ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 465 ข่าวร้าย
บทที่ 465 ข่าวร้าย
เมฆขาวทอดยาว แสงแดดอันอบอุ่นส่องประกาย
ท้องทะเลที่ระยิบระยับฟื้นคืนความสงบแล้ว ท่อนไม้หักและเสากระโดงลอยไปตามคลื่นอย่างช้าๆ
ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่ระดับสูง จากข้างบนมองลงมายังแผ่นดินที่ใช้ชีวิตอยู่มาช้านาน มันถูกทำลายจนพังยับ ยอดเขาพังถล่ม บ้านเมืองพังราบเป็นหน้ากลอง
ภาพเช่นนี้ เขาเคยเห็นแค่ปีที่นักปราชญ์ขงจื๊อปึกผนึกเทพอูเท่านั้น
ในครั้งนั้น หลายพันลี้บริเวณโดยรอบกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หลังจากนั้นในอีกสามร้อยปี สิ่งมีชีวิตก็สูญพันธ์ุ พลังของระดับสูงสุดของทั้งสองท่านได้สลายไป เมืองจิ้งซานจึงได้สร้างขึ้นใหม่ จนมีรูปร่างเหมือนอย่างตอนนี้
ตอนนี้ มันลงรอยเดิม และประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วคนที่ลงมือไม่ใช่นักปราชญ์ขงจื๊อเอง เทพอูก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ คนที่รอดชีวิตมีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย กระจัดกระจายประปรายในที่ห่างไกล บ้างก็มองดู บ้างก็นั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผล ไม่มีใครกล้ากลับไปพิสูจน์
กองทัพของต้าฟ่งถอนกำลังไปแล้ว
ซ่าหลุนอากู่มองไปยังแท่นบูชา ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายไป ต่อมา ก็ปรากฏตัวบนแท่นบูชา และปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าคนสวมชุดดำนั่น
จักรพรรดิเจินเต๋อ อีเอ๋อร์ปู้ กับอูต๋าเป๋าถ่า ร่อนตามกันลงมาอยู่ข้างกายพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
ในเวลานี้ คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา คือร่างมนุษย์ที่แตกสลายแล้วร่างหนึ่ง ร่างกายของเขาเผยให้เห็นรอยแตกที่น่ากลัว ไม่มีส่วนใดสมบูรณ์
แขนขวาที่เขาเคยจับมีดแกะสลัก เลือดเนื้อถูกกำจัด เผยกระดูกที่แดงก่ำออกมา
ชุดสีดำขาดรุ่งริ่ง เสื้อเหมือนคน คนก็เหมือนเสื้อ
นับตั้งแต่นี้ไป ต้าฟ่งจะไม่มีเทพแห่งสงครามอีกแล้ว
หมวกนักปราชญ์กับมีดแกะสลักไม่นานก็ขยับจากไปเอง กลับมาอยู่ที่ราบกลาง
ซ่าหลุนอากู่กล่าวเสียงเบา “ที่ราบภาคกลางตั้งแต่พันปีมานี้ เว่ยเยวียนนับว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่สง่างาม”
“สมควรตายๆๆ…”
อีเอ๋อร์ปู้สีหน้าบูดเบี้ยว กล่าวด้วยความลนลาน
“เขามีสิทธิ์อะไรถึงสามารถเรียกนักปราชญ์ขงจื๊อมาได้ ทหารคนหนึ่งอย่างเขามีสิทธิ์อะไรถึงสามารถเรียกนักปราชญ์ขงจื๊อมาได้ เทพอูสั่งสมพลังเป็นพันปี มันไม่ง่ายเลยที่จะหลุดพ้นจากผนึก ทั้งหมดต่างถูกไอ้โจรนี้ทำลายไปในชั่วพริบตา
“ข้าต้องการนำทัพทำศึกนองเลือดกับต้าฟ่ง สังหารหมู่สามหมื่นลี้ และสังหารไปจนสุดทางถึงเมืองหลวง”
“ท่าทางของเจ้าในตอนนี้ ช่างเหมือนทหารที่ต่ำช้ายิ่งนัก” จักรพรรดิเจินเต๋อกล่าวอย่างเยาะหยัน
โหรทุกคนที่เข้าสู่มาร ต่างมีพรสวรรค์ในการยั่วยุ
จักรพรรดิเจินเต๋อมือไขว้หลัง ร่างอมตะสีทองส่องแสงเจิดจ้า แสงสีทองกับแสงสีดำผสมผสานกัน กล่าวอย่างเรียบเฉย
“เทพอูถูกผนึก เว่ยเยวียนก็สิ้นชีวิตแล้ว แม้สถานการณ์จะย่ำแย่ แต่สนามนี้พวกเราก็ยังไม่แพ้ จากนี้ไป ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องทำตามสัญญาแล้ว”
ซ่าหลุนอากู่กล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่ฝ่าบาทมีอายุยืนยาว มองลงไปจากที่สูงเห็นที่ราบกลาง”
จักรพรรดิเจินเต๋อพยักหน้าช้าๆ
ซ่าหลุนอากู่กล่าวต่อ “อูต๋าเป๋าถ่า นำข่าวการเสียชีวิตของเว่ยเยวียนแพร่กระจายไปทั่วตงเป่ย ให้เหยียนกั๋วและคังกั๋วรับสมัครกำลังคน สร้างเมืองจิ้งซานขึ้นมาใหม่ และให้จิ้งกั๋วถอนกำลัง รวบรวมพ่อมดที่รอดชีวิต รักษาอาการบาดเจ็บของประชาชนที่รอดชีวิต และพลทหาร…”
เขาออกคำสั่งอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับปัญหาที่เหลืออย่างเหมาะสม
การสู้รบสนามนี้คงจะแพร่กระจายไปทั่วจิ่วโจว ต้าฟ่งเป็นเช่นไรเขาขี้เกียจจะสนใจ แต่เขตภายในสามก๊ก คงจะเปิดฉากการแลกเปลี่ยนความเห็นเหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างแน่นอน
ครั้งนี้น่าจะเป็นวันที่อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักพ่อมด
…
ที่รกร้างสักแห่งที่ห่างจากจิ้งซาน
“อ๊ากกก!!”
เสียงคำรามของหนานกงเชี่ยนโหรวแผ่กระจายไปทั่วขอบฟ้า เป็นน้ำเสียงที่โศกเศร้าและผิดหวัง ผสมกับความเกลียดชังที่ขมขื่น
“เทพอู เทพอู เทพอู…”
เขาคุกเข่าลงกับพื้น หมัดทั้งสองกระแทกพื้นอย่างแรง ระบายอารมณ์เป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ
โหรชุดขาวเดินไปถึงด้านหน้าเขา ส่งถุงปักดิ้นให้ใบหนึ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวที่น้ำตาไหลอาบแก้มเงยหน้าขึ้น และมองเขาด้วยความงงงวย
ศิษย์พี่รองซุนเสวียนจีกล่าว “เว่ย…”
กล่าวเพียงแค่คำเดียว หนานกงเชี่ยนโหรวก็รีบแย่งถุงปักดิ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เปิดออก ในนั้นมีกระดาษอยู่ฉบับหนึ่ง
หนานกงเชี่ยนโหรวคลี่กระดาษออก อ่านจบ น้ำตาก็ทะลักออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นอยู่นาน เขาเก็บอารมณ์ทั้งหมดกลับลงไป มองไปทางจิ้งซาน พลางกล่าวพีมพำ
“พ่อบุญธรรม หมากรุกที่ท่านยังเล่นไม่จบ ข้าจะเป็นคนเล่นแทนท่านเอง”
ชีวิตหลังจากนี้ สักวันหนึ่ง ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ใช้กีบเหล็กเหยียบย้ำทุกตารางนิ้วของสำนักพ่อมด ใช้วงล้อปืนใหญ่วิ่งทับกระดูกสันหลังของสำนักพ่อมด ทำให้ภูเขาและแม่น้ำทั้งหกหมื่นลี้นี้ กลายเป็นแผ่นดินที่ไหม้เกรียม
ซุนซวนจียกมือขึ้น เช็ดเบาๆ ลบล้างการดำรงอยู่ของทหารม้าที่หนักอึ้งนี้ ไม่ให้ใครในใต้หล้าจดจำพวกเขาได้อีกต่อไป
…
สำนักอวิ๋นลู่
ด้านหลังป่าไผ่ ภายในอาคารไม้ไผ่
จ้าวโส่วนั่งอยู่ในห้องโถง ไม่เคลื่อนไหว ราวกับประติมากรรม
เขารักษาท่าทางนี้มานานกว่าหนึ่งเดือน จนโต๊ะข้างหน้าสะสมไปด้วยฝุ่นบางๆ
ทันใดนั้น จ้าวโส่วก็ขยับตัว และหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
หน้าต่างที่เปิดอยู่ ท้องฟ้าสีครามราวกับถูกชะล้าง กลุ่มภูเขาเรียงราย แสงที่กระจ่างใสสองเส้นส่องผ่านทางยาวไกลดูเต็มเปี่ยมไปด้วยอันตราย ราวกับดาวตกที่พุ่งทะลุท้องฟ้า ตกลงมาใส่โต๊ะที่อยู่ด้านหน้าจ้าวโส่วอย่างแผ่วเบา
เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วเหมือนยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ปัดฝุ่นออกจากร่างกาย ก่อนจะแสดงการคารวะ
ไม่ทราบว่าเป็นการเคารพเครื่องรางสองชิ้นตรงหน้า หรือเป็นการเคารพชายชุดดำผู้นั้น
…
พระราชวัง
ผ้าม่านลู่ต่ำ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนฟูก ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูกระตือรือร้น มีความสุข และร้ายกาจออกมา
จักรพรรดิหยวนจิ่งก้าวเท้าขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา มองเห็นกำแพงสีแดงที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ และกระเบื้องสีทองที่ต่อกันอย่างไม่สม่ำเสมอ
“ยุคของข้า มาถึงแล้ว”
…
หอดูดาว แท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์เหลือบมองพระราชวังอย่างยิ้มๆ พลางก้มหน้าดื่มสุรา
โลกมนุษย์มิคู่ควร
…
บ้านสกุลสวี่ สวี่ชีอันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ
“เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ เหตุใดจึงได้รู้สึกเจ็บที่หัวใจได้”
เขาขมวดคิ้วแน่น อยากเยาะเย้ยตัวเองเสียหน่อย อย่างเช่นอยู่ขั้นห้าระดับสูงสุดแล้วยังเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้?
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ความรู้สึกตื่นตระหนกยังติดอยู่ในใจของเขาไม่ไปไหน
…
แดนเหนือ
ฐานทัพของต้าฟ่งและทหารพันธมิตรปีศาจ สวี่ซินเหนียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองแผนที่อย่างครุ่นคิด
เขาผอมลงและแข็งแรงขึ้น แต่ยังคงหล่อเหลา ทว่าผิวไม่ได้ขาวสะอาดอีกต่อไป แสงแดดนอกแดนไกลเพิ่มความเข้มให้แก่สีผิว และพายุทรายของแดนเหนือก็ขัดผิวของเขา
เขายังคงเป็นปัญญาชนที่หยิ่งยโส กลับไม่เย่อหยิ่งอวดดีอีกต่อไป แต่ยิ่งสงบนิ่งและเก็บตัวมากขึ้น
สงครามทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แม่นางที่อยู่ในสำนักสังคีตทำให้เขากลายเป็นชายชาตรี กลับไม่สามารถให้ความเป็นผู้ใหญ่กับเขาได้
หากแต่เป็นสหายที่ล้มลงไปทีละคน การต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตของความเป็นความตายที่ไร้สิ้นสุดในแต่ละสนาม ศัตรูที่ถูกเขาสังหารกับมือไปทีละคน ถึงทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้อย่างแท้จริง
ฉู่หยวนเจิ่นรีบบุกเข้าไปในกระโจมอย่างเร่งรีบ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉือจิ้ว ข้าจะบอกข่าวที่น่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง”
สวี่เอ้อร์หลางทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย กล่าว “ค่ายทหารไม่ได้ออกรบ ไม่ใช่การชนะการต่อสู้ แล้วเรื่องอะไรเล่า?”
ฉู่หยวนเจิ่นออกหมัด กล่าวอย่างตื่นเต้น “จิ้งกั๋วถอยทัพแล้ว”
…
กลางดึก
แสงเทียนที่กำลังเผาไหม้ สวี่ชีอันถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอยู่ที่โต๊ะ ส่งสารกล่าว ‘วันนี้ข้ากับราชครูสำรวจใต้ดินกันอีกแล้ว อดีตจักรพรรดิไม่ได้กลับมา ตามหลักแล้ว บุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่น่าจะจากไปอย่างเงียบๆ’
หมายเลขสอง ‘ไม่แน่อาจเข้าที่แทนจักรพรรดิหยวนจิ่ง เป็นจักรพรรดิอยู่ในราชวังแล้วก็ได้ อ้อ ข้าลืมไป เขาก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่ง’
เกี่ยวกับการหายตัวไปของอดีตจักรพรรดิ ทำให้สวี่ชีอันไม่สบายใจยิ่งนัก ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ที่บำเพ็ญพรตอย่างลับๆ สี่สิบปีท่านหนึ่ง หลังจากถูกค้นพบที่ซ่อนตัว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันเป็นกังวลอย่างมาก เพราะอดีตจักรพรรดิก็คือหยวนจิ่ง หยวนจิ่งก็คืออดีตจักรพรรดิ และเขากับหยวนจิ่งมีความเคียดแค้นต่อกันอย่างมาก ในทำนองเดียวกัน เขากับอดีตจักรพรรดิก็มีความเคียดแค้นต่อกัน
ตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดคนหนึ่งกำลังซุ่มอยู่ในความมืด และอาจแว้งกัดได้ทุกเมื่อ
ใครไม่กลัวเล่า?
แน่นอน อาจจะคาดหวังว่าการแสดงท่าทีทั้งหมดของหยวนจิ่งเป็นการเสแสร้ง อดีตจักรพรรดิเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุด ยอดฝีมือย่อมมีความอดทนของยอดฝีมือ คงไม่สนใจมดแมลงเช่นตนเอง
เสินซูเป็นคนสังหารไหวอ๋อง ไม่เกี่ยวกับข้าสวี่ชีอัน
หากแลกกับผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆ บางทีสวี่ชีอันอาจกอดจินตนาการไว้ แต่อีกฝ่ายเป็นหยวนจิ่ง อดีตจักรพรรดิที่ถูกผู้นำเต๋านิกายปฐพีปนเปื้อนมลทินแล้ว
ยอดฝีมือขั้นสูงสุดที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทและชั่วร้ายโดยกำเนิดคนหนึ่ง ย่อมเป็นคนที่ใจแคบอยู่แล้ว
หมายเลขสี่ ‘พวกเราไม่ลองเปลี่ยนเส้นทางดูเล่า ทุกท่านคิดว่า หยวนจิ่ง ไม่ใช่สิ อดีตจักรพรรดิจะเดินไปยังระบบบำเพ็ญพรตใด?’
ในกลุ่มบทสนทนาหนังสือปฐพี จ้วงหยวนฉู่ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีสติปัญญาได้ตั้งคำถามขึ้นมา
ร่างกายที่เสื่อมโทรมของอดีตจักรพรรดิแต่แรก เทียบเท่ากับการตัดขาดเส้นทางของวิทยายุทธ์ เขาบำเพ็ญธรรมกับลั่วอวี้เหิงยี่สิบเอ็ดปี ทางที่เดินต้องเป็นเส้นทางของนิกายมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย…สวี่ชีอันตอบกลับ
หมายเลขสาม ‘นิกายมนุษย์กระมัง’
หมายเลขสี่ ‘คิดเหมือนข้าเลย เช่นนั้น วิธีการบำเพ็ญพรตของนิกายมนุษย์ มีข้อเสียอย่างไร?’ แผดเผาร่างกายด้วยไฟแห่งกรรม ระดับขั้นของอดีตจักรพรรดิสูงมาก เขาเหมือนกับราชครู ที่ต้องการหยิบยืมโชคชะตามาระงับไฟแห่งกรรม เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางออกจากเมืองหลวงอย่างแน่นอน’
หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว อดีตจักรพรรดิต่างจากลั่วอวี้เหิง ลั่วอวี้เหิงต้องการตำแหน่งราชครูเพื่อยืมโชคชะตา อดีตจักรพรรดิตัวเขาเองก็คือจักรพรรดิ มีหน้าที่ดูแลโชคชะตาเอง’
ฮว๋ายชิ่งถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีความฉลาดทางสติปัญญาอีกท่านหนึ่ง
‘เอ่อ อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว’…ฉู่หยวนเจิ่นบ่นพึมพำในใจ
หมายเลขหนึ่ง ‘ในเมืองหลวงมีท่านโหราจารย์อยู่ ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ภายใต้ชีพจรมังกร เช่นนั้นคงอยู่ในเมืองหลวงได้ไม่นานเป็นแน่ จะต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว ส่วนจะไปที่ใด และกำลังจะทำการใดนั้น สิ่งนี้ก็ไม่สามารถคาดเดาได้’
วิธีทั่วไปที่สุด คืออิงตามเป้าหมายของอดีตจักรพรรดิ เพื่อมาตัดสินที่ตั้งของเขา…นั่นก็หมายความว่า ถ้าอยากทราบว่าเขาอยู่ที่ใด ต้องทราบก่อนว่าเขาคิดจะทำการใด…สวี่ชีอันคลึงไปที่หว่างคิ้ว
สถานการณ์ที่ทราบในปัจจุบันคือ เพื่อชีวิตที่เป็นอมตะ อดีตจักรพรรดิได้กลืนกินบุตรชายทั้งสองอย่างหยวนจิ่งและไหวอ๋อง
เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสี่สิบปีตามที่สมดังใจหวัง
ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดของอดีตจักรพรรดิ ก็ยังคงเป็นความอมตะ
แต่ปัญหามันอยู่ที่อดีตจักรพรรดิจะเก่งกาจแค่ไหน จะเก่งกาจเท่าเกาจู่อู่จง? หรือจะเก่งกาจเท่านักปราชญ์ขงจื๊อ?
บุคคลเหล่านี้ต่างล่วงลับไปหมดแล้ว นับประสาอะไรกับอดีตจักรพรรดิ
“ตามกฎสวรรค์และมนุษย์ผู้ที่ได้รับโชคชะตาไม่อาจมีชีวิตอมตะได้ อายุที่แท้จริงของอดีตจักรพรรดิคือแปดสิบปีขึ้นไป นักปราชญ์ขงจื๊อมีชีวิตอยู่เพียงแปดสิบสองปีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าอดีตจักรพรรดิกำลังจะถึงจุดสิ้นสุดของอายุขัย แน่นอนว่ามนุษย์และร่างกายมนุษย์ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกันได้ อดีตจักรพรรดิก็อาจอยู่ในสถานการณ์ที่ความโกรธถึงขีดสุด และมีชีวิตมากกว่านักปราชญ์ขงจื๊ออีกหนึ่งปี
“หากข้าเป็นอดีตจักรพรรดิ ข้าคงแสวงหาวิธีการเป็นอมตะโดยไม่นึกถึงสิ่งอื่นใด แต่ แต่น่าจะทำอย่างไรกันแน่เล่า?”
ไม่ใช่ว่าเขาฉลาดไม่มากพอ แต่เป็นข้อมูลที่เขาได้รับน้อยเกินไป แม้แต่แนวทางในการตั้งสมมุติฐานยังหาไม่เจอ
อดีตจักรพรรดิไปทำอะไรอยู่กันแน่?
กล่าวขึ้นมาแล้ว เว่ยกงไปออกรบใกล้จะครึ่งเดือนแล้ว ไม่ทราบว่าสถานการณ์สู้รบเป็นเช่นไรบ้าง
…
ค่ำคืนหนึ่งที่กองทัพใหญ่ออกรบก็ใกล้จะหนึ่งเดือนแล้ว สีของพระจันทร์ประดุจสายน้ำ ส่องแสงสุกสกาว
‘กับๆๆ…’
เส้นทางหลวงนอกเมืองหลวง ม้าเร็วตัวหนึ่งควบเข้ามาด้วยความเร็ว ริมฝีปากของเขาแห้งแตก ผู้ส่งสารที่ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงหยุดบังเหียน ใช้น้ำเสียงที่แหบแห้งตะโกน
“เปิดประตูเมือง มีสารด่วน…”
ทะลุผ่านเมืองชั้นนอก เมืองชั้นใน เขตพระราชฐาน ตลอดทางไปจนถึงพระราชวัง
ในกลางดึก สมุหราชเลขาธิการหวางถูกเสียงเคาะประตูที่ดูรีบร้อนปลุกให้ตื่น พ่อบ้านเฒ่าตบประตู ตะโกนเรียก “ใต้เท้า ใต้เท้า ตื่นเร็วเข้าขอรับ…”
ในห้องที่มืดมิด มีแสงเทียนสว่างขึ้นมา สาวใช้ที่นอนอยู่นอกห้องสวมใส่อาภรณ์ ถือเชิงเทียน รีบวิ่งออกไปเปิดประตู
ไม่นาน สาวใช้ซอยเท้าเข้ามาทีละน้อย กล่าวเสียงเบา “ใต้เท้า ที่ทำการส่งข่าวมา บอกว่ามีรายงานด่วนของกองทหารเจ้าค่ะ”
สมุหราชเลขาธิการหวางอายุเยอะแล้ว ในกลางดึกถูกปลุกให้ตื่น จึงไม่สามารถปิดบังความเหนื่อยล้าทางจิตใจได้ เขาคลึงหว่างคิ้ว กล่าว “เปลี่ยนอาภรณ์”
ที่ทำการสำคัญอย่างศาลาใน กลางคืนจะมีคนเข้าเวรก็เพื่อป้องกันเรื่องเร่งด่วนเช่นนี้
ไม่ว่าจะสาส์นด่วนแปดร้อยลี้ หรือสาส์นด่วนหกร้อยลี้ คนส่งสารต่างวิ่งสุดชีวิต ม้าวิ่งจนตายไปหลายตัวก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าเวลาใดย่อมสามารถส่งสารได้
สาวใช้จัดการปรนนิบัติเขาให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่าราชการเสร็จเรียบร้อย สมุหราชเลขาธิการหวางที่นั่งอยู่ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังกุกกักๆ ผ่านเข้าพระราชวังมาจนถึงที่ทำการศาลาใน
สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปยังห้องโถง หลังจากนั่งประจำตำแหน่งของตนเอง ก็กล่าวอย่างช้าๆ “มีสารด่วนจากกองทหาร!”
เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในตอนกลางคืนส่งมอบสารเร่งด่วนจากกองทหารให้ผู้ดูแลที่อยู่ข้างกายในทันที เอกสารด่วนจากแปดร้อยลี้ มีเพียงปราชญ์มหาสำนักไม่กี่คนที่สามารถเปิดอ่านได้
สมุหราชเลขาธิการหวางหยิบที่เปิดจดหมาย แกะครั่งประทับออก สิ้นเสียงกระทบกันของหน้ากระดาษที่แผ่วเบา เขาหยิบสารด่วนจากกองทหารขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน
ทันใดนั้นเขาพลันตกอยู่ในความเงียบทันที
…
เฉียนฉิงซูปราชญ์มหาสำนักตำหนักอู่อิง เฉินฉีปราชญ์มหาสำนักตำหนักเจี้ยนจี๋ จ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อและปราชญ์มหาสำนักอีกหกคนเข้ามายังศาลาใน เดินมาถึงด้านในห้องโถงสมุหราชเลขาธิการ
พวกเขาประหลาดใจที่พบเห็นว่าสมุหราชเลขาธิการซึ่งนั่งอยู่ศาลา ดูเหมือนจะแก่หง่อมลงไปหลายปี
สีหน้าของเขาดูมืดมน เบ้าตาแดงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างที่หมองคล้ำดูเลื่อนลอย ราวกับจมอยู่ในบรรยากาศที่เจ็บปวดจนไม่สามารถหลุดพ้นได้
เห็นได้ชัดว่าเมื่อวานสมุหราชเลขาธิการหวางยังดีๆ อยู่ การโจมตีแบบใดถึงทำให้คนอยู่ในสภาพสูญเสียจิตวิญญาณ ในชั่วข้ามคืนเช่นนี้ได้?
สมุหราชเลขาธิการหวางหน้าขึ้น มองไปรอบๆ ปราชญ์มหาสำนัก กล่าวอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เว่ยเยวียน สละชีพแล้ว”
หยุดสักพัก เขาก็กล่าวเสริม “กองทัพใหญ่หนึ่งแสน เรียกคืนมาได้เพียงหนึ่งหมื่นนายเท่านั้น”
เปรี้ยง!
ทุกคนต่างราวกับถูกฟ้าผ่า หัวใจสั่นไหว สีหน้านิ่งตึง
เฉียนฉิงซูปราชญ์มหาสำนักตำหนักอู่อิงกล่าวพึมพำ “นี่ นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
น้ำเสียงของสมุหราชเลขาธิการหวางกลับมาเป็นปกติบ้างแล้ว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข้าทราบว่าเรื่องนี้มันยากที่จะเชื่อ แต่ตอนนี้ มันคือเรื่องจริง ใต้เท้าทุกท่าน โปรดละทิ้งอารมณ์ที่ไม่ดีทุกอย่างไว้ ฟังข้าให้จบก่อน การสู้รบในครั้งนี้แปลกประหลาดยิ่ง สารด่วนทางทหารถูกนำส่งถึงพระราชวังแล้ว ก่อนจะถึงรุ่งเช้า พวกเรามาประชุมกันเสียก่อน…”
ใกล้รุ่งสาง ทุกคนมีท่าทางเหนื่อยล้าจึงแยกย้ายจากกันด้วยสีหน้าเป็นกังวล
สมุหราชเลขาธิการหวางกวักมือเรียกคนสนิท กล่าวสั่งการด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ส่งคนไปบ้านสกุลสวี่ บอกสถานการณ์เกี่ยวกับสงครามตงเป่ยกับสวี่ชีอัน”
ไม่ให้กระดาษ เพราะไม่ต้องการทิ้งร่องรอยไว้
รอให้คนสนิทถอยไปแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางก็เดินทอดน่องไปที่หน้าต่าง มองมองดูค่ำคืนที่มืดมนที่สุดก่อนรุ่งสางโดยไม่กล่าวอะไรเป็นเวลานาน ราวกับรูปปั้นอันหนึ่งก็มิปาน
เว่ยเยวียน ไม่มีเจ้าแล้ว ท้องพระโรงในวันข้างหน้าจะเงียบเหงาเพียงใด
…
ท้องฟ้ายังไม่สว่าง เสียงเคาะประตู ‘ก๊อกๆ’ ก็ปลุกจงหลีและสวี่ชีอันที่อยู่ในห้องนอนจนตื่นพร้อมกัน
ภายหลังกลับตอบรับ “ใคร?”
เสียงของเหล่าจางคนเฝ้าประตูดังเข้ามา “ต้าหลาง มีคนมาหาท่าน บอกว่าเป็นคนจากศาลาในขอรับ”
ศาลาใน? สมุหราชเลขาธิการหวางส่งคนมาหาข้าในเวลานี้?!
สวี่ชีอันรับลุกขึ้น สวมเสื้อคลุมทันที พลางกล่าว “พาข้าไปพบเขา”
ออกมาจากห้อง จนมาถึงด้านนอกโถง สวี่ชีอันก็เห็นชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าท่านหนึ่ง สวมด้วยชุดทางการ ยืนอยู่ในห้องรับแขก
“ฆ้องเงินสวี่!”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคน เรียกชื่อนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัวตามสัญชาตญาณ
สวี่ชีอันคุ้นเคยกับแนวคิด ‘ล้าสมัย’ ของผู้คนในเมืองหลวงแล้ว พลางถามโดยตรง “ใต้เท้าท่านนี้ มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าว “ท่านสมุหราชเลขาธิการหวางฝากคำพูดมาบอกท่าน”
นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นสมุหราชเลขาธิการ…สวี่ชีอันพยักหน้า “เชิญว่ามาเถอะ”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกลับลังเล อมพะนำเป็นเวลา ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “เว่ยกง สละชีพที่ตงเป่ยแล้ว”
…………………………………………………….