ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 617 เล่นหมากรุก
บทที่ 617 เล่นหมากรุก
ตงฟางหว่านหรงพยักหน้าเล็กน้อย สายตามองผ่านไหล่ของจีเสวียนไปทางผู้คนในห้องโถง
ในเวลาเดียวกัน ในสมองก็มีเสียงของน่าหลันเทียนลู่ดังขึ้น
“แปดคนนั้นมีท่าทางแปลกประหลาดเล็กน้อย กลิ่นอายเหมือนคนคนเดียวกัน ดูเหมือนจะเหนือมนุษย์และไม่ได้เหนือกว่ามนุษย์”
ตงฟางหว่านหรงใคร่ครวญเล็กน้อย รู้ว่า“แปดคน”ที่น่าหลันเทียนลู่พูดนั้นหมายถึงใครบ้าง เพราะพวกเขาล้วนสวมชุดคลุมสีดำเหมือนกัน
เป็นฝาแฝดที่สวยมาก…หลิ่วหงเหมียนสังเกตพี่น้องสองสาวสวย ดวงตาแสดงความประหลาดใจ นางยอมรับว่าเป็นคนสวย สวยโดดเด่นมากๆ ถึงแม้ในสำนักที่มีสาวงามอยู่มากมายอย่างหอหมื่นบุปผา รูปโฉมก็นับว่าโดดเด่นที่สุด แต่พี่น้องสองสาวสวย คนใดคนหนึ่งล้วนไม่สามารถทำให้หลิ่วหงเหมียนตกตะลึงในความงามได้ แต่เมื่อฝาแฝดยืนอยู่ด้วยกัน ก็ดูเหมือนจะมี ความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพวกนางคนหนึ่งช่างเจรจา ส่วนอีกคนหนึ่งดูเย็นชา ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ท่าทีของทุกคนในห้องโถงไม่ต่างจากหลิ่วหงเหมียน ต่างตกตะลึงในความงามของพี่น้องฝาแฝดสองสาวสวยอยู่ครู่หนึ่ง ในที่นี้รวมถึงสวี่หยวนไหว ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม ฉีฮวนตานเซียงเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้ และพยัคฆ์ขาวแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ตงฟางหว่านหรงมองไปทางจีเสวียน ยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ท่านคือ”
“ข้าน้อยจีเสวียน บุตรชายของเจ้าเมืองเมืองเฉียนหลง”
จีเสวียนพูดพร้อมประสานมือขึ้นคารวะ
ตงฟางหว่านหรงเคยได้ยินจากอาจารย์น่าหลันเทียนลู่นานแล้วจึงรู้ว่าเมืองเฉียนหลงเป็นสถานที่เช่นไร จึงพยักหน้าเบาๆ นางนำบรรดาศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่เข้าไปที่ลาน ให้พวกเขาจัดแถวในลาน ส่วนตนเองเข้าไปในห้องโถงกับตงฟางหว่านชิงน้องสาว
“คารวะเทพอารักษ์ทั้งสองท่าน”
พี่น้องสองสาวแสดงความคารวะอย่างนอบน้อม
“อาจารย์น้อยทั้งสอง พบกันอีกแล้ว”
ตงฟางหว่านหรงยิ้มทักทายจิ้งซินและจิ้งหยวน
รอจนทั้งสองต่างทักทายกันแล้ว จีเสวียนจึงพูดต่อว่า
“สถานการณ์ส่วนใหญ่สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ได้อธิบายไว้ในจดหมายลับอย่างชัดเจนแล้ว เจ้าตำหนักทั้งสองท่านมีอะไรต้องการจะถามหรือไม่?”
ตงฟางหว่านชิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ตงฟางหว่านหรงผู้เป็นพี่สาวพูดว่า
“ทำไมงานชุมนุมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จึงปรากฏปราณมังกรสองสาย?”
สองในเก้ามังกร ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมาก
จิ้งซินพนมมือ คาดเดาว่า “บางทีอาจจะมีลักษณะพิเศษในการดึงดูดซึ่งกันและกันระหว่างปราณมังกร”
ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบนี้
ในเวลานี้ สวี่หยวนซวงพูดเรียบๆ ว่า
“ไม่ใช่ลักษณะพิเศษในการดึงดูดซึ่งกันและกันระหว่างปราณมังกร ปราณมังกรเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่ง มันมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง จิตสำนึกนี้ไม่ใช่จิตสำนึกจากใจอย่างที่พวกเราเข้าใจ แต่เหมือนกฎของฟ้าดินมากกว่า โชคชะตาเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของจิตใจและความปรารถนาของประชาราษฎร์ ดังนั้นปราณมังกรจึงตามหาผู้ที่มีชื่อเสียงบารมีที่ดีหรือสิ่งที่ได้รับการบูชาเพื่ออาศัยอยู่ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีมาก รับบทบาทเป็นผู้รักษากฎ ประกอบกับภูมิหลังของผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกท่านคิดว่า หากไม่มีการแทรกแซงจากอิทธิพลภายนอก ภาคกลางวุ่นวาย กลุ่มอิทธิพลที่มีความหวังที่สุดในการแย่งชิงภาคกลาง จะเป็นกลุ่มไหน?”
ไม่ต้องสงสัย ต้องเป็นกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างแน่นอน
ตงฟางหว่านชิงแย้งว่า “ไม่ใช่ ขณะที่ข้าทำการรวบรวมปราณมังกรอยู่นั้น ได้พบคนคดโกงมากมาย”
สวี่หยวนซวงคิดดูแล้วก็พูดว่า “อันดับแรก มนุษย์นั้นซับซ้อนยิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นผีพนัน บางทีเขาอาจจะมีคุณสมบัติเป็นจักรพรรดิได้ อันดับต่อมา ตั้งแต่โบราณมาผู้ที่เป็นจักรพรรดิ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ?
“ปราณมังกรเลือกร่าง หากเลือกตามความประพฤติส่วนตัว ถ้าดูจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่มีจักรพรรดิผู้สถาปนาประเทศคนใดผ่านเกณฑ์”
ตงฟางหว่านชิงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หลิ่วหงเหมียนกลับขมวดคิ้ว
“ถ้าเช่นนั้นตอนที่ปราณมังกรกระเจิดกระเจิงในวันนั้น ทำไมจึงไม่เลือกที่จะอาศัยอยู่ในร่างของสวี่ชีอัน พูดถึงชื่อเสียงบารมี เขาเหนือกว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคน”
สวี่หยวนซวงพูดเรียบๆ ว่า “เพราะตัวมันเองถูกทำให้กระเจิง ปราณมังกรเกิดจากการรวมตัวกันของโชคชะตาภาคกลาง หลังกระเจิดกระเจิงแล้ว ย่อมต้องกลับคืนสู่ภาคกลาง”
ตงฟางหว่านหรงพยักหน้า นับว่าพอใจกับคำตอบของนาง สังเกตหญิงสาวผู้เย็นชา แล้วพูดว่า
“เจ้าเป็นโหร?”
สวี่หยวนซวงนิ่งเงียบ ยอมรับโดยปริยาย
ตงฟางหว่านหรงกวาดตามองชาวเมืองเฉียนหลงทุกคน แล้วถามขึ้นอีกว่า
“หลังจากเสร็จงานแล้ว จะแบ่งปราณมังกรอย่างไร?”
จีเสวียนให้คำตอบว่า “รับไปคนละสาย”
เมื่อเห็นว่าตงฟางหว่านหรงไม่ได้โต้แย้ง เขาก็พูดต่อว่า
“เจ้าตำหนักทั้งสองท่านรู้จักกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มากแค่ไหน?”
ตงฟางหว่านหรงตอบว่า “กำลังจะขอให้คุณชายจีอธิบายอยู่พอดี”
ตำหนักมังกรตงไห่ไม่อยู่ในเขตแดนของต้าฟ่ง สำหรับพี่น้องสองสาวแล้ว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นเป็นกลุ่มของภาคกลางที่ไม่มีผลประโยน์ขัดกันเลย ดังนั้นจึงแค่ได้ยินมาบ้าง แต่ไม่รู้รายละเอียด
หลิ่วหงเหมียนทำหน้าที่เป็นคนอธิบาย บอกเล่าสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างละเอียด สองพี่น้องตงฟางฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้วไม่หยุด จีเสวียนพูดว่า
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงต้องไตร่ตรองอย่างใจเย็น และนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าเชิญเจ้าตำหนักทั้งสองท่านมาคุยกันต่อหน้า”
“ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาสรุปกันเถิด อันดับแรกคือเฉาชิงหยาง คนคนนี้เหนือมนุษย์ครึ่งก้าว กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อคำนึงถึงจอมยุทธ์ระดับสูงในยุทธจักรเจี้ยนโจวที่มีอยู่จำนวนมาก หากร่วมมือกับเฉาชิงหยาง คงจะต่อสู้เสมอกันได้?”
เขามองไปทางกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง
มีเสียงแหบพร่าดังมาจากผ้าคลุมศีรษะของชางหลง “ไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ แต่โอกาสในการเป็นต่อมีอยู่มาก”
กำลังในการรบครั้งนี้ประเมินยาก หากกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามอย่างแท้จริง ถ้าเช่นนั้นแม้เฉาชิงหยางจะร่วมมือกับขั้นสี่ในเจี้ยนโจวทั้งหมด ก็ไม่สามารถทำให้กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงสั่นสะเทือนได้
แต่ฝ่ายตนเองก็เช่นกัน มีเพียงกำลังรบของจอมยุทธ์ขั้นสาม แต่กลับไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี ไม่มีความสามารถในการคืนสภาพร่างเนื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความต้านทานก็จะต่ำมาก อีกทั้ง ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะไม่มีค่ายกลรวมพลังโจมตีคอยช่วยเหลือ ดังนั้นสุดท้ายแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อต่อสู้แล้วจึงจะรู้ได้
จีเสวียนพยักหน้า พูดว่า
“ต่อจากนั้นภูเขาเฉวี่ยนหรงก็ส่งกองกำลังเข้าไป กองกำลังสองหมื่นนายเพียงพอที่จะบดขยี้ขั้นสี่ให้ตายได้ ในยุทธการด่านซานไห่ มีจอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่ตายเพราะหมดแรง”
ไป๋หู่พึมพำว่า เลือกภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นสนามรบก็แล้วกัน จะมีผลทำให้ได้เปรียบในการยับยั้งและควบคุมกองทหารม้า และการต่อสู้บนเขา พวกเรายังสามารถอาศัยภูมิประเทศในการสร้างหินกลิ้ง สิ่งนี้นับเป็นภัยพิบัติทำลายล้างสำหรับทหารธรรมดาทั่วไป
ฉีฮวนตานเซียงกลับพูดว่า “ข้าสามารถควบคุมแมลงพิษในการใช้พิษสังหารทหารและลูกสมุนพรรคธรรมดาๆ ได้ แต่ว่าอาศัยแค่ขั้นสี่อย่างพวกเราไม่กี่คน แม้จะมีกลอุบายมากแค่ไหน ก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะต้านทานได้
“ในฐานะกลุ่มอิทธิพลในยุทธภพเจี้ยนโจวยาวนานหกร้อยปีที่หวังจะแย่งชิงภาคกลาง จะเป็นแค่กลุ่มที่ขั้นสี่ไม่กี่คนก็สามารถรับมือได้อย่างไรกัน
“กำลังหลักย่อมไม่ใช่พวกเราอย่างแน่นอน”
จีเสวียนยิ้มแล้วพูดว่า
“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คนเก่าตัดการติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายปี ข้าได้ข่าวที่เชื่อถือได้มา สภาพของเขาตอนนี้แย่มาก ไม่คู่ควรที่จะต้องกังวล แต่คนที่เราควรจะเตรียมป้องกันนั้นเป็นอีกคนหนึ่ง
“คนที่เป็นคู่ต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนพากันตัวสั่น”
นอกจากเทพอารักษ์ทั้งสองแล้ว สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนแตกต่างกันไป
คนในกลุ่มของจีเสวียนมีสีหน้าหวาดกลัวเป็นส่วนใหญ่ สีหน้าของจิ้งซินและจิ้งหยวนห่อเหี่ยวไปมาก ส่วนสองพี่น้องตงฟางนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
คนคนนั้นนั่นเอง ที่แย่งผู้ชายของพวกนาง
จีเสวียนได้เห็นสีหน้าของทุกคน ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเอง จึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ตัวสวี่ชีอันนั้นอยู่ในขั้นเหนือมนุษย์ แต่ไม่ถึงขั้นสุดยอด กำลังการรบของเขาสามารถประเมินได้ในระดับหนึ่ง กำลังที่แสดงให้เห็นที่นอกเมืองยงโจว น่าจะไม่ด้อยไปกว่าเฉาชิงหยาง
“หลังจากพระอรหันต์ตู้ฉิงถูกจับกุม การปิดผนึกของเขาน่าจะถูกปลดออกขั้นหนึ่ง ประเมินอย่างคร่าวๆ น่าจะถึงขั้นสาม ตบะเช่นนี้ไม่ควรค่าแก่การกังวล เทพอารักษ์ท่านหนึ่งลงมือ ก็สามารถปราบเขาได้แล้ว แต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาที่อาจจะมีส่วนพัวพัน กลับทำให้น่าปวดหัวอย่างยิ่ง อย่างเช่นลั่วอวี้เหิง อย่างเช่นนิกายสวรรค์”
สวี่หยวนไหวขมวดคิ้ว “ตามความเชื่อของท่านพ่อข้าบอกไว้ว่า ลั่วอวี่เหิงไม่น่าจะลงมือ ส่วนเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ทั้งสองท่าน การเคลื่อนไหวเลื่อนลอยไม่แน่นอน ยากที่จะคาดการณ์”
หลิ่วหงเหมียนมองดูสองพี่น้องตงฟาง เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดว่า
“พี่สาวทั้งสองมีไพ่ตายอะไร?”
เหนือศีรษะของตงฟางหว่านหรงมีผู้อาวุโสผมขาวหนวดขาวลอยอยู่ ก้มลงมองทุกคนในห้องโถงอย่างอ่อนโยนว่า
“หากเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ปรากฏตัว ข้าจะรับมือเอง”
น่าหลันเทียนลู่…ในใจของจิ้งซิน จิ้งหยวนรู้สึกหนาวยะเยือก เทพอารักษ์ด้านหลังเขาทั้งสองคนสบตากัน สีหน้าหนักใจเช่นกัน
จีเสวียนพูดหยั่งเชิงว่า “ปรมาจารย์น่าหลันอวี่?”
ผู้อาวุโสพยักหน้ายิ้ม
จีเสวียนถอนหายใจ
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว ความจริงแล้ว เทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ทั้งสองท่านไม่สามารถติดตามสวี่ชีอันได้ตลอดเวลา การลงมือครั้งก่อน น่าจะเป็นความบังเอิญมากกว่า”
เขาทายถูกแล้ว
“อีกทั้ง เวลานี้ไม่แน่ว่าสวี่ชีอันจะอยู่ที่เจี้ยนโจว และไม่แน่ว่าจะรู้ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวมีปราณมังกรอยู่สองสาย พวกเราแค่ทำการป้องกันล่วงหน้าเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการที่วางไว้อย่างสมบูรณ์ไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ข้าคิดว่า หน้าที่สำคัญอันดับแรกของพวกเราก็คือรีบรบให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
จีเสวียนพูดจาฉะฉาน แนวคิดชัดเจน “สังหารชาวเขาเฉวี่ยนหรง กำจัดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วยความรวดเร็วชนิดไม่ทันป้องกันตัว จากนั้นจึงขุดรากถอนโคนสำนักในสังกัดให้สิ้นซาก
…
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
หลายวันมานี้เฉาชิงหหยางอยู่ในอารมณ์กังวลและกระวนกระวาย ครั้งก่อนเข้าพบบรรพชนไม่สำเร็จ วันต่อมาเขาจึงส่งคนไปเมืองหลวง เพื่อสารภาพเรื่องปราณมังกรต่อสำนักโหราจารย์
เหตุผลนั้นง่ายมาก ปราณมังกรนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าและหายาก มีสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์เกินกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะรู้ และหวางโหยวได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่า ก่อนที่เขาจะถูกจับเป็นเชลย ได้ส่งข่าวออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้น ในไม่ช้าคนของสำนักโหราจารย์ก็จะต้องพากันมากล่าวโทษ เพื่อทวงปราณมังกร แม้เฉาชิงหยางจะหลงตัวเองเพียงใด ถึงแม้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีความมั่นใจที่จะท้าทายสำนักโหราจารย์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้เจรจาอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ แบบนี้ยังพอมีหนทางในการต่อรอง อย่างเช่นการนำปราณมังกรออกมา จะเป็นภัยต่อชีวิตของลูกๆ หรือไม่ ขณะเดียวกัน เขายังได้ให้ผู้ถือสารนำจดหมายลับไปให้สวี่ชีอัน หวังว่าเขาจะช่วยไกล่เกลี่ยได้
…
ซุนเสวียนจีกลับไปยังสำนักโหราจารย์ เขาไม่ได้ไปพบอาจารย์โหราจารย์ แต่ไปหาซ่งชิงผู้คลั่งไคล้การเล่นแร่แปรธาตุเขากำลังเป็นผู้นำบรรดาศิษย์น้องทำการค้นคว้า เวลานี้เขากำลังพยายามหลอมโลหะที่มีเนื้อบางเบาอ่อนนุ่ม แต่สามารถป้องกันได้ดีเลิศ สิ่งนี้ช่วยลดภาระในการเดินทัพของบรรดาทหาร ใช้หนุนนอนรอฟ้าสาง เวลานอนก็ปลอดภัยยิ่งขึ้น กระทั่ง ต่อไปยังสามารถทำเกราะสำหรับสวมป้องกันม้า ทำให้ทหารม้ามีความคล่องตัวอย่างสูง แล้วยังสามารถตีเสมอกับทหารม้าจำนวนมากได้ แต่ซ่งชิงกลับล้มเหลว ผลการทดลองนี้ มีแต่จะเพิ่มขอบตาดำให้เขา ซ่งชิงรู้สึกถูกคนตบไหล่ จึงวางภาชนะในมือลง หันหน้าไปมอง ก็พบว่าเป็นศิษย์พี่รองกลับมาแล้ว
“ศิษย์พี่ซุน เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
ซ่งชิงหันหน้ากลับ พูดไปพร้อมกับขยับปุ่มโลหะไปมา
“เมื่อคืนมีคนที่อ้างว่าเป็นชาวยุทธ์ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาที่สำนักโหราจารย์ อ้างว่าในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีผู้ถูกปราณมังกรอาศัย ข้านึกขึ้นมาได้ว่าเจ้ากำลังสะสมปราณมังกรอยู่ จึงได้ใช้หอยสังข์กระแสจิตบอกให้เจ้ารู้”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ พูดถึงผู้ถูกปราณมังกรอาศัย เหมือนกับกำลังพูดถึงลูกหมาลูกแมวข้างทาง
ซุนเสวียนจีพยักหน้า กำลังจะจากไป ซ่งชิงจึงรีบเรียกเขาไว้
“ช้าก่อน”
“ก่อนหน้านี้ ก่อนที่อาจารย์โหราจารย์จะท่องเที่ยวไปในความฝัน ได้มอบสิ่งหนึ่งให้กับข้า ให้ข้าส่งต่อให้กับเจ้า”
เขาพูด พลางตะโกนไปทางนักเล่นแร่แปรธาตุคนอื่นที่อยู่ในห้องโอสถ
“เจิ้นกั๋วเจี้ยนล่ะ? เจิ้นกั๋วเจี้ยนวางไว้ที่ไหน?”
โหรชุดขาวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แสดงให้รู้ว่าตนเองไม่เห็น
ซุนเสวียนจีเห็นโหรชุดขาวคนหนึ่งถือดาบทองเหลืองอยู่ในมือ ใช้มันเขี่ยถ่านในเตาหลอมยาพร้อมกับส่ายหน้าตอบว่า
“ไม่เห็นเจิ้นกั๋วเจี้ยน”
ซ่งชิงพูดด้วยความโกรธว่า “สวีฝูที่อยู่ในมือเจ้านั่นไม่ใช่หรือ เจิ้นกั๋วเจี้ยนแท้ๆ เจ้ากลับนำมาทำเป็นไม้เขี่ยถ่าน?”
โหรชุดขาวก้มลงมองก็ตกใจมาก
“โอ้ มันวางอยู่ตรงนี้นานเกินไป จนข้าลืมไปแล้ว….
“ศิษย์พี่ซ่ง เจ้าก็เคยใช้แผ่นความลับสวรรค์ของอาจารย์โหราจารย์รองขาโต๊ะมิใช่หรือ ท่านยังจะกล้าว่าข้าอีก”
ซุนเสวียนจีก้มลงมอง ปรากฏว่าแผ่นความลับสวรรค์ของอาจารย์โหราจารย์ถูกทับอยู่ใต้ขาโต๊ะจริงๆ
แผ่นความลับสวรรค์เป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่ไม่มีจิตสำนึกของตัวเอง มันไม่เคยเกิดสติปัญญามาก่อนเลย อาจารย์โหราจารย์บอกว่า จากการคาดคะเนและการตรวจดูของที่เป็นความลับสวรรค์ ไม่มีวันเกิดสติปัญญาได้ ดังนั้นถึงแม้จะโยนมันเข้าไปในห้องส้วม แผ่นความลับสวรรค์ก็จะไม่คัดค้าน แต่ที่ซุนเสวียนจีอยากรู้ก็คือ เจิ้นกั๋วเจี้ยนนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นดาบที่พกติดตัวของปฐมจักรพรรดิ ควบคุมชะตาภาคกลางมาหกร้อยปี นิสัยใจคอเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“อ้อ อาจารย์โหราจารย์ปิดผนึกมันไว้ กลับไปเจ้าอย่าลืมปลดออกด้วย แต่อย่าทำที่สำนักโหราจารย์เล่า” ซ่งชิงพูด
ซุนเสวียนจีรับเจิ้นกั๋วเจี้ยนไว้ แล้วเข้าใจความหมายของซ่งชิงทันที
จิตสำนึกที่อ่อนแอของเจิ้นกั๋วเจี้ยนบอกว่า
“ทำ…ลาย…เถิด…”
…
ที่ลานบ้าน เฉาชิงหยางยืนมือไพล่หลัง สังเกตเฉาฉุนที่พยายามกวัดแกว่งกระบี่
เด็กชายอายุเจ็ดขวบใช้กระบี่ไม้ได้อย่างทรงพลัง ลีลาพลิ้วไหว ใครที่ได้เห็นฉากนี้ล้วนไม่เชื่อว่า ความจริงเขาเพิ่งเริ่มฝึกเคล็ดวิชานี้ตั้งแต่เมื่อวานนี้เอง
ปราณมังกรเป็นสิ่งล้ำค่าจริงๆ หากสามารถอยู่ในร่างของฉุนเอ๋อร์ตลอดไป ความสามารถของเขามีแต่จะเหนือกว่า…เฉาชิงหยางรีบสลัดความคิดนี้ทิ้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับลูกชายที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป ในฐานะพ่อ เขาหวังอยากให้ลูกปลอดภัยมากกว่าสิ่งใด หวังว่าคนของสำนักโหราจารย์จะไม่รับไปโดยไม่บอก หวังว่าหลังจากสวี่ชีอันได้รับจดหมายลับแล้ว จะมาที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ จู่ๆ เขาก็หันไปมองไปทางด้านหลัง ก็พบว่าไม่รู้ว่าที่นั่นมีเงาของคนชุดขาวเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่
โหร? คนของสำนักโหราจารย์ ไม่มีความอาฆาต…เฉาชิงหยางดวงตาเป็นประกาย พูดว่า
“ฉุนเอ๋อร์ กลับห้องไป”
เฉาฉุนหยุดนิ่ง มองบิดาด้วยความฉงน “ขอรับ”
เหมือนเขาจะไม่เห็นคนชุดขาว มุ่งตรงกลับไปที่ห้อง
เฉาชิงหยางประสานมือพูดว่า “ไม่ทราบท่านมีชื่อแซ่ว่าอะไร?”
โหรชุดขาวมองเขานิ่ง… “ซุน…”
ผ่านไปครึ่งเค่อ เฉาชิงหยางไม่ได้รอข้อความต่อมา เขาแซ่ซุน? บอกแต่แซ่ไม่บอกชื่อ โหรของสำนักโหราจารย์สายตาแหลมคมจริงๆ…เฉาชิงหยางประสานมือคารวะ
“ท่านซุน เรื่องปราณมังกรข้ารู้แล้ว ขอเรียนถามว่าท่านซุนจะจัดการอย่างไร?”
เขารออยู่เป็นเวลานาน สิ่งที่ได้ก็คือ
“เสวียน…จี…”
เฉาชิงหยางผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในสมอง สูดลมหายใจลึก เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“หากนำชีพจรมังกรออกไป ลูกชายของข้าจะมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”
“ไม่!”
“ฆ้องเงินสวี่มาด้วยหรือไม่?”
“ไม่”
ช่างเป็นโหรที่เย็นชาและเย่อหยิ่งเสียจริง…เฉาชิงหยางรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจโหรชุดขาวที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ช่างเย็นชาและเย่อหยิ่งยิ่งนัก พูดจาเพียงคำเดียวเท่านั้น
“ท่านซุน ช่วยเล่าเรื่องปราณมังกรให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
เฉาชิงหยางพูด “อีกอย่าง ข้าอยากพาลูกสาวไปเมืองหลวงเพื่อพบกับฆ้องเงินสวี่”
สิ่งที่เขาคิดอยู่ภายในใจก็คือ จะต้องมีสวี่ชีอันอยู่ด้วย พูดให้เข้าใจถึงข้อดีและข้อเสีย เฉาชิงหยางไม่เชื่อโหรแปลกหน้าคนนี้
…
หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านไป ในห้องหนังสือ เฉาชิงหยางมองดูขนนุ่มๆ ที่ลีลาคล่องแคล่วบนกระดาษ ในใจก็เกิดความรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขอย่างยิ่ง
ซุนเสวียนจีวางพู่กันลง สะบัดกระดาษเบาๆ แล้วส่งให้เฉาชิงหยาง
เฉาชิงหยางรับมา อ่านอย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งอ่านสีหน้ายิ่งเคร่งเครียด
หนึ่งหน้ากระดาษเต็มๆ ได้อธิบายถึงที่มาของปราณมังกรอย่างรวบรัด และในที่สุดเฉาชิงหยางก็รู้แล้วว่าทำไมปราณมังกรจึงสิงอยู่ในร่างลูกๆ ของตนเอง
หลังจากการจักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นพระชนม์ วิญญาณของชีพจรมังกรก็พังทลาย กระจัดกระจายไปทั่วจิ่วโจว อาศัยอยู่ในร่างต่างๆ นอกจากนี้ โหรที่ชื่อซุนเสวียนจีคนนี้ ก็ได้แสดงตัวอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่สามารถดูดปราณมังกรได้ มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งทำให้เฉาชิงหยางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย หากคนที่ดูดปราณมังกรคือสวี่ชีอัน เขาก็จะสบายใจเป็นอย่างมาก เนื้อหาต่อมา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สีหน้าของเฉาชิงหยางเคร่งเครียด
เวลานี้คนที่กำลังรวบรวมปราณมังกรยังมีสำนักพ่อมด ตำหนักความลับสวรรค์ และสำนักพุทธ กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้หมายจะเข้าแทรกแซงภาคกลาง เวลานี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าได้หันปลายหอกไปที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แล้ว สถานการณ์ของบรรพชนไม่ค่อยดี หลับลึกไม่ตื่น จะป้องกันการจู่โจมของศัตรูอย่างไร…เฉาชิงหยางรู้สึกหนักใจ
“เฉาเหมิงจู่เตรียมรับมือศัตรูให้ดี”
ซุนเสวียนจีเขียนประโยคนี้เสร็จ ก็ลุกขึ้นกุมหมัดคารวะ แสงไฟใต้เท้าสว่างขึ้น หายไปต่อหน้าต่อตาเฉาชิงหยาง เขาจะไปหาสวี่ชีอันแล้ว
……………………………………………….