ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 557 กิ่งทองใบหยก
บทที่ 557 กิ่งทองใบหยก
“เมื่อพูดถึง ในปีนั้นบ้านสกุลสวี่ก็เป็นครอบครัวทรงอิทธิพลเช่นกัน”
สมุหราชเลขาธิการหวางถอนหายใจอย่างไม่มีมูล
หนังตาของสวี่ซินเหนียนกระตุก เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “เรื่องทางอวิ๋นโจว ราชสำนักคิดจะแก้ไขอย่างไร”
หลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งถูกประหาร สำนวนคดีสองชุดถูกเก็บเป็นความลับ ผนึกอยู่ในห้องลับที่สำนักราชเลขาธิการ
หนึ่งในนั้นมีเพียงขุนนางที่มีอำนาจเหนือขั้นสามและปราชญ์มหาสำนักเท่านั้นที่จะได้อ่าน
เนื้อหาในสำนวนคดีคือทั่นฮวาหลางและสวี่ผิงเฟิง ศิษย์รองของท่านโหราจารย์ในปีนั้น สมคบคิดกับลูกหลานของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตั้งฐานที่มั่นในอวิ๋นโจว พัฒนาอย่างลับๆ และพยายามก่อกบฏ
เหตุการณ์เก่านำมาซึ่งเรื่องราวต่างๆ เช่น คดีที่อดีตพรรคฉีสมคบคิดกับสำนักพ่อมดและสนับสนุนโจรภูเขา การลักลอบขนแร่เหล็กจากอวี่โจวเข้าอวิ๋นโจว จากขายตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ปัจจุบันหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฝ่ายตรวจการ และศาลต้าหลี่กำลังสอบสวนขุนนางเมืองหลวงทุกคนอย่างเข้มงวดลับๆ เพื่อระบุตัวสายลับที่น่าจะเป็น
ขุนนางทุกพื้นที่ต่างก็เจอกับการสอบสวนอย่างลับๆ เฉกเช่นเดียวกัน
สำนวนคดีอีกชุดหนึ่งบันทึกความจริงที่จักรพรรดิหยวนจิ่ง อ๋องสยบแดนเหนือ และจักรพรรดิเจินเต๋อเป็นคนเดียวกัน
สำนวนคดีชุดนี้ไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ มีผู้รู้เรื่องราวเพียงน้อยนิด
องค์รัชทายาท ไม่สิ จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงวางแผนส่งต่อเป็นความลับของวงศ์ตระกูลต่อไป
“เขตแดนของชิงโจวกับยงโจวได้รับการป้องกันเป็นอย่างดี ราชสำนักยังออกพระราชโองการหลายฉบับไปยังอวิ๋นโจว ขอให้หยางชวนหนาน ผู้บัญชาการของเมืองอวิ๋นโจวกลับมารายงานที่เมืองหลวง ทว่าก็ไร้วี่แวว”
สมุหราชเลขาธิการหวางเอ่ยเสียงขรึม
“อวิ๋นโจวไม่ได้กบฏ ทว่านี่เป็นเรื่องของเวลา บุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อวิ๋นโจวยังอยู่ กองกำลังทหารและวงราชการในอวิ๋นโจวไม่มีการเคลื่อนไหวชั่วคราว ราชสำนักสูญเสียการควบคุมพวกเขาไปแล้ว ลุงของเจ้าทำการค้าที่อวิ๋นโจวมานานแรมปี แผนการกว้างไกล”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้วแน่น “ดังนั้นเจตนาของราชสำนักคือสังเกตการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ หรือ”
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า “ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะปราบปรามลูกหลานของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ ทว่าก่อนหน้านั้น อวิ๋นโจวอาจจะลุกขึ้นกระทำการก่อนก้าวหนึ่ง ราชสำนักก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว”
สวี่ซินเหนียนกระจ่างแจ้ง “ดังนั้น คลังหลวงจึงไม่มีเงินและเสบียงสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเหลือมากพอ”
สมุหราชเลขาธิการหวางเงียบกริบ
…
ภายในห้องอันกว้างใหญ่เงียบสงัดไปพักหนึ่ง
สะใภ้รองจ้าวอวี่หรงกระแอมไอ ใช้น้ำเสียงสั่งสอนความรู้ให้เด็กน้อย
“คุณหนู ถ่านที่บ้านของเจ้าไม่เหมือนกับของที่นี่ นี่เป็นถ่านเนื้อทองที่ราชวงศ์ใช้กัน ใช้ได้เพียงในพระราชวังเท่านั้น”
อันที่จริงด้วยรูปแบบการทำงานที่เสื่อมโทรมและทุจริตของต้าฟ่งในปัจจุบัน จึงมีการขายถ่านเนื้อทองที่ตลาดมืดมากมาย ในบ้านของขุนนางเรืองอำนาจต่างมีถ่านชนิดนี้ไม่มากก็น้อย ทว่าตามปกติจะไม่นำออกมาใช้ยามที่รับแขก
ต่างเสพสุขลับหลังทั้งนั้น
มีเพียงผู้ที่ได้รับพระราชทานเฉกเช่นบ้านสกุลหวางที่จะใช้ได้อย่างเปิดเผย
สะใภ้ใหญ่หลี่เซียงหานหยิบผลไม้เชื่อมใส่ปาก มองสวี่หลิงเยวี่ยที่นั่งเยื้องอยู่ตรงข้าม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คนกันเอง อีกสักพักจะให้คนใช้ห่อถ่านเนื้อทองให้สองจิน ไม่ใช่ของหายากอะไรเสียหน่อย”
ความหมายในประโยคนี่ก็คือ ‘แม้จะได้มาจากจักรพรรดิ ทว่าสำหรับบ้านสกุลหวางก็ไม่นับว่าเท่าไร’
ตระกูลร่ำรวยชั้นสูงแม้จะมีของร่วงหล่นออกมาจากร่องนิ้วก็เป็นสิ่งที่ครอบครัวธรรมดามิอาจได้เพลิดเพลินในชีวิตนี้
ฮูหยินหวางยิ้มกริ่มประคองถ้วยชาดื่ม นางต้องการให้สะใภ้ทั้งสองมา ‘โอ้อวด’ สายสนกลในของบ้านสกุลหวาง แล้วขับบารมีของลูกสาวให้เด่น
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณพี่สะใภ้เจ้าค่ะ ทว่าในบ้านยังมีถ่านเนื้อทองอีกหกสิบจิน น่าจะเพียงพอสำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”
เสียงของนางเบาละมุน สีหน้านอบน้อมจริงใจ มองไม่ออกว่ากำลังโอ้อวด
“ซื้อมาจากตลาดมืดหรือ หกสิบจิน นี่ต้องใช้เงินมากเท่าไร…”
ฮูหยินหวางสำลัก ใช้สายตาหยุดคำถามของสะใภ้ใหญ่ แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“หลิงเยวี่ย ถ่านเนื้อทองเป็นของที่ราชวงศ์ใช้กัน แม้จะบอกว่าตระกูลทรงอิทธิพลมากมายต่างก็แอบซื้อมาใช้ ทว่าเรื่องนี้ไม่ควรป่าวประกาศ หากแพร่ออกไป ในวังจะลงโทษเอาได้ จากนี้ไปก็อย่าไปพูดข้างนอก เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
คำพูดของฮูหยินหวางไม่อ้อมค้อม เป็นคำเตือนที่จริงจัง
บ้านสกุลสวี่ใจกล้าเกินไปแล้ว ถ่านเนื้อทองหกสิบจินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ซื้อขนาดนี้ได้ที่ไหน อาศัยบ้านสกุลสวี่เป็นผู้ดีรุ่นใหญ่จึงเติบโตเช่นนี้ กลัวว่าจะเป็นญาติที่ทำเรื่องชั่วในอนาคต…
บิดาของสะใภ้รองดำรงตำแหน่งอยู่ที่ศาลต้าหลี่ จึงอ่อนไหวกับด้านนี้เป็นพิเศษ
ในเมืองหลวงคล้ายกับมีพวกผู้ดีรุ่นใหญ่แบบนี้จะกระหยิ่มยิ้มย่องหลังจากเรืองอำนาจและเดินอย่างลอยล่องสู่จุดจบที่ไม่ค่อยดีนัก
สวี่หลิงเยวี่ยส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างไร้เดียงสา “องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกับองค์หญิงหลินอันทรงประทานให้”
“?” ฮูหยินหวางชะงักอย่างเห็นได้ชัด แล้วกลับไปสงบเงียบอย่างรวดเร็ว ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
สะใภ้ใหญ่เอ่ยอย่างประหลาดใจ “องค์หญิงทั้งสองทรงประทานให้หรือ”
แววตาของนางกับสะใภ้รองมิอาจเก็บซ่อนความสับสน ในฐานะภรรยาตระกูลร่ำรวยที่เก็บตัวอยู่ในจวนใหญ่ พวกนางถูกปิดกั้นข้อมูลจากโลกภายนอก รู้เพียงว่าต้าหลางบ้านสกุลสวี่สุดยอดมาก ทว่ารายละเอียดในแต่ละด้านกลับไม่แน่ชัด
ตัวอย่างเช่น ต้าหลางบ้านสกุลสวี่เป็นทาสสามตระกูล ในสองตระกูลนั้น ตระกูลหนึ่งเป็นพระธิดาองค์โตที่ถูกยกย่องในพระปรีชาสามารถแห้งต้าฟ่ง อีกตระกูลหนึ่งคือหลินอันที่เคยได้รับความโปรดปรานที่สุด
สวี่หลิงเยวี่ยอธิบาย “องค์หญิงทั้งสองทรงเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่ จึงดูแลบ้านสกุลสวี่เป็นอย่างดี”
สวี่ต้าหลาง…
ไม่รู้ว่านึกถึงตำนานของสวี่ต้าหลางขึ้นมาหรืออย่างไร ฉับพลันสองสะใภ้ก็สุภาพขึ้นมากในทันที รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นขึ้นเช่นกัน
สีหน้าของฮูหยินหวางเคร่งขรึมพร้อมเอ่ย “ได้ยินซือมู่บอกว่าสวี่อวิ๋นหลัวไม่อยู่ที่เมืองหลวงแล้วหรือ”
“พี่ใหญ่ออกไปท่องโลกแล้ว” สวี่หลิงเยวี่ยตอบ
ในบทสนทนาต่อมา สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองก็ ‘อวดรวย’ ไม่หยุด เผยความรู้สึกเหนือกว่าของตระกูลร่ำรวยทรงอิทธิพลเสมอ แสดงอำนาจของบ้านสกุลหวางด้วยสิ่งเหล่านี้
สะใภ้ใหญ่เอ่ย “เอ้อร์หลางดำรงตำแหน่งที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แม้จะบอกว่าเป็นขุนนางมั่งคั่งชั้นสูง ทว่าไม่ค่อยมีอำนาจ หลังจากแต่งงาน จะพยายามส่งไปทำงานต่างถิ่นหลังปีใหม่”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ย “ก่อนที่พี่ใหญ่จะไปก็จัดเตรียมให้พี่รองเรียบร้อยแล้ว”
สะใภ้รองเอ่ย “เอ้อร์หลางกำเนิดในสำนักอวิ๋นลู่ พรสวรรค์ล้ำเลิศ ทว่าไมตรีจิตในวงราชการมีแค่งานเขียน ไมตรีจิตนั้นต้องอาศัยเงินผลักดันขึ้นไป ทว่าก็ไม่สำคัญ เรื่องเหล่านี้ขันทีจะต้องจัดเตรียมอย่างเหมาะสมอยู่แล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ย “ในจวนยังมีผงปรุงรสไก่ที่พี่ใหญ่เหลือเป็นเงินปันผลส่วนหนึ่ง รายได้หลายหมื่นตำลึงต่อปี”
สะใภ้ใหญ่กล่าว “น้องสาวยังไม่แต่งงานสินะ พี่สะใภ้จะแนะนำหนุ่มรูปงามพรสวรรค์ชั้นยอดจากหลายตระกูลให้เจ้า”
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าว “ขอบคุณพี่สะใภ้ ได้ฝีมือสักครึ่งของพี่ใหญ่ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
สะใภ้ใหญ่ “…”
หลังจากทำสงครามไปรอบหนึ่ง สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองก็พ่ายแพ้
ทันใดนั้นพวกนางก็ค้นพบว่าบ้านสกุลหวางในหลากหลายด้าน เช่น ทรัพย์สิน เส้นสาย และอำนาจของตระกูล คล้ายจะไม่มีอะไรเหนือไปกว่าบ้านสกุลสวี่เลย
ความรู้สึกเหนือกว่าหายไปในทันใด
ยายโง่…หวางซือมู่แอบส่ายหน้า
สองสะใภ้ถูกสวี่หลิงเยวี่ยปลุกปั่น เมื่อเห็นพวกนางทำตัวเหนือกว่า สวี่หลิงเยวี่ยจึงยกสวี่ชีอันออกมาให้ประจักษ์ชัด เปรียบเทียบความแข็งแกร่งโดยรวมของบ้านสกุลหวางกับบ้านสกุลสวี่
บีบให้สวี่หลิงเยวี่ยที่โฉมนอกไร้พิษภัยเปรียบเทียบบ้านสกุลหวางกับสวี่ชีอัน
เทียบกันได้หรือ
สองสะใภ้ถูกโฉมนอกของสวี่หลิงเยวี่ยทำให้สับสน คิดไปเองว่าคุมสถานการณ์ได้ คงไม่น่ามีปัญหา สุดท้ายก็เงียบกริบกันไปทีละคนสองคน เพราะบ้านสกุลหวางเทียบบ้านสกุลสวี่ไม่ติดจริงๆ
บัดนี้เสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงินก็ดังมาจากนอกห้อง
ชั่วพริบตาเด็กน้อยคู่หนึ่งวิ่งเข้ามา ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
เด็กชายกำยำน่าเอ็นดู สวมเสื้อคลุมกำมะหยี่พร้อมกับหมวกขนจิ้งจอก ผิวคล้ำเล็กน้อย อายุประมาณสิบขวบ
เด็กหญิงผิวขาวละเอียด ใบหน้ากลมกลึง ดวงตากลมโต มองแวบแรกก็ดูเหมือนสาวงามตัวน้อย อายุประมาณเจ็ดขวบ
“ท่านย่า! ”
รอยยิ้มของเด็กน้อยทั้งสองจางลง แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“พี่เฮ่ากับพี่เตี๋ยมาแล้ว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินหวาง เรียกเด็กน้อยคู่หนึ่งมาที่ข้างกายตน
หวางซือมู่ถือโอกาสแนะนำตัว “นี่คือลูกของพี่ใหญ่”
สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้า
เด็กน้อยทั้งสองนั่งลงข้างกายฮูหยินหวาง เด็กหญิงพิจารณาเด็กน้อยเนื้อแน่นที่รุ่นราวคราวเดียวกันด้วยดวงตาใสแจ๋ว
เด็กชายก็มองสำรวจสาวน้อยแปลกหน้าผู้นี้
สะใภ้ใหญ่ตาเป็นประกาย ทำเสียง ‘โอ๊ะ’ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เฮ่าเอ๋อร์ เตี๋ยเอ๋อร์ มาทักทายน้องสาวเร็ว”
เด็กน้อยทั้งสองทักทายสวี่หลิงอินทันที
สวี่หลิงอินกินขนมอบ ผลไม้แห้ง และผลไม้เชื่อมอย่างจดจ่อ จมอยู่ในโลกของตนเอง
เซ่อซ่าแถมยังตะกละตะกลาม…สะใภ้ทั้งสองส่ายหน้าอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของฮูหยินหวางประดับรอยยิ้มน้อยๆ
สะใภ้ใหญ่ยิ้มพลางเอ่ยถาม “ยังไม่ได้ถามเลย คุณหนูหลิงอินอยู่ในระดับก่อปัญญาหรือยัง”
สวี่หลิงเยวี่ยส่ายหน้าพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ยังเจ้าค่ะ หลิงอินหัวทึบ แม้แต่คัมภีร์สามอักษรยังท่องไม่เป็น ส่งไปร่ำเรียนก็ไม่มีประโยชน์”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสะใภ้ใหญ่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“นี่ไม่ได้นะ แม้จะบอกว่าหญิงสาวอย่างพวกเราไม่จำเป็นต้องสอบเพื่อลาภยศ ทว่าต้องชำนาญในศาสตร์ทั้งสี่[1] ข้าคิดว่าส่งคุณหนูหลิงอินไปที่สำนักศึกษาเอกชนของบ้านสกุลหวางได้”
ฮูหยินหวางพยักหน้าด้วยใบหน้าเป็นมิตร “ยังมีโอกาสเข้าวังเรียนหนังสือร่วมกับพระราชโอรสสองวันในทุกเดือน ตั้งใจฟังมหาราชครูสั่งสอน”
“แค่กๆ…”
หวางซือมู่สำลักชาจนน้ำตาไหล
“เป็นอะไรไป” ฮูหยินหวางมองลูกสาวของตน
“นายจางกับมหาราชครูต่างก็อายุมากแล้ว…” หวางซือมู่เอ่ยเสียงเบา
ดังนั้นท่านแม่ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ
“ตกลงเจ้าค่ะ! ”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ย “ขอบคุณฮูหยินหวางมากเจ้าค่ะ”
สวี่หลิงเยวี่ยชะงัก ก่อนจะเอ่ย “อันที่จริงหมู่นี้หลิงอินกำลังฝึกวิทยายุทธ์ จึงทิ้งร้างวิชาการ ข้าก็คิดว่านางควรเรียนหนังสือให้มาก”
“ฝึกวิทยายุทธ์หรือ”
หญิงสาวในห้องเผยสีหน้า ‘นี่ช่างป่าเถื่อน’ ออกมา จอมยุทธ์ก็ป่าเถื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หญิงสาวเรียนวิทยายุทธ์ นับว่ายิ่งป่าเถื่อนในหมู่คนป่าเถื่อนเสียอีก
หวางเฮ่าที่ผิวคล้ำตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืนจ้องสวี่หลิงอินเขม็งพร้อมเอ่ย
“เจ้าก็เรียนวิทยายุทธ์หรือ พวกเรามาประลองกัน”
ข้อเสนอของเด็กชายถูกผู้เป็นมารดาปัดตก สะใภ้ใหญ่ตำหนิ “หยุดพล่ามไร้สาระ เจ้าเป็นต้นกล้าชั้นดีที่เยี่ยมยอด คุณหนูหลิงอินไม่เหมือนกับเจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้าจะรังแกนางหรอกหรือ”
แล้วหันไปพูดกับสวี่หลิงเยวี่ย “เฮ่าเอ๋อร์หน่วยก้านดี ขุนนางต่างแดนในจวนชมว่าเป็นต้นกล้าชั้นดี จึงรับเป็นลูกศิษย์ ขันทีก็กล่าวเช่นกัน เรียนวิทยายุทธ์ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้นับเป็นเรื่องดี ในอนาคตเฮ่าเอ๋อร์ก็จะได้ทั้งบู๊และบุ๋น”
น้ำเสียงภาคภูมิใจยิ่งนัก
สวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้า “น้องสาวของข้ามีแต่พละกำลัง”
ท่าทางช่างน้อยเนื้อต่ำใจ
หวางเฮ่าไม่เคยพบคู่ต่อสู้รุ่นราวคราวเดียวกันตามปกติ ยากจะพบสักคน จึงเอ่ยอย่างร้อนรน
“ท่านย่า ข้ารู้จักบันยะบันยัง ท่านให้ข้าประลองกับนางเถิด หากกลัวว่าข้าจะทำนางบาดเจ็บก็ให้ทหารรักษาพระองค์มาดูแลก็ได้”
ฮูหยินหวางยังคิดว่าไม่ค่อยเหมาะสมอยู่ดี กำลังจะปฏิเสธกลับได้ยินสวี่หลิงเยวี่ยเอ่ย “เอาสิ”
หืม ฮูหยินหวางปรายตามองนาง แล้วเอ่ยอย่างจำใจ “ตกลง”
จากนั้นให้สาวใช้เรียกทหารรักษาพระองค์มาหนึ่งนายทันที
หวางเฮ่ากับสวี่หลิงอินออกมาจากห้องและมาที่ลาน
สวี่หลิงเยวี่ย หวางซือมู่ สองสะใภ้ และฮูหยินหวางสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ยืนชมอยู่ใต้ชายคา
ทหารรักษาพระองค์วัยกลางคนกดกระบี่ด้วยมือเดียว มองสำรวจเด็กน้อยทั้งสองก่อนจะเอ่ย “ก่อนจะประลอง ข้าจะขอดูพละกำลังของพวกเจ้าเสียก่อน”
พูดพลางชี้ไปที่ม้าหินด้านข้าง “ขยับม้านั่ง”
เด็กน้อยเล่นขายของสำหรับเขาไม่มีเหตุการณ์กระบี่ไร้ตา[2]แต่อย่างใด ทว่าเพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย ทดสอบพละกำลังเสียก่อนดีกว่า
หากความต่างเหลื่อมล้ำมากเกินไปก็ไม่จำเป็นต้องประลอง
หวางเฮ่าเริ่มเดินไปที่โต๊ะหินก่อน โน้มตัวกอดม้าหินข้างโต๊ะ ก่อนจะตะโกนลั่น อุ้มม้านั่งขึ้น
ใบหน้าเล็กของเขาแดงก่ำ เส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผาก อ่อนแรงหลังเดินไปสิบก้าว ฮูหยินหวางร้องเรียกอยู่ด้านข้างตลอดกระบวนการ
“ช้าหน่อย เดินช้าหน่อย…”
สะใภ้รองเอ่ยชม “เฮ่าเอ๋อร์ช่างมีความสามารถ”
สะใภ้ใหญ่รอยยิ้มเต็มหน้า แล้วอุทานเอ่ย “อันที่จริงเรียนหนังสือดีกว่า เฮ้อ เดิมทีก็ไม่อยากให้เขาเรียนวิทยายุทธ์ เฮ่าเอ๋อร์หน่วยก้านดีเกินไปจริงๆ ”
สะใภ้ใหญ่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของฝานเอ่อร์ไซ่โดยไม่พึ่งครู
ทหารรักษาพระองค์วัยกลางคนเอ่ยชม “นายน้อยอนาคตไกลในภายภาคหน้าแน่ขอรับ”
เขามองตามหลังสวี่หลิงอิน “ไม่ต้องฝืน”
ในที่สุดสวี่หลิงอินก็กินผลไม้เชื่อมในมือหมด เลียฝ่ามือ และเดินไปที่โต๊ะหินท่ามกลางสายตาของทุกคน
นางเอื้อมมือจับขอบโต๊ะหินเอาไว้
ทหารรักษาพระองค์วัยกลางคนกำลังจะพูดว่า ‘ไม่ใช่อันนี้’ ทันใดนั้นนัยน์ตาก็เบิกกว้าง เห็นว่าโต๊ะหินถูกเด็กหญิงตัวน้อยจับขึ้นมาด้วยมือเดียวคล้ายขนนกที่ไร้น้ำหนัก ยกขึ้นเหนือศีรษะ
ยกขึ้นเหนือศีรษะ…
ด้วยมือเดียว…
สถานการณ์เงียบกริบในบัดดล
สะใภ้ใหญ่เบิกตากว้าง อ้าปากน้อยๆ ทั้งร่างแข็งทื่อราวกับถูกโจมตีมิอาจต้านรับ
ฮูหยินหวางสีหน้าประทับใจ
นายน้อยบ้านสกุลหวางอึ้ง
‘โครม!’
สวี่หลิงอินโยนโต๊ะหินกลับที่เดิม แล้วมองพี่สาวอย่างเซ่อซ่า “สู้กันได้หรือยัง”
สู้เสร็จยังต้องกลับไปกินต่ออีก
“ไม่! ”
“ไม่ประลองแล้ว! ”
ฮูหยินหวางกับสะใภ้ใหญ่แผดเสียงร้องพร้อมกัน
บัดนี้สวี่หลิงเยวี่ยยังคงมีท่าทางไร้พิษภัยของสาวงามสามัญชน แล้วเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“หลิงอินทำอะไรก็ไม่เป็น จะมีก็แต่พละกำลัง พี่ใหญ่ก็คิดว่านางสติปัญญาไม่ได้เรื่อง”
สะใภ้ใหญ่มองนางอย่างตะลึง ริมฝีปากพะงาบ ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
นี่…ฮูหยินหวางกับสะใภ้รองก็ไม่เหลือเสียงแล้ว
…
สวี่ซินเหนียนทานมื้อกลางวันที่จวน หลังจากอำลากับสมุหราชเลขาธิการหวาง เมื่อไปที่ลานหลังก็เห็นน้องสาวทั้งสองรออยู่ที่ทางเข้าโถงใน คนใช้ที่ตามมาจากจวนประคองกล่องของขวัญกองใหญ่ นี่เป็นของขวัญที่ได้มาจากบ้านสกุลหวาง
เขาไม่ได้เข้าไปในโถงใน ยืนพยักหน้าเล็กน้อยอยู่ไกลๆ รอเหล่าน้องสาวเดินเข้ามาพร้อมกับคนใช้ แล้วสามพี่น้องก็ออกจากจวนสกุลหวางไป
เมื่อเข้าไปในรถม้า ล้อรถก็สั่นเคลื่อน สวี่ซินเหนียนเหลือบมองน้องสาวพร้อมเอ่ย
“รู้สึกอย่างไร”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ดีเจ้าค่ะ พี่ซือมู่บอกกฎระเบียบ”
บอกกฎระเบียบหรือ สวี่ซินเหนียนจ้องนางอย่างฉงน
สวี่หลิงเยวี่ยส่งยิ้มอย่างน่าเอ็นดู
นางยังคงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากหวางซือมู่ออกโรงประชันคงน่าสนใจกว่านี้อีกหน่อย
…
เมื่อสวี่ซินเหนียนจากไป สมุหราชเลขาธิการหวางก็ดื่มชาอยู่ตามลำพัง แล้วไปที่โถงใน
บรรยากาศที่นี่อึมครึมเล็กน้อย ภรรยาเอกฮูหยินหวาง ลูกสะใภ้ทั้งสอง และลูกสาวหวางซือมู่กำลังนั่งอยู่อย่างเงียบๆ
ลูกสาวยังพอว่า แต่ภรรยาเอกฮูหยินหวางสีหน้าอึมครึม ลูกสะใภ้ทั้งสองก็มิอาจซ่อนความซึมเซาและความผิดหวังได้
สมุหราชเลขาธิการหวางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “งานกร่อยแล้วหรือ”
ลูกสะใภ้ทั้งสองไม่เอ่ยอะไร
ฮูหยินหวางลังเลสักพักก่อนจะเอ่ย “นายท่าน ข้าเพียงคิดว่าบ้านสกุลสวี่กับพวกเราดองกันไว้ก็ไม่นับว่าต่างชั้นอะไร”
สะใภ้ใหญ่พยักหน้าไม่หยุด “ใช่เจ้าค่ะๆ ”
นางอยากส่งเฮ่าเอ๋อร์ไปเรียนวิทยายุทธ์ที่จวนสกุลสวี่
สะใภ้รองเอ่ยอย่างปลงตก “ซือมู่แต่งกับเอ้อร์หลางเหมาะสมเป็นกิ่งทองใบหยกเจ้าค่ะ”
จากนี้ไปต้องให้ความสนใจบ้านสกุลสวี่กว่าเดิมเสียหน่อย นางเก็บความรู้สึกเหนือกว่าของตนเองลงไปอย่างเงียบๆ
หวางซือมู่พลันเอ่ย “ท่านพ่อ พี่สะใภ้ใหญ่ตกลงรับคุณหนูบ้านสกุลสวี่มาเรียนที่จวนเจ้าค่ะ”
สมุหราชเลขาธิการหวางถามกลับ “มีปัญหาอะไรหรือ”
เรื่องเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องหารือกับเขา
หวางซือมู่เอ่ยอย่างแผ่วเบา “หากกลับคำเรื่องที่รับปากก็ให้พี่ใหญ่ไปเจรจาที่จวนสกุลสวี่เอง ข้าจะไม่เป็นคนจัดการ”
สมุหราชเลขาธิการหวางโบกมือปัด “เรื่องเล็กน้อย”
สมุหราชเลขาธิการหวางในตอนนี้ยังไม่รับรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์…เขาแปลกใจกว่าเดิม เหตุใดจู่ๆ สมาชิกหญิงในบ้านถึงยอมแพ้และมีท่าทีซึมเซาไร้แรงฮึดสู้
…
เมื่อกลับไปถึงจวนสกุลสวี่ สวี่หลิงอินสองมือจับหลังเอว ยืดอก โน้มตัวพุ่งเข้าไปหาท่านอาจารย์ลี่น่า แล้วแบ่งอาหารเลิศรสที่ตนได้รับมาจากจวนสกุลหวางกับนาง
สวี่หลิงเยวี่ยไปที่เรือนตะวันออกเพื่อรายงานกับมารดา
อาสะใภ้เห็นลูกสาวกลับมาก็ถามเข้ามาเต็มเหนี่ยว “ถูกรังแกหรือไม่ จวนสกุลหวางดูถูกไหม รู้สึกกล้ำกลืนหรือเปล่า”
สวี่หลิงเยวี่ยส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ฮูหยินหวางกับพี่สะใภ้ทั้งสองสุภาพมากเจ้าค่ะ”
อาสะใภ้ไม่เชื่อ แล้วจิ้มหน้าผากของลูกสาว “เด็กสาวเช่นเจ้า แม้จะถูกรังแกก็อดทน”
พูดพลางเรียกลูกสาวไปนั่งที่โต๊ะ แล้วชี้แนะอย่างจริงใจ
“บอกเรื่องที่เจอในบ้านสกุลหวางมา แม่จะช่วยเจ้าวิเคราะห์ว่าสิ่งใดไม่ได้ทำและสิ่งใดควรรับมืออย่างไร เจ้าน่ะ จำเอาไว้ให้ดี หลังจากแต่งเข้าบ้านก็ใช้สิ่งที่แม่สอนรับมือกับแม่สามี”
สวี่หลิงเยวี่ยพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู “งั้นในตอนนั้นท่านแม่ก็ทำเช่นนี้กับท่านย่าด้วยอย่างนั้นหรือ”
อาสะใภ้เบ้ปาก “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ท่านย่าของเจ้าเสียก่อนที่ข้าจะแต่งงานกับพ่อเจ้าแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยถอนใจเอ่ย “ท่านแม่ช่างโชคดีเสียจริง”
…
เซียงโจว จวนสกุลไฉ
เทพอารักษ์ตู้หนานร่างสูงแปดฉื่อ (1 ฉื่อประมาณ 23.1 เซนติเมตร) ห่มกาสาวพัสตร์สีแดงสลับเหลือง เดินมาที่นอกประตูกลาง
“รบกวนประสกรายงานว่า อาตมาคือตู้หนาน”
ภิกษุร่างใหญ่พนมมือ
เทพอารักษ์ตู้หนานในตอนนี้ลมปราณทั้งหมดเหือดหาย นอกจากร่างดุจเจดีย์เหล็กก็ไม่มีอะไรต่างจากคนทั่วไป ลูกไฟด้านหลังศีรษะก็จางหายเช่นกัน
คนเฝ้าประตูเหลือบมองร่างยักษ์อย่างหวาดกลัว แล้วเอ่ยเสียงสั่น “ตะ ไต้ซือรอสักครู่ขอรับ…”
………………………………………
[1] ศาสตร์ทั้งสี่ หมายถึง กู่ฉิน หมากล้อม การเขียนพู่กัน และการวาดภาพ
[2] กระบี่ไร้ตา หมายถึง ทำให้คนได้รับบาดเจ็บ