ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 466 ส่งสู่สัมปรายภพ
บทที่ 466 ส่งสู่สัมปรายภพ
หลังจากที่สวี่ชีอันตกตะลึงเล็กน้อย แววตาของเขาก็ฉายแววเฉียบขาดขึ้นมาทันที จ้องมองไปที่ขุนนางวัยกลางคน แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คำพูดล้อเล่นนี้ไม่ตลกเลย”
ได้ยินคำพูดประโยคนั้น มันเหมือนกับกำลังพูดว่า พ่อเจ้าตายแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใจนิสัยของสมุหราชเลขาธิการหวาง สวี่ชีอันคงจะคิดว่าสมุหราชเลขาธิการหวางกำลังตั้งใจยั่วยุเขา แต่เพราะเขารู้ว่าสมุหราชเลขาธิการหวางไม่มีวันทำเช่นนี้ เขาจึงโกรธเคืองมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม สับสนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และสลดใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ขุนนางวัยกลางคนก้มศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำ พูดด้วยท่าทางงุ่มง่ามว่า
“เว่ยกงเสียชีวิตที่แท่นบูชาหลักสำนักพ่อมดในสนามรบในเมืองจิ้งซาน กองกำลังหนึ่งแสนนายถอนกำลังกลับมาเพียงหนึ่งหมื่นหกพันกว่าคน…ข่าวด่วน เพิ่งมาถึงคืนนี้”
พูดจบ ไม่มีเสียงตอบรับอยู่เป็นเวลานาน ขุนนางวัยกลางคนท่านนี้จึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือด
“การประชุมระหว่างฝ่าบาทและเหล่าขุนนางในวันนี้ จะต้องหารือเรื่องนี้อย่างแน่นอน ข่าวกรองที่จะตามมาก็จะค่อยๆ ทยอยมาถึงเมืองหลวง…ส่งข่าวเรียบร้อยแล้ว ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากที่เขาโค้งคำนับแล้ว ก็หันหลังเดินจากไป
…
‘เอี๊ยด…’ เมื่อจงหลีได้ยินเสียงประตูถูกผลักออก นางผงกหัวขึ้นมองอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่าสวี่ชีอันกลับมาแล้ว ก็นอนต่อด้วยความสบายใจ
ศิษย์พี่จงให้ความสำคัญกับการนอนของตัวเองมาก ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับความแก่อันเนื่องมาจากการอดนอนของสตรี สิ่งสำคัญคือหากนางนอนไม่พอ อาจทำให้เกิดโรคปัจจุบันทันด่วน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ตายอย่างกะทันหัน เป็นต้น
หากเป็นเช่นนั้น ความเป็นและความตายก็อยู่แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ยาวิเศษของสำนักโหราจารย์ก็อาจจะกินไม่ทัน
แน่นอนว่า สถานการณ์นี้พบได้น้อย แต่ศิษย์พี่จงมีประสบการณ์สูง และรู้วิธีป้องกันตัวเอง คงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะอันตรายเช่นนี้
ฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว จงหลีผู้ซึ่งงีบหลับเพียงระยะเวลาสั้นๆ ได้ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน ยืดเหยียดร่างกายอ้อนแอ้นอรชร จู่ๆ นางก็ตกตะลึงในทันใด…
ที่ข้างโต๊ะหนังสือ มีเงาคนนั่งอยู่ นิ่งเงียบราวกับรูปปั้นที่มีมาแต่โบราณกาล
ตั้งแต่กลับมาถึงห้องเขาก็นั่งอยู่ตรงนั้นตลอด! จงหลีรู้สึกตัว นางสำรวจอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขาช่างอ้างว้าง สงบนิ่งยิ่งนัก
เหมือนนักเดินทางที่ระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างแดน
…
ท้องพระโรง ตำหนักกระดิ่งทองในเวลานี้
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเดินผ่านประตูอู่ ข้ามสะพานจินสุ่ย ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งเครียด หยุดที่ตำแหน่งที่ตรงกับตำแหน่งขุนนางของตัวเองตามลำดับ
เหล่าขุนนางเดินผ่านบันได เข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทองอันงดงามและกว้างใหญ่ไพศาล
การประชุมวันนี้ล่าช้าเล็กน้อย เนื่องจากมีเหตุด่วนกะทันหัน ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ทางพระราชวังจึงแจ้งขุนนางในเมืองหลวงให้เข้าเฝ้าทีละคน ห้ามลาประชุมด้วยข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงการเจ็บป่วยด้วย ตราบใดที่ยังไม่ตาย แม้ต้องหามก็ต้องหามเข้าวัง
จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน!
ขุนนางในเมืองหลวงล้วนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูง จึงตระหนักในทันทีว่าเป็นสถานการณ์เร่งด่วน
เหล่าขุนนางเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทองอย่างมีระเบียบ เรียงลำดับอย่างเรียบร้อย ทุกคนอยู่ในความสงบ เวลานี้ สมุหราชเลขาธิการหวางค่อยๆ หันศีรษะ มองไปทางซ้าย ตรงนั้นไม่มีใครเลย เดิมทีตรงนั้นควรจะมีคนสวมชุดดำยืนอยู่
นับตั้งแต่เว่ยเยวียนออกรบเป็นต้นมา เขาทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ขุนนางที่หลักแหลมส่วนหนึ่ง มีท่าทีคล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
เวลาหนึ่งเค่อต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเสด็จเข้ามาจากด้านหลังตำหนัก พระองค์ไม่ได้สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าอีกแล้ว แต่ทรงสวมเสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองอร่าม
ทันทีที่พวกเขาเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่ง เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง จักรพรรดิชราประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญธรรม พระเกศาดกดำ พระพักตร์แดงเปล่งปลั่งพระองค์นี้ เวลานี้กลับดูเหมือนชายชราที่ผู้มีผมสีดำและผิวแดงก่ำ ดูเหมือนจะเป็นชายชราที่เพิ่งถูกโจมตีครั้งใหญ่ในชีวิต
ดวงพระเนตรมีแววหม่นหมอง พระฉวีแห้งผากไม่สดใส ทรงดูซีดเซียวอย่างยิ่ง
นี่…เหล่าขุนนางต่างใจหาย
ขันทีชราออกจากแถวมาในเวลาที่เหมาะสม กล่าวเสียงดัง “มีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียง สมุหราชเลขาธิการหวางก็ก้าวออกจากแถว กล่าวเสียงอย่างเคร่งขรึมว่า
“ฝ่าบาท มีรายงานด่วนจากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เว่ยเยวียนนำกองกำลังทหารเข้าไปในศูนย์กลางกองกำลังของศัตรู ตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดแตก เขาได้พลีชีพเพื่อชาติ กองกำลังหนึ่งแสนนายถอนกำลังกลับมาเพียงหนึ่งหมื่นหกพันกว่าคนพ่ะย่ะค่ะ…”
ภายในตำหนัก ทุกคนต่างมีสีหน้างุนงง หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ตำหนักกระดิ่งทองก็เดือดขึ้น เสียงเอะอะโวยวายระเบิดขึ้นทันที
“เงียบ!”
ขันทีชราโบกแส้ แล้วฟาดลงบนพื้นที่สะอาดเป็นเงา เสียงฟาดนั้นดังกังวาน
แต่ถึงอย่างไรก็เขาไม่สามารถระงับเสียงอึกทึกครึกโครมของเหล่าขุนนางได้
เช่นเดียวกับสมุหราชเลขาธิการหวางที่เสียกิริยา เมื่อได้ยินข่าวร้ายครั้งแรก เหล่าขุนนางก็เช่นเดียวกัน สำหรับเรื่องบางเรื่อง ใช่ว่าบังคับจิตใจให้สงบแล้วจิตใจจะสามารถสงบลงได้โดยง่าย
กองกำลังทหารเกือบหนึ่งแสนนายล้มตายเกือบทั้งหมด นี่ถือเป็นการโจมตีอย่างหนัก สร้างความสั่นคลอนให้กับรากฐานในการสร้างชาติของต้าฟ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าสาเหตุหลักที่ทำให้บรรดาขุนนางหวั่นไหวจนสูญเสียกิริยา คือข่าวการสละชีพตนเองของเทพแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น
ถึงแม้ว่าบรรดาศัตรูทางการเมืองของเว่ยเยวียน จะเอาแต่เอะอะโวยวายว่า ‘ฝ่าบาท ทรงตัดหัวสุนัขตัวนี้ด้วย’
แต่ความเป็นจริงไม่ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ในใจของเหล่าขุนนาง รวมถึงศัตรูทางการเมืองเช่นพรรคหวาง ทุกคนต่างยอมรับว่าความจริงแล้วเว่ยเยวียนเท่านั้นที่จะเป็นเสาหลักในการสร้างความสงบให้แก่ต้าฟ่ง
แม้ว่าไหวอ๋องจะเป็นทหารขั้นสาม สามารถป้องกันฝ่ายหนึ่งได้ แต่หากคิดจะยันภูเขาของต้าฟ่งลูกนี้ไว้ นับว่าเขายังห่างไกลนัก
มีเพียงเว่ยเยวียน เทพแห่งสงครามผู้ที่ชนะสงครามที่ด่านซานไห่เท่านั้น จึงจะเป็นผู้ที่ทำให้ผู้ทรงอิทธิพลในจิ่วโจวทุกฝ่ายเกรงกลัวได้ เพราะพวกเขาต่างรู้สึกกลัวมาตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว
อ๋องสยบแดนเหนือ? ในเวลานั้นเขาเป็นเพียงใบไม้สีเขียวข้างกายเว่ยเยวียนใบหนึ่ง ส่งเสริมให้เขาเด่นอย่างไม่เต็มใจ
เวลานี้ เสาหลักในการสร้างความสงบให้แก่ต้าฟ่งที่แท้จริงต้นนั้นล้มลงแล้ว…
เหล่าขุนนางต่างไม่เชื่อความจริงเรื่องนี้ แต่ข่าวกรองทางการทหารที่เร่งด่วน นับตั้งแต่ต้าฟ่งสร้างชาติมาหกร้อยปีไม่เคยผิดพลาดมาก่อน เพราะนี่เป็นโทษร้ายแรงถึงขั้นตัดศีรษะ จะผิดพลาดไม่ได้
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเฝ้าดูฉากนี้อย่างเงียบๆ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หลังจากทรงรออยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเสียงอึกทึกในพระตำหนักสงบลง พระองค์จึงทรงตรัสด้วยสีพระพักตร์เสียพระทัยยิ่งนักว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้ ควรจัดการอย่างไรดี”
ยังคงเป็นสมุหราชเลขาธิการหวางที่ตอบกลับ น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและทรงพลัง
“กระหม่อมคิดว่า ควรจะเกณฑ์กำลังทหารจากทุกแคว้น ใช้กองกำลังทั้งประเทศ บัญชาการกองกำลังทหารไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและชนเผ่าหมาน กวาดล้างสำนักพ่อมดให้สิ้นซาก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงถอนหายใจแล้วตรัสว่า “ต้าฟ่งสูญเสียกองกำลังทหารไปเกือบหนึ่งแสนนาย พวกเขาทุกคนล้วนเป็นราษฎรของข้า ลูกของข้า ขุนนางของกษตริย์ เจ้าจะให้ข้าแข็งใจทำสงครามอีกได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท!”
สมุหราชเลขาธิการหวางส่งเสียงดัง กล่าวด้วยความร้อนใจว่า
“ตามรายงานข่าวกรอง เว่ยเยวียนได้ตีเมืองจิ้งซานแตกแล้ว สำนักพ่อมดได้รับความเสียหายอย่างหนัก ยอดฝีมือแท่นบูชาหลักล้มตายไปเจ็ดส่วน เหยียนกั๋วถูกกองกำลังทหารบุกทะลวงใจกลางดินแดน สถานการณ์คับขัน เมืองที่พิชิตยากก็ถูกเว่ยเยวียนพิชิตลงแล้ว
“จิ้งกั๋วทำสงครามในภาคเหนือเป็นเวลาหลายเดือน ประสบความสูญเสียอย่างหนัก แล้วยังมีเผ่าพันธุ์ปีศาจและชนเผ่าหมานทางภาคเหนือตรึงกำลังเอาไว้ ปัจจุบันแคว้นที่รักษากำลังทหารไว้ได้ค่อนข้างครบถ้วนมีเพียงคังกั๋วเท่านั้น เวลานี้ทำสงครามอีกครั้ง ภายในเวลาร้อยปี ลูกหลานของต้าฟ่งจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสำนักพ่อมดอีกแล้ว”
ข้อเสนอแนะของเขาได้รับการสนับสนุนจากขุนนางชั้นสูงและผู้นำทางการทหารบางส่วน
เว่ยเยวียนรวบกองกำลังของสำนักพ่อมดไว้จนหมดสิ้น ตีแท่นบูชาหลักแตก ด่านอันตรายที่เป็นอุปสรรคของกองกำลังของต้าฟ่งไม่มีเหลืออีกแล้ว นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในรอบหนึ่งพันปี
“ขุนนางหวาง…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงโบกพระหัตถ์ ทรงตรัสด้วยน้ำใสใจจริงว่า “นี่เท่ากับเป็นการก่อสงครามรุกรานตามอำเภอใจ”
สมุหราชเลขาธิการหวางมองไปที่องค์จักรพรรดิที่ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร เผยอริมฝีปาก แต่แล้วก็ถอยกลับไปด้วยความเศร้าใจ
ทันทีที่เขาถอยกลับ กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ก็จะหันไปอีกทาง เมื่อชนรุ่นหลังหวนระลึกถึงประวัติศาสตร์ในยุคนี้ แล้วทำการวิเคราะห์กองกำลังของต้าฟ่งและสำนักพ่อมด หลังจากเปรียบเทียบความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย พวกเขาจะต้องเห็นพ้องต้องกันว่า หากต้าฟ่งในเวลานี้ทวีความฮึกเหิมเหี้ยมเกรียมขึ้น ในอีกสิบปีข้างหน้า เมื่อถึงคราวออกรบกับสำนักพ่อมดอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรสำนักพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบพื้นที่หกหมื่นกว่าลี้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาเป็นเวลาหลายพันปีจะต้องล่มสลาย และยากที่จะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง
ชนรุ่นหลังจำนวนนับไม่ถ้วนจะต้องทอดถอนหายใจด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเทพแห่งสงครามชุดดำผู้พลีชีพที่เมืองจิ้งซาน การประเมินในหนังสือประวัติศาสตร์คือ ‘เป็นผู้ต่อลมหายใจให้กับที่ราบภาคกลาง’
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ทอดพระเนตรสมุหราชเลขาธิการหวางที่ถอยกลับเข้าที่อีก แต่ทรงกวาดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนาง “ทุกท่านคิดว่า เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร?”
เจ้ากรมกรมทหารก้าวออกจากแถว โค้งคำนับแล้วกล่าวว่า
“กระหม่อมคิดว่า ควรจะโยกย้ายกำลังทหารสองหมื่นนายจากแคว้นเซียง จิง และอวี้ซึ่งอยู่ติดกัน ตั้งทัพที่ชายแดน ส่วนกองกำลังที่เหลือจากการล่าถอยก็ตรึงกำลังอยู่ที่บริเวณชายแดนของทั้งสามแคว้น เพื่อป้องกันสำนักพ่อมดหันกลับมาโจมตี”
“นอกจากนี้ เนื่องจากเว่ยกงได้พลีชีพไปแล้ว ฝ่าบาทจึงควรส่งผู้บัญชาการทหารไปอีกคนพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเหลือบมองเขา เมื่อทรงเห็นว่าเขาไม่ได้พูดต่ออีก จึงทรงพยักพระพักตร์แล้วตรัสว่า “ท่านขุนนางเฉินพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”
ในเวลานี้ รองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้าก้าวออกจากแถว กล่าวว่า “หากฝ่าบาททรงโปรดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ถ้าเช่นนั้นก็ควรหารือเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุด และยืนยันในการส่งทูตเจรจาสงบศึกไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
รองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้าเป็นฝ่ายจักรพรรดิที่มั่นคง เป็นพวกเดียวกับหยวนสยงที่ถูกลดขั้นเป็นรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาของฝ่ายตรวจการ ทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญของฝ่ายจักรพรรดิ
เจ้ากรมกรมทหารในฐานะที่เป็นสมาชิกของพรรคเว่ย เขาจ้องหน้าฉินหยวนเต้าอย่างดุร้าย
เขาจงใจไม่พูดถึงการเจรจาสงบศึก เพราะภายในใจของเขา ยังคงมีความคิดที่จะทำสงครามกับสำนักพ่อมดเพื่อแก้แค้นให้กับเว่ยเยวียน
จักรพรรดิหยวนทรงจิ่งพยักพระพักตร์ช้าๆ “ดี”
หลังจากที่ฉินหยวนเต้าถอยกลับเข้าที่ เจ้ากรมกรมการคลังก็ก้าวออกจากแถว กล่าวว่า “เงินบำรุงขวัญของทหาร ควรกำหนดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ทรงตรัสออกมา ทั่วทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
ไม่มีใครพูดจาเป็นเวลานาน
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสเนิบๆ ว่า “ขุนนางทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร”
ทรงตรัสถามสามครั้งติดต่อกัน แต่ไม่มีใครตอบ
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทอดพระเนตรไปทางหยวนสยงอีกครั้ง ‘ผู้ติดตาม’ ที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดิคนนี้ หลบตา ไม่ตอบกลับอะไร
ปัญหาด้านเงินบำรุงขวัญเกี่ยวข้องหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่
ตามข้อกำหนดกฎหมายของต้าฟ่ง ทหารราบพลีชีพในสนามรบ ครอบครัวจะได้รับเงินค่าตอบแทนเต็มจำนวนเป็นเวลาสามปี ข้าวสารสามสิบหกต้าน แปลงเป็นเงินเท่ากับสิบแปดตำลึง และตลอดชีวิตจะได้รับข้าวสารเดือนละสามถึงหกโต่ว
ทหารม้าพลีชีพในสนามรบ จะได้รับข้าวสารเจ็ดสิบสองต้าน แปลงเป็นเงินเท่ากับสามสิบหกตำลึง และตลอดชีวิตจะได้รับข้าวสารเดือนละหกถึงสิบโต่ว
เรียงขึ้นไปตามลำดับ ต่างเหล่า ต่างตำแหน่ง จะได้รับเงินบำรุงขวัญต่างกัน ล้วนมีระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวด
นอกจากนี้ ยังมีข้อบังคับอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างตกอยู่ในความเงียบสงัด
หากแพ้สงคราม จะถูกลดเงินบำรุงขวัญลงครึ่งหนึ่ง!
เจ้ากรมกรมการคลังพูดถึงเรื่องเงินบำรุงขวัญ เงินบำรุงขวัญเป็นเพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้น สิ่งที่พัวพันอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางไม่กล้าตัดสินใจ ก็คือการกำหนดลักษณะของการทำสงครามในครั้งนี้
ศึกครั้งนี้ จะชนะ หรือแพ้?
ท่ามกลางความเงียบ สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวออกมาจากแถว แล้วพูดด้วยความเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า “เว่ยเยวียนตีแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดแตก สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ต้าฟ่ง สงครามครั้งนี้ ต้าฟ่งของเราได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ”
ขณะนั้น บางคนขานรับ บางคนครุ่นคิด บางคนเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพยักพระพักตร์ช้าๆ ไม่ได้ทรงตอบรับสมุหราชเลขาธิการหวาง แต่กลับทรงตรัสว่า
“ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก พรุ่งนี้ค่อยหารือกันอีกครั้ง”
ขันทีชราพูดเสียงดัง “เลิกประชุม!”
…
‘ก๊อก ก๊อก…’
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง แสดงให้เห็นว่าคนที่เคาะประตูก็ดูเหมือนจะเซื่องซึมอยู่บ้างเช่นกัน
วันนี้อารองสวี่ซึ่งหยุดพักผ่อนตื่นขึ้นมา มองดูใบหน้างดงามของภรรยาที่นอนหลับอยู่ข้างๆ เสียงเคาะประตูไม่ดัง จึงไม่ทำให้นางตกใจตื่น
จากการฝึกของอารองสวี่ หากมีการเคลื่อนไหวภายนอกเพียงเล็กน้อย เขาก็จะตื่นทันที
เขาลุกออกจากผ้าห่มที่อบอุ่น สวมเสื้อคลุม แล้วเดินไปที่ห้องด้านนอกเพื่อเปิดประตู
“หนิงเยี่ยน?”
หลานชายยืนอยู่ที่ประตู สีหน้าเขาเรียบเฉย คิ้วขมวดแน่น
จู่ๆ หัวใจของอารองสวี่ก็หายวาบ เขารู้จักหลานชายคนนี้ดี จากแววตาและน้ำเสียงของหลานชาย อารองสวี่ล้วนสามารถเข้าใจความรู้สึกของหลานชายได้
ไม่มีใครรู้จักลูกชายเท่าผู้เป็นพ่อ เขาเลี้ยงดูอีกฝ่ายจนเติบใหญ่มาด้วยความยากลำบาก จะแตกต่างจากลูกในไส้อย่างไรกัน
“อารอง รีบเก็บของทันที แล้วไปที่สำนักอวิ๋นลู่ ไปที่นั่น หลบ หลบไปก่อน” สวี่ชีอันกล่าวเบาๆ
อารองสวี่จ้องมองเขา “ได้!”
สวี่ชีอันพยักหน้า หันกลับไปเคาะประตูห้องของหลี่เมี่ยวเจิน
ซูซูพี่สาวผู้งามเพริศพริ้งสวมกระโปรงสีขาวราวหิมะ ดวงตาดุจแต้มสี ริมฝีปากดุจแต้มสีแดงเข้มเปิดประตู พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “มีธุระอะไร!”
หลี่เมี่ยวเจินสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสุภาพ ผมดำเกล้าขึ้น นั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังดื่มน้ำชา กินขนม
สวี่ชีอันไม่สนใจนาง ดวงตาเหลือบมองสาวงาม มองไปที่หลี่เมี่ยวเจิน แล้วพูดช้าๆ ว่า “ข้าต้องไปชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ”
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง แล้วพูดด้วยความข้องใจว่า “เจ้าจะไปเข้าร่วมสงครามด้วย?”
สวี่ชีอันส่ายหัวเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เว่ยกง สละชีพในสนามรบแล้ว”
ใบหน้าของหลี่เมี่ยวเจินเคร่งเครียดขึ้นทันที ขนมในมือตกลงพื้น
นางเรียกสติกลับมาทันที มองไปที่สวี่ชีอันด้วยความเคร่งเครียด เพราะนางรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้เคารพและศรัทธาเว่ยเยวียนมากเพียงใด
และยังรู้ยิ่งไปกว่านั้นว่า เว่ยเยวียนมีบุญคุณกับเขายิ่งนัก
ชั่วเวลาหนึ่ง นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากปลอบโยนอย่างไร คำปลอบโยนใดๆ ในเวลานี้ ต่างดูเหมือนการแสร้งทำเป็นสงสารกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
สวี่ชีอันกล่าวเบาๆ ว่า
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะตายในสนามรบ ดังนั้น ได้โปรดพาข้าไปชายแดนด้วย ถ้า…เขาตายแล้วจริงๆ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาพร่าเลือน “เขาไม่มีลูก ไม่มีใครส่งเขาสู่สัมปรายภพ ข้าจะไป ข้าต้องไป…”
หัวใจของหลี่เมี่ยวเจินเหมือนโดนมีดกรีด “ได้”
…………………………………………..