ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 567 สวี่ชีอัน ‘ข้าจะนำหน้าบุกโจมตีเอง’
บทที่ 567 สวี่ชีอัน ‘ข้าจะนำหน้าบุกโจมตีเอง’
หลังจากถามคำถามนี้แล้ว สวี่หยวนไหวก็จ้องพี่สาวตาเขม็ง และกวาดสายตามองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณา
ไม่ว่าใครก็มองเห็นความกังวลของเขา จึงทยอยหันไปมองสวี่หยวนซวงทีละคน
“คนที่ลักพาตัวข้าไปคือสวีเชียน” สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงเบา
สวีเชียน?!
เขาจะจับตามองพวกเราทำไมกัน ไม่น่าใช่ พวกเราไม่ได้ยั่วยุบุคคลนี้แม้แต่น้อย…
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที ทั้งสับสนและหวาดระแวง
สวี่หยวนไหวถามต่อไปว่า “เขารังแกท่านหรือไม่?”
เมื่อถามแล้ว เขาก็ตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสม เรื่องเช่นนี้ ควรจะถามกันเป็นการส่วนตัวระหว่างพี่น้อง ไม่ใช่ถามออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
แล้วจะให้พี่สาวตอบอย่างไร?
“เขาเพียงแค่ถามข้าเล็กน้อย…”
สวี่หยวนซวงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังโดยละเอียด
เมื่อได้ยินว่าสวีเชียนนั่นใช้ฉิงกู่กับสวี่หยวนซวง สีหน้าและท่าทางของทุกคนก็แปลกไปทันที
นางจึงรีบกล่าวเสริมว่า “เขาไม่ได้ทำอะไรข้า เพียงแค่คว้าถุงหอมของข้าแล้วจากไป”
หลังจากกล่าวแล้ว สวี่หยวนซวงก็ยังรู้สึกว่าตนเองมีความน่าสงสัยในการปกปิดอะไรบางอย่าง นางอ้าปากพะงาบๆ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านี้
จีเสวียนไอกระแอมและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าสวีเชียนจะจับตามองพวกเราอยู่ เขาก็กำลังเก็บรวบรวมปราณมังกร เช่นนั้นย่อมต้องมีวิธีสังเกตผู้ถูกปราณมังกรอาศัย”
สวี่หยวนไหวกล่าวด้วยความโกรธว่า “เช่นนั้นทำไมเขาไม่ลงมือกับเหยื่อของสำนักพุทธ ทำไมไม่ลงมือกับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยรอบตัวเรา เขาเลือกพี่สาวข้าทำไม?”
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขากำหมัดแน่นพลางบดขยี้ฟันกรามดังกรอดๆ
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาหยวนไหว อย่ามัวแต่โกรธจนสติมืดบอด เห็นได้ชัดว่าสวีเชียนกำลังวางแผนล้วงข้อมูลของเรา คนฉลาดย่อมวางแผนก่อนลงมือ เขาไม่ได้ลักพาตัวโดยตรง แต่กลับตรวจสอบสถานการณ์ของศัตรูก่อน แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นรอบคอบ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฐานการบำเพ็ญของบุคคลนี้เป็นอย่างที่นายน้อยกล่าว มากสุดคงเป็นแค่ระดับฆ้องทองคำ”
ฉีฮวนตานเซียงของฝ่ายซินกู่หรี่ตาลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงงงงวย “ตามที่คุณหนูหยวนซวงเล่า วิธีที่บุคคลนี้ใช้คือวิธีของฝ่ายอั้นกู่ที่ร่วมมือกับฉิงกู่ ซึ่งเป็นวิธีที่ส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ เป็นซินกู่ที่มีต้นกำเนิดเดียวกันกับข้า นี่…”
เขามองสวี่หยวนซวงด้วยท่าทางประหลาดใจ “นี่เป็นไปไม่ได้”
สวี่หยวนไหวเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”
ฉีฮวนตานเซียงอธิบายอย่างกระชับ “กู่เจ้าชะตามีเพียงหนึ่งเดียว”
จีเสวียนกล่าวอย่างครุ่นคิด “ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ไม่มีการบำเพ็ญกู่แบบสองประเภท?”
“ประการแรก เผ่ากู่ทั้งเจ็ดฝ่ายเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน แต่ก็มีความคิดยึดมั่นในการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย วิชาลับของแต่ละฝ่ายจึงไม่ถูกเผยแพร่สู่ภายนอก ประการต่อมา การปลูกฝังกู่เจ้าชะตานั้น
เป็นห่วงโซ่ที่อันตรายอย่างมากกับเจ้าตัว มักมีทารกสิ้นชีพเพราะทนรับการเปลี่ยนแปลงของกู่เจ้าชะตาไม่ได้ กู่เจ้าชะตาเพียงหนึ่งประเภทยังเป็นเช่นนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับสองประเภท”
หลังจากหยุดชะงักครู่หนึ่ง ฉีฮวนตานเซียงก็เปลี่ยนหัวข้อในการพูด “แต่ก็ไม่แน่ มีการแต่งงานระหว่างแต่ละเผ่า ในประวัติศาสตร์นับพันปีของเผ่าพันธุ์กู่ จะต้องมีบุคคลที่มีพรสวรรค์สักคนที่สามารถรองรับกู่เจ้าชะตาได้ถึงสองประเภท แต่หลายพันปีก็อาจจะยังไม่พบบุคคลเช่นนี้ หากเผ่าพันธุ์กู่ของข้ามีบุคคลที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้ นอกจากนี้ สวีเชียนนั่น คือบุคคลที่รวมสามกู่เป็นหนึ่ง”
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยลูบเครากล่าวว่า “เช่นนั้นก็แปลว่า สิ่งที่คุณหนูใหญ่หยวนซวงเห็น อาจจะเป็นแค่ตัวแทน”
ฉีฮวนตานเซียงส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่นอน หากเขาคือปรมาจารย์ซินกู่ที่สามารถควบคุมจื่อกู่ของฉิงกู่ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับข้า ถึงแม้จะเป็นปรมาจารย์ซินกู่ แต่ข้าก็ควบคุมหนอนพิษได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าก็สามารถพรางตัวเป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ได้เช่นกัน แต่หากบุคคลนี้เป็นปรมาจารย์อั้นกู่ เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นปรมาจารย์ซินกู่ได้อีก หากต้องการรู้เรื่องจริง เกรงว่าข้าต้องกลับไปยังเผ่ากู่สักครั้ง”
จีเสวียนโบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น พวกเรามีภารกิจที่ต้องทำ”
เขาหันไปปลอบสวี่หยวนซวง “ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังต้องพักผ่อนให้มาก ถึงอย่างไรร่างกายของโหรก็อ่อนแอเล็กน้อยอยู่แล้ว”
สวี่หยวนซวงพยักหน้าเงียบๆ และหันกลับเข้าไปในห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากสวี่หยวนไหวเดินตามพี่สาวเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ แล้ว ก็ปิดประตูลงตามหลังนาง
สายตาอันเฉียบแหลมของชายหนุ่มจ้องมองพี่สาวอย่างเคร่งขรึม “สวีเชียนนั่น ได้ทำอะไรไม่ดี…”
สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ากำลังจะพูดอะไร”ไอรีนโนเวล
สวี่หยวนไหวเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “ท่านพูดออกมาเลย หากถูกไอ้สารเลวนั่นเอาเปรียบ ข้าจะฆ่ามันด้วยมือข้าเอง”
สวี่หยวนซวงถูกชายแปลกหน้าลักพาตัวไปเกือบสองชั่วยาม และยังถูกอีกฝ่ายใช้ฉิงกู่ หากพูดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็คงไม่เชื่อ เขาถึงกับสงสัยว่าพี่สาวของตนเองใช้ร่างกายบริสุทธิ์ของตนเองแลกกับชีวิตมาหรือไม่ มิเช่นนั้น ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือมิตรสหาย สวีเชียนจะปล่อยมาได้อย่างไร?
สวี่หยวนซวงขมึงทึง ใบหน้าของนางราวกับมีน้ำแข็งปกคลุม ตัวนางเป็นหญิงงามที่ค่อนข้างหยิ่งและไม่แยแส ตอนนี้นางกลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม
สวี่หยวนไหวเห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งยืนยันการคาดเดาในใจของตนเองมากยิ่งขึ้น เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวว่า “ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องได้ฆ่ามันแน่”
เวลานี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
สองพี่น้องเงียบลงในเวลาเดียวกัน สวี่หยวนไหวมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกและกล่าวว่า “เข้ามา”
ประตูห้องถูกเปิดออก สายลับของตำหนักความลับสวรรค์ที่สวมเสื้อคลุมมีหมวก ยืนอยู่นอกธรณีประตู พลางประสานมือขึ้นมาคำนับ “คำนับนายน้อยหยวนไหวและคุณหนูใหญ่หยวนซวงขอรับ”
ตำหนักความลับสวรรค์เป็นกองกำลังที่ขึ้นตรงกับสวี่ผิงเฟิง ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยเขาเพียงคนเดียว สายลับของตำหนักความลับสวรรค์เคารพเพียงแค่สวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวง แต่กลับไม่สนใจจีเสวียน ผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าเมืองในอนาคต
สายลับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าบอกแล้วว่าคุณหนูหยวนซวงต้องไม่เป็นอะไร”
หลังจากพี่สาวถูกลักพาตัวไป สวี่หยวนไหวก็ติดต่อสายลับตำหนักความลับสวรรค์ทันที ก่อนจะระดมกำลังของท่านพ่อเพื่อค้นหาเบาะแสของพี่สาว
สิ่งที่น่าแปลกคือ หลังจากสายลับตำหนักความลับสวรรค์ได้ยินว่าคนที่ลักพาตัวสวี่หยวนซวงไปเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญในการใช้วิชากระโดดสู่เงาและยังมีวิธีการที่เล่ห์เหลี่ยม เขาไม่เพียงแต่ใจเย็นเท่านั้น แต่ยังพูดด้วยความมั่นใจว่าสวี่หยวนซวงจะต้องกลับมาแน่นอน
“ไม่เป็นอะไรงั้นรึ?” สีหน้าของสวี่หยวนไหวเย็นชาอย่างยิ่ง
สวี่หยวนซวงรีบรั้งมือเขาไว้ทันที เมื่อนึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดของสวีเชียน นางก็จ้องสายลับตาเขม็ง “เจ้ารู้อะไรมาใช่หรือไม่”
สายลับตำหนักความลับสวรรค์ไม่ตอบ แต่กลับกล่าวว่า “นายน้อยและคุณหนู สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือค้นหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยและจับเขาเสีย พวกเราถึงจะสามารถใช้สิ่งนี้เป็นเหยื่อล่อสวีเชียนได้ ในตัวเขามีปราณมังกรที่ค่อนข้างสำคัญถึงสองดวง”
สวี่หยวนไหวดวงตาเป็นประกาย “ตกลง”
…
สวนชิงซิ่ง
สวี่ชีอันกลับมายังจุดตั้งหลักด้วยอารมณ์ขุ่นหมองและสีหน้ากลัดกลุ้ม
เขาไม่ได้ตรงไปหาลั่วอวี้เหิงที่ห้องนอนใหญ่ และไม่ไปพบมู่หนานจือให้อับอายขายหน้า แต่กลับไปหาแม่ม้าน้อยแสนรักของเขาที่คอกม้าแทน
ม้าตัวน้อยกำลังกินอาหารอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินมา มันก็ส่งเสียงร้องยาวและโผล่ศีรษะออกไปเพื่อแสดงความรัก
สวี่ชีอันลูบแก้มมันและหยิบถั่วหนึ่งกำมือมาป้อนมัน ส่วนมือขวาที่ว่างอยู่ก็แตะที่ลำคอด้านข้างของม้าตัวน้อยเพื่อถ่ายทอดพลังปราณ ทำให้กล้ามเนื้อของมันแข็งแรงขึ้น
หลังจากมีซินกู่ สวี่ชีอันก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของม้าตัวน้อย อย่างเช่น ถ้ามันกัดแขนเสื้อสวี่ชีอัน แสดงว่ามันอยากให้เขาขึ้นไปขี่ แต่ถ้ามันเดินกระโดกกระเดกเป็นพิเศษ แสดงว่ามันไม่พอใจที่มู่หนานจือขี่มันตลอดเวลาฃ
สวี่ชีอันให้อาหารม้าไปพร้อมๆ กับสะสางข้อมูลที่ได้รับ
หรือว่าสวี่ผิงเฟิงจะตั้งใจปล่อยให้สองพี่น้องออกมาหาประสบการณ์ เขารู้นิสัยของข้า ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางฆ่าสายเลือดเดียวกัน ก็เลยใช้สิ่งนี้มารั้งข้างั้นรึ?
สวี่ชีอันคว้าเกลือป่นขึ้นมาหนึ่งกำมือและโรยลงบนถั่ว พลางส่ายศีรษะ
ไม่สิ เขาน่าจะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนคร่ำครึ หากสวี่หยวนซวงและน้องชายของนางกล้าลงมือกับข้า ข้าย่อมฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้น สวี่ผิงเฟิงก็ไม่รู้ว่าสองพี่น้องออกมางั้นรึ? พวกเขาถูกคนอื่นยุยง หรือไม่ตัวเองก็อดใจที่จะออกมาหาประสบการณ์ไม่ไหว? จิ๊ ยุ่งยากจริงๆ เลยพี่น้องคู่นี้ ถึงเวลานั้นค่อยจัดการตามสถานการณ์แล้วกัน
ตราบใดที่การประมือกันในภายหลังนั้นไม่ได้ถูกอีกฝ่ายแตะต้องขอบเขต สวี่ชีอันก็ยังอดกลั้นต่อความเป็นปฏิปักษ์เล็กน้อยของสองพี่น้อง
เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อยในทันที โชคดีที่สวี่หยวนซงยังนับว่าให้ความร่วมมือ หากนางมีนิสัยดื้อรั้นกว่านี้ ข้าก็อาจข่มขู่ว่าจะตัดกระโปรงของนาง หรือไม่ก็เปลื้องผ้านาง
นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า นั่นคงเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก…
ไม่ ตอนนี้ก็น่าละอายมากแล้ว ผ้ารัดหน้าอกนางเป็นสีเขียว มุมปากสวี่ชีอันสั่นเล็กน้อย
หลังจากให้อาหารแม่ม้าน้อยแล้ว สวี่ชีอันก็เดินกลับไปยังลานบ้านอย่างเชื่องช้า ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ อีกครู่หนึ่งก็น่าจะได้เวลาอาหารมื้อเย็นแล้ว
สวี่ชีอันวางแผนไปทักทายราชครูตั้งแต่แรก เป็นผลให้ถูกถลึงตาจ้องด้วยความไม่พอใจออกมา ลั่วอวี้เหิงหงุดหงิดและใจร้อนมาก
ราชครูนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ เอะอะอะไรก็หงุดหงิด ตำหนิข้า คิดว่าข้าไม่ใช่คู่บำเพ็ญ แต่เป็นลูกชายของนางกระมัง ถ้าข้าเป็นพวกซาดิสม์ที่ชอบพึ่งพาผู้หญิง ก็คงจะหลงใหลในนิสัย ‘ขี้โมโห’ แต่เห็นชัดๆ ว่าข้าไม่ใช่พวกซาดิสม์ รอราชครูคนต่อไปดีกว่ากระมัง…สวี่ชีอันบ่นในใจ
ตอนที่รับประทานอาหารมื้อเย็น ลั่วอวี้เหิงก็ออกมาอย่างสงบ ไม่พูดไม่จาและไม่มองสวี่ชีอันตลอดเวลา
ลัทธิเต๋ารับประทานอาหารต้องเคี้ยวอย่างระมัดระวังและกลืนช้าๆ ลั่วอวี้เหิงยืดตัวตรง รับประทานอาหารด้วยตะเกียบ นางมีริมฝีปากบางสีแดงเปล่งปลั่ง เรียวคิ้วและโครงหน้าสง่างาม ทว่ากลับเย็นชาอย่างมาก
“วันนี้ข้าดับไฟแห่งกรรมด้วยตัวเองได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องมาห้องข้า”
จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็กล่าวขึ้นมา
เอ๋? สวี่ชีอันเบิกตากว้าง “ไม่ ไม่ใช่เจ็ดวันรึ?”
เขาไม่สามารถปกปิดความผิดหวังในใจได้
เพิ่งบอกเมื่อไม่กี่วันเองไม่ใช่รึ ราชครู สัจวาจาท่านอยู่ที่ใด?
ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสียงเบาว่า “ก็แค่คืนนี้ไม่จำเป็นแล้ว หลังจากผ่านการบำเพ็ญเมื่อคืน ข้าก็สามารถสงบไฟแห่งกรรมด้วยตนเองได้แล้ว”
เจ้าไม่อยากบำเพ็ญคู่กับข้าต่างหาก แน่นอนว่าคนที่มีความโกรธจะหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก แข็งแกร่งมาก ทะนงตนมาก ดังนั้นการที่ไม่อยากบำเพ็ญคู่กับข้าก็เป็นการขยายขอบเขตการต่อต้านในใจของลั่วอวี้เหิง…สวี่ชีอันถอนหายใจ
“ตกลง”
ฟังจากความหมายของราชครู คือคืนนี้ไม่บำเพ็ญคู่ แต่พรุ่งนี้ค่อยดำเนินการต่องั้นรึ? สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจ แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะราชครูคนนี้เป็นเหมือนระเบิดไดนาไมต์ที่อีกนิดเดียวก็จะระเบิดออก
ในเวลากลางคืน เปลวเทียนถูกเป่าจนดับ เขานอนอยู่บนเตียงนอกห้อง สองมือประสานกันอยู่ใต้ศีรษะ พลางทบทวนข้อมูลที่ได้รับวันนี้
กองกำลังของจีเสวียนไม่ได้อ่อนแอ ไป๋หู่ หลิ่วหงเหมียนและจีเสวียนเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ (เผ่าปีศาจ) ฉีฮวนตานเซียงเป็นปรมาจารย์ซินกู่ขั้นสี่ สวี่หยวนซวงเป็นโหรขั้นหก สวี่หยวนไหวเป็นยอดฝีมือขั้นห้า
นักพรตเฒ่าที่มีนามฉายาเจียวเยี่ยอยู่ในขั้นหก พลังของเขานับว่าต่ำที่สุด แต่คนแก่วัดเช่นนี้ไม่สามารถมองข้ามไปง่ายๆ เขาถูกจีเสวียนพาออกมา แน่นอนว่าต้องมีกึ๋นอะไรบางอย่าง
กองกำลังนี้ไม่สามารถรับมือได้ง่ายๆ แต่ถ้าต้องรับมือกับข้า แน่นอนว่าวิชาพวกเขายังร้อนไม่พอ ดังนั้น ศัตรูที่แท้จริงของข้าไม่ควรเป็นพวกเขา สวี่หยวนซวงเคยพูดว่า โหรสามารถพึ่งพาอาวุธเวทมนตร์และค่ายกล เพื่อผนึกกองกำลังให้เป็นปึกแผ่นและระเบิดพลังต่อสู้ขั้นสามออกมาได้
พลังต่อสู้ขั้นสาม ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็เป็นพลังต่อสู้ที่ไม่ควรมองข้าม
เขามองเพดานในความมืดและครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้น ความคิดอันกล้าหาญก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา
ลั่วอวี้เหิงอยู่ที่นี่ ซุนเสวียนจีก็รอรับคำสั่งอยู่ที่เมืองยงโจว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พระอรหันต์ขั้นสองของสำนักพุทธ ระดับเพชรขั้นสามจำนวนสองท่าน และทีมค่ายกลผสานกำลังของสวี่ผิงเฟิงจะแข็งแกร่งขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากข้าดึงผู้ช่วยมาได้จำนวนหนึ่ง อย่างเช่น ท่านอาจารย์ทั้งสองของนิกายสวรรค์ ด้วยวิธีนี้ ก็จะมีศักยภาพในการต่อสู้แบบเพชรตัดเพชร พลังต่อสู้เหนือมนุษย์ก็จะสมดุลกัน และลั่วอวี้เหิงก็เป็นยอดฝีมือสูงสุดของขั้นสอง เพียงแค่ก้าวเดียวก็จะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของฝ่ายข้าน่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่า
ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่เพียงแต่สามารถเสพสุขกับประสบการณ์ ไม่สิ พลังปราณต่างหาก อีกทั้งข้ายังสามารถจับพระอรหันต์และบีบบังคับให้เขาช่วยข้าดึงตะปูตอกวิญญาณออกมา ในฐานะที่เป็นพระอรหันต์ขั้นสอง ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญแห่งสำนักพุทธ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแก้ตะปูตอกวิญญาณไม่ได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ดวงตาของสวี่ชีอันก็สว่างขึ้น
เช่นนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดกับภิกษุเสินซูที่หลงเหลืออีก
ยอดเยี่ยมไปเลย
นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการฟื้นฟูความแข็งแกร่ง ท่านโหราจารย์เคยพูดว่า ตัวแปรทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงในฤดูหนาวปีนี้ หากข้าปฏิบัติตามกฎในการตามหาส่วนที่เหลืออยู่ของเสินซูอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ก็จะสามารถฟื้นฟูการบำเพ็ญได้ในปีวอกใช่หรือไม่?
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และส่งข้อความไปหาหลี่เมี่ยวเจิน
“เมี่ยวเจิน ข้ามีเรื่องด่วนจะปรึกษากับเจ้า”
หลี่เมี่ยวเจินไม่สนใจเขาและปฏิเสธการรับข้อความส่วนตัว
สวี่ชีอันพยายามส่งคำเชิญ ‘ข้อความส่วนตัว’ อย่างไม่ลดละ เขารู้ดีว่าไม่มีใครอดทนกับข้อความส่วนตัวของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไปได้ตลอดรอดฝั่ง
แน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่กี่วินาที หลี่เมี่ยวเจินก็ทนกับการถูกขูดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ไหว นางจึงส่งข้อความกลับไปหาเขาด้วยความโกรธ
“ทำไม ข้ารู้จักเจ้าด้วยรึ?”
สวี่ชีอันส่งข้อความว่า “แน่นอน ข้ามีเรื่องต้องหารือกับเจ้า ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด?”
“ข้าและท่านอาจารย์ รวมทั้งท่านอาจารย์เสวียนเฉิงเดินทางมาถึงเซียงโจวแล้ว แต่ก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว” หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความว่า “เจ้าและคนหื่นกามนั่นอยู่ที่ยงโจวใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์และท่านอาจารย์ลุงของข้าจะตามมาในไม่ช้า”
สวี่ชีอันส่งข้อความว่า “เป็นเรื่องดี”
หลี่เมี่ยวเจินโกรธมาก “ดีกับผีน่ะสิ ถ้าข้าถูกจับกลับไปนิกายสวรรค์ ทั้งชีวิตก็อย่าได้คิดจะออกมาอีก จริงสิ เจ้าคนหื่นกามรู้เรื่องนี้หรือไม่”
“ข้าไม่ได้บอกเขา จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าตนเองถูกนิกายสวรรค์ตามจับอยู่”
“เจ้านี่ชั่วช้าจริงๆ ฮ่าๆๆ”
หลังจากดีอกดีใจในความโชคร้ายของคนอื่นแล้ว หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความด้วยความเศร้าว่า “ช่วงที่ผ่านมาข้าพบกับเรื่องที่ทนไม่ได้มากมาย แต่กลับไม่สามารถลงมือได้ ข้าอึดอัดจริงๆ”
ก็เจ้าขี้ลืมเกินไป…สวี่ชีอันบ่นเงียบๆ ในใจ
“เมื่อท่านอาจารย์และท่านอาจารย์ลุงของเจ้าถึงเมืองยงโจวแล้ว อย่าลืมติดต่อข้า ข้ามีเรื่องจะให้พวกเขาช่วย” สวี่ชีอันกล่าว “การควบคุมที่ดีอาจจะช่วยเจ้าและหลี่หลิงซู่ให้พ้นจากภัยพิบัตินี้ได้”
“เจ้ามีวิธีรึ? รีบบอกข้า รีบบอกข้า!” หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความด้วยความตื่นเต้น
“ถึงเวลานั้น เจ้าก็จะรู้เอง”
สวี่ชีอันสิ้นสุดการติดต่อและเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลงไป ในขณะที่ทำสมาธิเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหอบที่คุ้นเคย
ไหนบอกว่าคืนนี้ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญคู่ไม่ใช่รึ…เขาชะงักครู่หนึ่งและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพบว่าเสียงหอบในคืนนี้ไม่เหมือนกับคืนก่อน ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือคืนนี้มีการควบคุมตัวเองมากกว่า
ดูเหมือนการบำเพ็ญคู่ในคืนนี้จะคลี่คลายไฟแห่งกรรมได้จริงๆ นางคงคิดว่าตนเองสามารถแบกมันไว้ได้ทั้งคืน
สวี่ชีอันลังเลครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจทำตามเจตจำนงของฉิงกู่และจิตวิญญาณแห่งสัญญา เขาวางรองเท้าลงบนเตียงและค่อยๆ เข้าไปใกล้ห้องนอน
‘เอี๊ยด…’
ประตูห้องนอนเปิดออกเล็กน้อย สวี่ชีอันแอบเข้ามาทางช่องว่างของประตู
ลั่วอวี้เหิงที่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อระงับความปรารถนาและต่อต้านไฟแห่งกรรมอยู่บนเตียง เดิมทีนางบรรลุความสมดุลแล้ว แต่เมื่อเห็นสวี่ชีอันเข้ามา นางก็แทบจะทรุดตัวลงและกล่าวด้วยเสียงสั่นเทาว่า “เจ้า เจ้าไสหัวไปซะ…”
………………………………………………