรแบกรับเอาไว้”
ในที่สุดคนงี่เง่าจากชายแดนตอนใต้ก็จะจากไป อาหารของนางคนเดียวก็พอๆ กับคนตระกูลสวี่สิบคนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลี่น่ากลับไปยังชายแดนตอนใต้แล้ว หลิงอินก็จะถูกส่งเข้าวังเพื่อศึกษาเล่าเรียนโดยไม่จำเป็นต้องฝึกฝนวรยุทธ์
ก่อนหน้านี้มหาราชครูคอยหาคนมาส่งข่าวว่าต้องการรับหลิงอินเป็นลูกศิษย์ แต่สวี่เอ้อร์หลางไล่พวกเขากลับเมื่อพิจารณาถึงชีวิตของมหาราชครู
ในความเห็นของอาสะใภ้ ผู้นำโลกวรรณกรรมอย่างมหาราชครูเป็นที่ปรึกษาบนเส้นทางสู่ ‘ความรู้และปัญญา’ ที่ขาดไม่ได้สำหรับหลิงอิน
ลี่น่าเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า
“ข้าอยากพาหลิงอินกลับไปชายแดนตอนใต้ด้วย พลังลี่กู่ในตัวนางเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ขั้นที่หนึ่งแล้ว ข้าอยากให้นางดูดซับพลังของเทพกู่ก่อนที่นางจะเข้าสู่ขั้นที่สอง เรื่องนี้สำคัญมากและเกี่ยวข้องโดยตรงกับศักยภาพในอนาคตของหลิงอิน
“นอกจากนี้ ข้ายังยอมรับอัจฉริยะชั้นยอดมาเป็นศิษย์ ท่านพ่อกับคนในตระกูลต้องดีใจมากถ้าได้รู้”
นางอยากพาศิษย์ของนางกลับไปอวดที่เผ่าลี่กู่
“ไม่!” อาสะใภ้ของข้าตบตะเกียบบนโต๊ะและคัดค้านเสียงดัง
“ไม่ได้จริงๆ” อารองสวี่ออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“แต่สวี่หนิงเยี่ยนก็เห็นด้วยแล้ว เขาบอกว่าศักยภาพของหลิงอินนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ สมควรแล้วที่ต้องวางรากฐานไว้ตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยพรสวรรค์ของหลิงอิน ในอนาคตนางจะกลายเป็นเจ้ายุทธจักรผู้มีเรี่ยวแรงมหาศาลดุจขุนเขาแน่นอน เช่นเดียวกับท่านพ่อของข้า ตามคำที่พวกเจ้าคนจากที่ราบลุ่มภาคกลางเคยพูดไว้ ในอนาคต ชื่อนี้จะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แน่” ลี่น่าพูดขึ้น
เรี่ยวแรงมหาศาลดุจขุนเขารึ? พออาสะใภ้ได้ยินเข้าก็หน้าเขียว
‘ไม่ ในเวลานั้น หนังสือประวัติศาสตร์จะเขียนไว้เพียงว่าสวี่หลิงอินมีคุณสมบัติที่จะเป็นเจ้ายุทธจักร แต่นางสิ้นชีพกลางคันขณะติดตามอาจารย์นางไปก่อนที่นางจะได้ลงมือทำสิ่งใด’…สวี่เอ้อร์หลางส่ายหัว
ลี่น่าตบหน้าอกเล็กๆ ของนางและพูดจาเกลี้ยกล่อมด้วยภาษาธรรมดาๆ ของนางเอง “ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะดูแลหลิงอินเป็นอย่างดี และพานางไปชายแดนตอนใต้อย่างราบรื่น”
‘สิ่งที่พวกเรากังวลที่สุดคือการที่เจ้าพานางไปด้วย เด็กสาวโง่ๆ คนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงโง่ๆ อีกหนึ่งคน ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเดินทางไกลกลับไปยังชายแดนตอนใต้’…อารองสวี่พึมพำในใจและพูดน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ตอนนี้โลกกำลังสับสนวุ่นวาย หากเจ้าซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ พาหลิงอินไปชายแดนตอนใต้ เจ้าต้องพบเจอเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทางอย่างแน่นอน”
ลี่น่าตบหน้าอกนางทันที “ข้าอยู่ขั้นสี่แล้ว”
อารองสวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและแสดงท่าทีลังเลทันที
หากลี่น่ามีพลังต่อสู้ขั้นสี่จริงๆ ก็ย่อมไม่มีปัญหา
“และข้ายังติดต่อสวี่หนิงเยี่ยนได้ตลอดเวลา ตอนนี้เขาอยู่ที่ชายแดนตอนใต้ด้วย ถ้าข้าเดือดร้อนเขาก็จะมาช่วยเหลือ” ลี่น่าบอก
เพื่อพิสูจน์ว่านางมิได้โกหก ลี่น่าจึงไม่สนใจคำแนะนำของนักบวชเต๋าจินเหลียนและนำเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาดูเต็มที่และติดต่อสวี่ชีอัน
นางส่งต่อจดหมายคัดค้านของครอบครัวให้สวี่ชีอัน
แต่ลี่น่าลืมบอกกล่าวเป็นการส่วนตัวและพูดคุยเรื่องนี้ในกลุ่มหนังสือปฐพีทันที
[หมายเลขสอง : อะไรนะ? ลี่น่ากำลังจะลงใต้กับหลิงอินรึ? พวกเขาไม่ได้ไปทางตะวันตกแล้ว]
[หมายเลขสี่ : จากประสบการณ์ที่น่าเศร้าของลี่น่า เมื่อนางมาถึงเมืองหลวง ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป]
[หมายเลขสอง : ใช่ ด้วยภูมิปัญญาของหลิงอินกับลี่น่า คำแนะนำของข้าคืออย่าหุนหันพลันแล่น และให้อยู่เมืองหลวง]
สวี่ฉือจิ้วแปลข้อความข้างต้นให้กับมารดาผู้ไม่รู้หนังสือของเขา ในขณะที่ลี่น่าอธิบายว่าหมายเลขสอง หมายเลขสี่ และหมายเลขสามเป็นใคร
[หมายเลขสาม : ไม่เป็นไร พวกเขาต้องไปชิงโจวกับเอ้อร์หลางก่อน จากนั้นก็ไปอวี่โจวทางตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเดินเท้าประมาณหนึ่งพันลี้เพื่อไปยังชายแดนตอนใต้ พวกเราแค่ต้องมั่นใจว่าพวกเขาปลอดภัยตอนอยู่ในอวี่โจว]
[ฮ่า ฮ่า ความจริงแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของลี่น่าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก คู่ซ้อมที่สมน้ำสมเนื้อนั้นดีสำหรับพวกเขาแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้ศิษย์พี่ซุนแอบดูแลพวกเขาให้ ลี่น่า โปรดส่งคำพูดของข้าไปยังอารองกับเอ้อร์หลางด้วย]
ลี่น่าอยากบอกว่าพวกเขาก็กำลังอ่านอยู่เช่นกัน สวี่ชีอันก็ส่งข้อความมาพอดี
[หมายเลขสาม : แต่ข้ายังอยากเตือนเจ้า อย่าไว้ใจใคร และอย่าโดนหลอก]
[หมายเลขสอง : อย่าโดนหลอก]
[หมายเลขสี่ : ระวัง อย่าโดนหลอก]
[หมายเลขหก : ระวัง อย่าโดนหลอก]
[หมายเลขหนึ่ง : ระวัง อย่าโดนหลอก]
เทพเซียนช่วย หมายเลขห้าช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร…หลี่หลิงซู่ตกตะลึง
ลี่น่าหน้าแดงทันที นางทั้งอายทั้งโกรธ และในตอนที่นางกำลังจะเลิกส่งข้อความ นางก็เห็นข้อความต่อไปของสวี่ชีอันทันที
[หมายเลขสาม : พรสวรรค์ของหลิงอินนั้นดียิ่งนัก หากเจ้าไม่ฝึกฝนพลังลี่กู่ให้แข็งแกร่งเข้าไว้ เจ้าก็ประมาทเกินไปแล้ว อาสะใภ้ของข้าเป็นคนโง่ นางมีฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง นางคิดว่าหลิงอินสามารถศึกษาเล่าเรียนได้ ทั้งครอบครัวต่างหัวเราะเย้ยหยันนาง แต่แค่ไม่พูดออกมา]
พอหลี่เมี่ยวเจินเห็น นางก็หาเรื่องทะเลาะทันที
[หมายเลขสอง : อาสะใภ้ตระกูลสวี่ช่างไร้เดียงสาและโง่เง่ายิ่งนัก นางมักทำให้น้องสาวของเจ้าเป็นตัวตลก]
[หมายเลขสี่ : อาสะใภ้ตระกูลสวี่รักบุตรสาวของนางอย่างสุดซึ้ง]
สวี่เอ้อร์หลางตีความให้มารดาของเขาด้วยความคิดที่ว่า ‘หลังจากแปลความแล้ว พี่ชายคนโตย่อมย่ำแย่กว่าข้า’
ลี่น่ามองไปทางอาสะใภ้ที่ทั้งไร้เดียงสาและน่ากลัว ก่อนจะส่งต่อจดหมายด้วยความระมัดระวัง
[หมายเลขห้า : อะ…อาสะใภ้ตระกูลสวี่กำลังจ้องมองมาจากด้านข้าง…]
จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
อาสะใภ้กลอกดวงตากลมโตไปมา อันดับแรกก็จ้องมองไปยังลี่น่ากับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จากนั้นก็จ้องมองเชือดเฉือนสวี่เอ้อร์หลางกับอารองสวี่แล้วกัดฟันพูดว่า
“ล้อเล่นกันอยู่รึ?”
ในที่สุดก็จ้องสวี่หลิงเยวี่ยเขม็ง “เจ้าล้อเล่นกับข้ารึ?”
อารองสวี่กับสวี่เอ้อร์หลางส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
สวี่หลิงเยวี่ยพูดเสียงค่อยด้วยความคับข้องใจเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักบวชเต๋าหลี่พูดเรื่องอะไรอยู่ เห็นนางตอบว่า ตอนข้าอยู่บ้าน ลูกสาวท่านก็ดีกับข้า”
อาสะใภ้เชื่อในตัวลูกสาวนางอย่างง่ายดาย อย่างไรเสีย นางก็เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เชื่อมั่นว่าไม่มีลูกสาวคนไหนที่ไม่เหมือนแม่ นางจะกล้าล้อเล่นกับตนหรือ?
นางตะคอกใส่ “คราวหน้าข้าจะไม่ให้เขาเข้าบ้านแล้ว แต่เจ้าสารเลวสวี่หนิงเยี่ยนก็ยังพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง”
นางหันกลับมาและแหวใส่ลูกและสามีตัวเอง
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ พวกเจ้าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะข้า แซ่สวี่ของพวกเจ้ามันหาดีไม่ได้เลย…”
…
‘ทำไมข้าถึงเป็นแบบนี้ไปได้’…หลี่เมี่ยวเจินหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาจากพื้น แก้มของนางแทบลุกเป็นไฟ
‘การพูดเรื่องถูกและผิดลับหลังผู้อื่นไม่ใช่งานของสุภาพบุรุษ’…ฉู่หยวนเจิ่นพอใจที่เขาปฏิบัติตามลักษณะของสุภาพบุรุษ ไม่พูดให้ร้ายคนอื่นลับหลัง แม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่องเหมือนไม้ผุๆ เมื่อเทียบกับสวี่หลิงอิน
หลี่หลิงซู่หัวเราะอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หัวเราะเหมือนหมู
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความสุข แค่รู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
ลี่น่าคนโง่เง่าหันกลับมาและถามนักบวชเต๋าจินเหลียนว่า เศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเล่มนี้มีพลังปิดกั้นคำด่าหรือไม่…ขณะที่สวี่ชีอันกำลังบ่นอย่างดุเดือดอยู่ในเจดีย์พุทธะ
หลังจากเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกไปแล้ว นางก็พูดเรื่องนี้ต่อ
“พาข้าไปหาเย่จี พี่สาวของเจ้า”
ไป๋จีผงกหัวแล้วรีบกระซิบบอกว่า
“ถ้าพวกเราเข้าสู่เขตแดนภูเขาสือว่านแล้ว โปรดอย่าใช้เจดีย์พุทธะ มิฉะนั้นคนสำนักพุทธจะล่วงรู้”
“เป็นไปไม่ได้” สวี่ชีอันค้อมศีรษะลงและมองไปยังภูเขากว้างใหญ่ไร้ซึ่งผู้คน
ไป๋จียืนยันความคิดเห็นของตัวเองและพูดว่า
“หลังจากที่สำนักพุทธขับไล่พวกเราออกจากภูเขาสือว่านแล้ว ผู้คนจากดินแดนประจิมทิศจำนวนมากก็อพยพเข้าไป และสร้างเมืองขึ้นยี่สิบเจ็ดเมืองในดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจอันกว้างใหญ่ แต่ละเมืองล้วนมีวัดพุทธอยู่”
“ในวัดมีระฆังทอง เวลาเกิดวิกฤต ให้ตีระฆังทอง แล้วระฆังทองในวัดอื่นๆ อีกยี่สิบหกวัดก็จะตอบสนอง เพื่อเสริมกำลังกันอย่างรวดเร็ว”
“ในช่วงเผยแผ่ศาสนาห้าร้อยปี สำนักพุทธมีศูนย์กลางอยู่ในเมืองใหญ่ยี่สิบเจ็ดเมืองและเมืองเล็กเมืองน้อยอีกมากมาย ภิกษุมักเดินทางไปมาระหว่างเมืองเหล่านี้ ท่องคัมภีร์และสั่งสอนพระธรรม”
“กลิ่นอายจากเจดีย์พุทธะนั้นงดงามมากจนภิกษุสำนักพุทธสามารถสัมผัสได้จากระยะไกล”
“อย่าได้ตกตะลึงล่ะ!”
สวี่ชีอันส่งเสียง “โอ้” และแสดงความคิดเห็นว่า “การศึกษาภาคบังคับของจักรพรรดินีมารดาเจ้าค่อนข้างดีทีเดียว”
ปกติไป๋จีเป็นคนโง่ แต่นางเป็นเด็กที่มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ และยังฉลาดกว่าหลิงอินของเขาเสียอีก
เมื่อพูดถึงความรู้ทางสำนักพุทธ พื้นเพและรากฐานของนางมั่นคงมาก ชนิดที่พูดได้เต็มปากเต็มคำ ไม่ใช่แค่การท่องจำตามคัมภีร์
จากเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ก็มองเห็นได้ไม่ยากว่าอาณาจักรหมื่นปีศาจให้ความสำคัญกับการสร้างอุดมการณ์แก่ลูกหลานเผ่าพันธุ์ปีศาจแค่ไหน
จงระลึกถึงความเกลียดชัง และอย่าลืมความอัปยศอดสูของชาติพันธุ์ที่ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของปีศาจ
“ข้าวางแผนจะเหินฟ้าไป หนานจือ เจ้าไปพักผ่อนในเจดีย์เถอะ”
เขาต้องการพบปะเป็นการส่วนตัวกับคนรักเก่า แน่นอนว่ามู่หนานจือย่อมไม่อาจอยู่ที่นั่นได้ เซียนบ่อปลาส่วนใหญ่ย่อมรู้วิธีลดความเสี่ยง
มู่หนานจือรู้เพียงว่า สวี่ชีอันมาเพื่อทำตามข้อตกลงกับองค์หญิงเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อปลดตะปูตอกวิญญาณ แต่นางไม่รู้ว่าที่นั่นมีกลิ่นหอมลอยลมอยู่
“ไม่เอา ข้าไม่เคยไปชายแดนตอนใต้มาก่อน ข้าขอไปร่วมสนุกด้วยไม่ได้หรือ”
“เอาเช่นนั้นก็ได้…”
ทันทีที่ปล่อยให้เจดีย์พุทธะลงจอด สวี่ชีอันก็แบกมู่หนานจือไว้บนหลัง ให้ไป๋จีนอนอยู่บนหัวเขา และละเลียดน้ำค้างท่ามกลางยอดไม้
เหมียวโหย่วฟางยังไปไม่ถึงขั้นสลายแรง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถแสดงพลังยุทธ์ขั้นพื้นฐานได้ ทำได้แค่วิ่งทุลักทุเลตามหลังเข้าป่าไป
ค่ำคืนนั้นมืดมน แสงจันทร์อันเย็นยะเยือกสาดส่องเหนือศีรษะ
มู่หนานจือโอบแขนนางรอบคอสวี่ชีอัน สายลมเย็นๆ พัดมาปะทะใบหน้า นางหรี่ตามองไปยังป่าเขาไร้ที่สิ้นสุด
“ภูเขาทั้งนั้นเลย!”
มู่หนานจือบ่นพึมพำ “ข้าชอบที่นี่นะ แล้วเจ้าล่ะ?”
เทพดอกไม้ที่กลับชาติมาเกิดย่อมเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณธัญไม้
เมื่อเห็นว่า สวี่ชีอันไม่ยอมพูด นางก็ไม่พอใจ ดังนั้นจึงครวญเพลงเบาๆ
“ในอนาคต ข้าไม่อยากท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำและทะเลสาบ ดังนั้นข้าจะมาตั้งรกรากที่นี่ และจากนี้ไปเราก็อาจแยกจากกัน”
นางมักจะพูดอะไรที่คล้ายกันนี้เพื่อสร้างวิกฤต แต่ทุกครั้งสวี่ชีอันมิได้ใส่ใจนาง
มู่หนานจือกัดฟันด้วยความโกรธ บุคลิกหยิ่งยโสของนางไม่ยินยอมถูกกำราบ ดังนั้นนางจึงใช้สงครามประสาท
“ข้าอยากตั้งรกรากอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้” มู่หนานจือพูดด้วยความโกรธ
“โอ้ ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่เกี่ยวหรอกว่าเจ้าจะรักข้าหรือไม่” สวี่ชีอันไม่ปรานี
มู่หนานจือตบหัวเขาโดยลืมเรื่องสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวเล็กๆ ที่นอนอยู่บนหัวเขา
“ซี้ด…”
หลังจากถูกโจมตีกะทันหัน จิ้งจอกขาวตัวน้อยส่งเสียงร้องแหลมปรี๊ด หลังจากสงบสติอารมณ์ลง มันก็พูดด้วยความเจ็บปวดว่า
“ท่านป้า ตีข้าอีกทำไม ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”
มู่หนานจือรู้สึกผิดเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงลูบหัวมันและพูดเสียงเย็นชาว่า
“ไม่อยากไปแล้ว อยากกลับไปที่เจดีย์พุทธะ”
ข้ารอคำนี้จากปากเจ้าอยู่พอดี…สวี่ชีอันรีบอัญเชิญเจดีย์พุทธะออกมาและพานางเข้าไปในนั้น
“เสร็จแล้ว!”
สวี่ชีอันเก็บเจดีย์อย่างพึงพอใจ
นอกจากฉลามตัวใหญ่อย่างลั่วอวี้เหิงแล้ว เขาย่อมมีความสามารถในการจัดการกับปลาตัวอื่นๆ
จากนั้นตามคำแนะนำของไป๋จี เขาก็บินขึ้นฟ้าไปยังสุดขอบภูเขาสือว่าน
ในอดีต พื้นที่หลักของภูเขาสือว่านเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหมื่นปีศาจ…เขาหมื่นปีศาจ!
ตอนนี้เขาหมื่นปีศาจเปลี่ยนชื่อเป็น ‘อาณาจักรตอนใต้’ และอยู่ภายใต้การปกครองของวัดหนานฝ่า
เมืองใหญ่ยี่สิบเจ็ดเมือง มี ‘เมืองอาณาจักรตอนใต้’ เป็นศูนย์กลาง แผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ แต่ไม่มีเมืองใดอยู่ในเขตชายขอบภูเขาสือว่านเพราะภูเขาบริเวณนี้กว้างใหญ่ไพศาล สำนักพุทธจึงไม่มีประชากรมากพอจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมดได้
ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะภูมิประเทศหลายแห่งไม่เหมาะที่จะให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่อาศัยและรอดชีวิต
เรื่องนี้ทำให้สามารถแอบเข้าไปอาณาจักรหมื่นปีศาจที่เหลืออยู่ได้
จนถึงทุกวันนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากได้แอบกลับไปที่ภูเขาสือว่านและออกหากินในบริเวณพื้นที่ชายขอบ
สำนักพุทธรู้เรื่องนี้ดีแต่ไม่เคยใส่ใจ
ไม่ได้ใจดี แต่ทำอะไรไม่ได้
ตั้งแต่สมัยโบราณ สิ่งที่ยากที่สุดในสงครามมิใช่การปิดล้อมเมือง แต่เป็นสงครามกองโจรที่ตามมาภายหลัง
เมื่อเหล่าปีศาจตอนใต้สูญเสียดินแดน พวกเขาก็เดินเท้าเปล่าและทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ
ไป๋จียังบอกด้วยว่าที่ขอบภูเขาสือว่านมีเมืองเฉพาะกิจทั้งหมดสิบสองแห่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจัดให้มีขึ้น บางแห่งอยู่ในถ้ำตามธรรมชาติ บางแห่งอยู่ในภูเขาสูงชัน และบางแห่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเชี่ยวกราก
คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดในเมืองเฉพาะกิจเหล่านี้คือความเรียบง่ายและสามารถละทิ้งได้ตลอดเวลา
ข้อได้เปรียบคือพวกมันมีเสน่ห์บางอย่าง เทียบเท่าอาคารสถานที่สำคัญที่สามารถรวบรวมผู้คนจากอาณาจักรหมื่นปีศาจมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ที่นี่เป็นฐานทัพ เมื่อเกิดสงครามขึ้น เมืองเฉพาะกิจเหล่านี้สามารถจัดทัพได้อย่างรวดเร็ว”
สวี่ชีอันตระหนักได้ทันที
ระหว่างทางไม่ได้พบเจอใครสักคนเลย
ภูเขาสือว่านน่าจะเป็นภูเขาที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในแผ่นดินจิ่วโจว แต่ไม่เหมาะให้มนุษย์อยู่อาศัย มันเต็มไปด้วยแมลงมีพิษ สัตว์ร้าย และไข้จับสั่น ไม่แปลกใจเลยที่มันจะกลายเป็นอาณาจักรของปีศาจ
แท้จริงแล้ว ภูเขาสือว่านไม่เหมาะให้มนุษย์กลุ่มใหญ่ตั้งถิ่นฐาน มันไม่มีที่ดินให้เพาะปลูกและเหมาะกับการล่าสัตว์เลี้ยงชีพเท่านั้น เรื่องนี้จะนำพาอารยธรรมของมนุษย์กลับไปสู่ยุคการล่าสัตว์
ในตอนนั้น สำนักพุทธไม่ลังเลเลยที่จะออกไปทำลายปีศาจตอนใต้ ในความเป็นจริงมันละเมิดจุดประสงค์หลักของสงคราม ดังนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงอีกประการหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็คือโชคชะตา
จิ้งจอกเก้าหางบอกไว้ว่า ภูเขาสือว่านเป็นที่รวบรวมโชคชะตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจในแผ่นดินจิ่วโจวและสามารถผนึกเทพเจ้าได้ หากคาดเดาอย่างกล้าหาญถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการทำลายล้างอาณาจักรหมื่นปีศาจโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดของสำนักพุทธ ก็คือการปล้นสะดมโชคชะตา ถ้าเป็นเช่นนั้นโชคชะตาก็สำคัญกว่าที่ข้าคิดไว้
เทพพ่อมดกับสำนักพุทธพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในที่ราบภาคกลาง แต่ที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ผนึกพวกเขาไว้ได้ อาจเป็นเพราะโชคช่วย..
ระบบเวทมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับโชคชะตา…
สวี่ชีอันนึกถึงข้อมูลและความลับที่เขาคุ้นเคย ในความมืด เขารู้สึกเพียงว่าแรงบันดาลใจกำลังจะระเบิดออกมา ราวกับว่าเขาได้สัมผัสกับความจริงที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
แต่มันคลุมเครือเกินไป ไม่สามารถนึกภาพและสรุปได้อย่างแม่นยำในเวลาเพียงชั่วขณะ
ในเวลานี้ ไป๋จียกอุ้งเท้าขึ้น ชี้ไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปและตะโกนอย่างร่าเริง
“อยู่นั่นไง!”
……………………………………….