ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 373 โค้งคำนับ
บทที่ 373 โค้งคำนับ
ร่างสูงกว่าสิบจั้งแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ศีรษะของเขาเป็นของอ๋องสยบแดนเหนือ ลำตัวเป็นของจู๋จิ่ว มือทั้งสองข้างเป็นของพ่อมดระดับสูง ขาทั้งสองข้างเป็นของจี๋ลี่จือกู่
ผู้แข็งแกร่งระดับสูงทั้งสี่ ไม่มีส่วนใดไม่บุบสลาย หางของงูยักษ์จู๋จิ่วยาวหนึ่งร้อยจั้ง ถูกเฉือนออกเป็นสองท่อน ร่างซีกซ้ายของจี๋ลี่จือกู่มีสภาพเละ ลำไส้และอวัยวะภายในออกมากองแผ่หลาอยู่ด้านนอก
จิตวิญญาณแห่งสงครามที่อยู่เหนือศีรษะของพ่อมดระดับสูงแตกสลายไม่เหลือซาก ท่อนล่างของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เลือดเนื้อบริเวณปากแผลฉกรรจ์ดิ้นขยุกขยิก ลิ่มเลือดทั้งขยายตัวและหดตัวราวกับหายใจ พยายามซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ
ร่างของอ๋องสยบแดนเหนือยังคงอยู่ในสภาพดี แต่บริเวณผิวภายนอกเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ราวกับเครื่องเคลือบและเลือดก็ไหลไม่หยุด
ลมหายใจของเขาอ่อนแรงอย่างขีดสุด
“วิ่ง วิ่ง…”
จู๋จิ่วตกใจกลัวจนตัวสั่น บุคคลนี้ไม่ใช่ยอดฝีมือขั้นสาม เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสองที่ยังไม่สมบูรณ์
ยอดฝีมือขั้นสามในระบบที่แตกต่างกันทั้งสี่รวมร่างเป็นหนึ่ง พลังปราณระเบิดจนแตะถึงเกณฑ์ขั้นสองแล้ว แต่ก็ยังสู้เขาไม่ได้
นี่หมายความว่าอะไร?
ภายใต้สภาพที่สมบูรณ์ของอีกฝ่าย นั่นคือยอดฝีมือขั้นสองอย่างแท้จริง ดังนั้น หลังจากที่เขากลืนยาโลหิตเข้าไป ร่างกายได้ซ่อมแซมบาดแผลบางส่วน และเติมเต็มส่วนที่ไม่ครบถ้วน พลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้จึงปะทุออกมา
ซึ่งแตกต่างจากรากฐานของพวกเขา พวกเขาทั้งสี่ใช้ปริมาณชดเชยคุณภาพ แต่แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามคือยอดฝีมือขั้นสองตัวจริง เป็นผู้แข็งแกร่งในอาณาจักรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
งูยักษ์บิดลำตัวที่เหลืออยู่อย่างบ้าคลั่งด้วยความถี่สูงสุดในชีวิต ก่อนจะเลื้อยไปทางกำแพงเมืองที่พังทลาย
จี๋ลี่จือกู่รู้ตัวจึงหลบหนีนำหน้าไปก่อนแล้ว ช่างน่ากลัว ผู้แข็งแกร่งปริศนาท่านนี้น่ากลัวเกินไป การฆ่าเมื่อสักครู่นี้ จี๋ลี่จือกู่รู้สึกถึงจิตวิญญาณที่น่าเกรงขาม บีบบังคับเขาให้ลงเอยแบบเดียวกับพ่อที่สิ้นชีพไปแล้ว
นั่นคือจิตวิญญาณของยอดฝีมือขั้นสอง
งูยักษ์สีแดงก่ำบิดลำตัวไปมา และแผดเสียงร้องดังก้อง ราวกับปีศาจข้ามพรมแดน เพียงแต่ว่า ดวงตาแนวตั้งของปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวตัวนี้ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอยากจะหนีไปเท่านั้น
ยักษ์ร่างสีน้ำเงินวิ่งหนีไปอีกทาง โดยไม่คำนึงถึงอวัยวะภายในที่ถูกสั่นสะเทือนจนร่วงหล่นลงมา
บนกำแพงเมือง เผ่าอนารยชนฝ่ายชิงเหยียน และกองทัพเผ่าปีศาจ ต่างก็กระโดดลงจากกำแพงและวิ่งหนีไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ผู้นำทั้งหมดพ่ายแพ้แล้ว หากไม่ไปตอนนี้ก็อาจไม่มีชีวิตรอด
พ่อมดระดับสูงประกบสองมือเข้าด้วยกัน และท่องคาถาบางอย่าง เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น ตามด้วยเงาดำลวงตาที่ถลาลงมาจากท้องฟ้าอันว่างเปล่า เป็นนกยักษ์ตัวหนึ่งที่มีปีกยาวกว่าสิบเมตร
วิญญาณนกแห่งสงคราม
มันม้วนตัว และพาพ่อมดระดับสูงบินขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ขณะเดียวกัน ในฐานะพ่อมดขอบเขตหลิงฮุ่ย เขาย่อมมีมาตรการตอบโต้ต่างๆ แวบเข้ามาในหัว หากฝ่ายตรงข้ามริเริ่มที่จะโจมตีตนเองจะยิงจากมุมใด เมื่อปล่อยหมัดอันทรงอำนาจนั้นจะเลือกจู่โจมที่ใด
เขากำหนดวิธีการที่จะปกป้องตนเองมากมาย เพื่อไม่ให้ตนเองถูกฆ่าตายในสมรภูมิรบนี้
แน่นอนว่าด้วยความสามารถของพ่อมดในขอบเขตหลิงฮุ่ย เขาย่อมรู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่ผู้แข็งแกร่งปริศนาจะไล่ตามตนเองมีไม่สูงนัก เพราะเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามคืออ๋องสยบแดนเหนือ
เขาต้องจัดการกับอ๋องสยบแดนเหนือก่อน ตามด้วยจี๋ลี่จือกู่ ต่อไปถึงจะเป็นคราวของตัวเขาเอง หรือไม่ก็จู๋จิ่ว
เพราะฉะนั้นโอกาสในการหลบหนีของเขามีค่อนข้างมาก
ร่างธรรมแห่งความมืดหดแคบลงทีละนิด จนกลับมามีขนาดเท่ากับคนอื่นๆ แต่ท่อนแขนทั้งสิบสองคู่ และวงแหวนไฟที่ด้านหลังศีรษะยังคงอยู่
“อ๋องสยบแดนเหนือ เลือดต้องล้างด้วยเลือด”
สวี่ชีอันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กำหมัดและแกว่งแขนทุบไปบนอากาศ
ร่างของอ๋องสยบแดนเหนือแตกสลาย และกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ เลือดสีแดงสดสาดไปทั่วพื้นดิน
จากนั้น ก้อนเนื้อก็กลายเป็นหนอนตัวกลมที่บิดตัวไปมา และส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
แต่ร่างของเขากลับปรากฏขึ้นในสถานที่ที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้ง และหลบหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า
ตัวแทนกู่!
วิธีการรักษาชีวิตของเทียนกู่ คือการเลี้ยงกู่ไว้ในร่างกาย ในช่วงเวลาปกติมันจะดูดซับพลังชีวิตและเลือดลมเพื่อกลมกลืนไปกับเจ้าของร่าง แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นและความตาย มันสามารถป้องกันภัยพิบัติแทนเจ้าของร่างได้
กู่นี้จำเป็นต้องปลูกฝังลงไปในร่างกายเท่านั้น และมันสามารถใช้ได้กับทุกคน
ในฐานะที่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นเจ้าชายแห่งต้าฟ่ง เขาย่อมมีวิธีปกป้องตนเอง
“เจ้าไม่มีทางหนีพ้น” สวี่ชีอันแผดเสียงดังก้อง
เสินซูที่ร่วมกันไล่ล่าได้สิทธิ์ในการพูดกลับมาชั่วคราว จึงกล่าวเสียงดังว่า “ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง”
ร่างของอ๋องสยบแดนเหนือที่อยู่บนอากาศแข็งทื่อ ลำคอเคลื่อนไหวราวกับอยากจะหันกลับ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หลุดพ้นจากอิทธิพลของสำนักพุทธทรงศีล และวิ่งหนีต่อไปโดยอาศัยช่วงเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามหยุดการเคลื่อนไหว
สวี่ชีอันรีบไล่ตามหลังเขาไป ท่อนแขนทั้งสิบสองคู่ทุบลงไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นผลให้อากาศระเบิดออกเป็นวงกว้าง
ในช่วงเวลาวิกฤต ร่างของอ๋องสยบแดนเหนือระเบิดเป็นควันเลือด ศักยภาพของระเบิดผลักเขาเคลื่อนย้ายไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงหมัดที่อันตรายถึงชีวิต
“กลับมา!”
มือสิบสองคู่กางออกพร้อมกัน ลากอ๋องสยบแดนเหนือกลับมาอย่างโหดร้าย มือทั้งสิบสองคู่จับศีรษะ แขน และขาของอ๋องสยบแดนเหนือไว้แน่น
บนกำแพงเมืองในเวลานี้ ดวงตาหลายคู่กำลังมองมายังสถานที่แห่งนี้ มองอ๋องสยบแดนเหนือที่ชีวิตถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย
ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา
สถานที่นี้เงียบสงัดจนน่าขนลุก
กระแสลมปราณอันบริสุทธิ์ในร่างกายของอ๋องสยบแดนเหนือกำลังไหลล้นออกมา และมือทั้งสิบสองคู่ก็เป็นเหมือนหลุมดำยี่สิบสี่แห่ง ที่บีบคั้นแก่นแท้แห่งชีวิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงใช้ดาบสยบดินแดนได้ แต่เจ้าไม่ใช่สมาชิกในราชวงศ์ต้าฟ่ง คนสามแสนแปดหมื่นชีวิตของเมืองฉู่โจวสำคัญอะไรกับเจ้านัก?”
เมื่อสัมผัสได้ว่าแก่นแท้แห่งชีวิตกำลังหลั่งไหล ในที่สุด นักรบอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งก็แสดงสีหน้าแห่งความสิ้นหวังออกมา
หากคนที่ฆ่าเขาคือท่านโหราจารย์ เขาสามารถเข้าใจได้ หากเหล่าขุนนางบุ๋นในราชสำนักกล่าวโทษเขา เขาสามารถเข้าใจได้
แต่คนผู้นี้ไม่ใช่คนของต้าฟ่ง ตัวตนก็ไม่ใช่บุคคลที่มีจิตใจดีงาม เพลิงมารสูงระฟ้า แต่เพื่อประชาชนทั้งเมืองฉู่โจวแล้วถึงกับต้องฆ่าเขาให้จมดิน
“งั้นถ้าข้าฆ่าเจ้า มันสำคัญกับเจ้าอย่างไร?”
สวี่ชีอันยิ้มเยาะด้วยความเย็นชา “หัวใจเจ้าไร้ซึ่งความยุติธรรม เจ้าสนับสนุนกฎผู้แข็งแกร่งกินเนื้อผู้อ่อนแอ งั้นวันนี้ข้าจะบอกอะไรเจ้าเรื่องหนึ่ง แทนดวงวิญญาณทั้งหมดสามแสนแปดหมื่นดวง”
หลังจากหยุดชะงักครู่หนึ่งเขาก็กล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า “อันที่จริงเจ้าไม่ใช่แม้กระทั่งมด”
“ไม่!”
อ๋องสยบแดนเหนือส่งเสียงร้องคำรามอย่างสิ้นหวัง ราวกับเสียงคร่ำครวญของสัตว์ร้ายก่อนตาย
การสังหารคนทั้งเมือง เป็นหนึ่งในแผนการที่ภาคภูมิใจที่สุดของเขา กลั่นยาโลหิตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ในเวลาเดียวกันก็ใช้กลยุทธ์ดาบนี้คืนสนอง โดยใช้ดาบสยบดินแดนสังหารจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่ว
หากสำเร็จ โลกจะจดจำเพียงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา และสรรเสริญชื่นชมเขา ใครจะจดจำวิญญาณอาฆาตสามแสนแปดหมื่นดวงนั้นกัน?
เมืองแห่งหนึ่งถูกแลกเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือขั้นสามในเผ่าอื่นสองท่าน แลกมาซึ่งยอดฝีมือขั้นสองแห่งต้าฟ่งหนึ่งท่าน พวกเขาตายอย่างมีคุณค่าแล้ว
แต่แผนการอันน่าภาคภูมิใจที่สุดนี้ สุดท้ายก็ทำร้ายเขา
เสียงร้องคำรามของอ๋องสยบแดนเหนือสิ้นสุดลง เนื้อหนังเหี่ยวแห้งกลายเป็นซากมัมมี่
สวี่ชีอันลงแรงฉีกทึ้งศีรษะและแขนขาของเขาออกจากกัน ก่อนจะโยนทิ้งไป
ชิ้นส่วนนี้เคยเป็นขององค์ชายท่านหนึ่ง เป็นชีวิตที่อยู่ในช่วงงดงามเบ่งบานของนักรบระดับสูงท่านหนึ่ง
สายลมแดนเหนือพัดผ่านร่าง พัดพาหมอกควันในหัวใจออกไป เขารู้สึกว่าความคิดกระจ่างแจ้ง และไม่รู้สึกละอายใจสักนิด
เมื่อหลี่เมี่ยวเจินค้นพบคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ในตอนแรกสวี่ชีอันรู้สึกหนักใจ แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งมากมายนัก อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องไกลตัวเขา
แต่ต่อมาเขาได้รับคำสั่งให้ไปที่ฉู่โจวเพื่อตรวจสอบคดีนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปจัดการ
เมื่อความจริงถูกเปิดเผยทีละนิด เขาก็ตระหนักถึงความโหดร้ายของอ๋องสยบแดนเหนือ เมื่อเขาได้เห็นความทรงจำของสมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวในคืนนั้น เขาก็ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
จะต้องทำลายแผนของอ๋องสยบแดนเหนือ หยุดยั้งเขา ลงโทษเขา
ไม่เพียงแต่สำหรับชีวิตผู้บริสุทธิ์สามแสนแปดหมื่นชีวิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเชื่อของตัวเขาเองด้วย หากเขากล้ำกลืนความโกรธ และเก็บกลั้นเอาไว้ เรื่องนี้จะกลายเป็นปมในใจเขาไปตลอดชีวิต
ข้ารับมือกับเรื่องทั้งใต้หล้าไม่ได้ แต่ข้าสามารถจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าได้
พลทหารแดนเหนือกว่าสองหมื่นนาย และนักรบในยุทธภพกว่าร้อยคนที่อยู่บนกำแพง ต่างมองร่างที่มีแขนยี่สิบสี่ข้างงอกออกมาจากหลัง กลิ่นอายแห่งความดุร้ายค่อยๆ ลดลง เขาหันหน้าไปทางด้านล่างเมืองฉู่โจว และโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
เมื่อเห็นฉากนี้ จู่ๆ หลิวยวี่สื่อก็เริ่มร้องไห้อย่างโศกเศร้า ก่อนจะทรุดตัวลงไปที่พื้นและคร่ำครวญอย่างหนัก
ดวงตาของเลขาธิการศาลต้าหลี่แดงก่ำ เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็โค้งคำนับคนที่ลอยอยู่บนอากาศด้วยทัศนคติที่ซื่อตรงที่สุดของปัญญาชน
หยางเยี่ยนมองลึกไปยังที่ห่างไกล พลางยกกำปั้นขึ้นมาคารวะ
หัวหน้ามือปราบเฉินยกกำปั้นขึ้นมาคารวะ
ผู้บังคับบัญชาการเฉินเซียวยกกำปั้นขึ้นมาคารวะ
พลทหารกว่าสองหมื่นนายก็ยกกำปั้นขึ้นมาคารวะ
เขาเคารพให้กับการตายของผู้คนในเมือง ผู้คนกว่าสองหมื่นคนบนกำแพงเคารพเขา
…
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของอ๋องสยบแดนเหนือ พลทหารแดนเหนือก็วิตกกังวลจนเสียสมดุล
ข้าต้องสังหารยอดฝีมือขั้นสามอีกคนหนึ่ง…สวี่ชีอันสื่อสารกับไต้ซือเสินซูในใจ
“สองก้านธูป…ข้าใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว…เจ้าคิดจะฆ่าใครอีก” น้ำเสียงของไต้ซือเสินซูเผยให้เห็นความอ่อนล้าอย่างหาที่เปรียบมิได้
หากเมื่อสักครู่เขาไม่ได้ซึมซับแก่นชีวิตของอ๋องสยบแดนเหนือ ในตอนนี้เสินซูคงจมเข้าสู่ห้วงนิทราอันไกลโพ้นแล้ว
พลังต่อสู้ของร่างธรรมยี่สิบสี่แขนทะยานไปถึงขั้นสองได้โดยตรง ในขณะที่เสินซูมีเพียงแขนข้างเดียว พลังแฝงบีบรัดมหาศาล ร่างธรรมในความลับนี้ไม่ใช่สิ่งที่แขนหักๆ ของเขาจะแสดงออกมาได้
“จี๋ลี่จือกู่”
สวี่ชีอันตัดสินใจเลือกโดยไม่ลังเลสักนิด
อาณาเขตส่วนใหญ่ของเผ่าปีศาจทางเหนือมีเขตแดนติดต่อกับสำนักพ่อมด ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายรุนแรงมาก จู๋จิ่วสามารถอยู่ต่อไปเพื่อเข้าไปพัวพันกับสำนักพ่อมดและสกัดกั้นซึ่งกันและกัน
แต่จี๋ลี่จือกู่ต้องตาย
เผ่าอนารยชนเป็นอันตรายสำหรับแดนเหนือของต้าฟ่งที่สุด
หลังจากตัดสินใจเลือกแล้ว ไต้ซือเสินซูก็หายไปในอากาศ และติดตามกลิ่นอายเพื่อเสาะหาจี๋ลี่จือกู่
…
เหนือกลุ่มเมฆมีเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่น โหรชุดขาวกำลังหัวเราะจนตัวโยกด้วยความเบิกบานอย่างที่สุด
“อ๋องสยบแดนเหนือตายแล้ว ในที่สุดก็ตาย ตายได้ก็ดี” โหรชุดขาวปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจ
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะราวกับระฆังก็ดังขึ้น หญิงชุดขาวเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ และบิดเอวย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้าด้วยท่าทีสง่างาม
นางมีใบหน้าและรูปลักษณ์ที่งดงาม ริมฝีปากบางรูปเพชรสีแดงกุหลาบเปล่งประกาย และเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นช่างเย้ายวน ทันทีที่จ้องมองจะพบกับความงามอันน่าอัศจรรย์ อีกทั้งเรียวจมูกที่ได้สัดส่วน เรียวคิ้วทั้งยาวและตรง
รายละเอียดที่ประณีตเหล่านี้ ปรากฏอยู่บนใบหน้าคมรูปแตงโม ชวนให้นึกถึงคำว่า ‘นารีเป็นเหตุ’ โดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้รูปร่างอันสมบูรณ์แบบของนาง ยังเผยให้เห็นเอวบางคอด และหน้าอกขนาดสมส่วนที่นูนเด่นบริเวณทรวงอก ช่างเป็นสัดส่วนร่างกายที่ยอดเยี่ยม
ต่อให้เป็นผู้ชายที่ชอบจับผิดที่สุด ก็ยังหาข้อบกพร่องในตัวนางไม่เจอ
“สังหารอ๋องสยบแดนเหนือเป็นส่วนหนึ่งในแผนของเจ้าใช่หรือไม่” หญิงในชุดขาวถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอยากรู้รึ”
โหรในชุดขาวหยุดยิ้มและชายตามองนาง “สู้พวกเราแลกข้อมูลกันไม่ดีกว่ารึ…เจ้ารู้จักคนคนนั้นหรือไม่”
ผู้หญิงในชุดขาวพยักหน้า “รู้”
โหรในชุดขาวกล่าวอย่างไตร่ตรอง “เขาคือปีศาจนักพรตที่สมณทูตสำนักพุทธกำลังตามหาใช่หรือไม่”
“เขาเป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่ง”
“เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
หญิงในชุดขาวแสยะยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าเดาสิ”
โหรชุดขาวไม่ตอบ และยืนด้วยท่าทางสงบนิ่ง
นางจึงถอนหายใจและกล่าวเสียงเบาว่า “เขาคือคนที่ข้าเคารพนับถือมาก”
หลังจากกล่าวแล้ว หญิงชุดขาวก็หันไปมองโหร และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตาเจ้าแล้ว”
โหรชุดขาวยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง พลางมองลงไปยังแม่น้ำและภูเขาที่อยู่ไกลออกไปหลายพันลี้ เขากล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่าทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของเขา
“ข้าจะบอกเจ้าแค่สองเรื่อง หนึ่ง ข้าร่ายมนตร์ปลูกฝังความเป็นอมตะให้จักรพรรดิหยวนจิ่ง สอง เมื่ออ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์ คงเป็นเรื่องยากสำหรับท่านโหราจารย์ ที่จะหยุดยั้งสถานการณ์หลังจากนั้น สำหรับเหตุผลและรายละเอียด ข้าไม่ขอเอ่ย”
เวลานี้ ทั้งสองต่างก็เพ่งมองออกไปไกลอย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างบุคคลหนึ่งมาพร้อมกับกระบี่บิน และแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อพวกเขาทั้งสองราวกับมองไม่เห็น
“เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์สมัยนี้คุณสมบัติไม่เลว อนาคตคงเป็นยอดฝีมือขั้นสาม หรือพุ่งทะยานสู่ยอดฝีมือขั้นสองก็เป็นได้” หญิงในชุดขาวแสดงความคิดเห็นโดยไม่ยับยั้งเสียงของตนเองแม้แต่น้อย
โหรชุดขาวหัวเราะ ‘เหอะเหอะ’ และกล่าวว่า “สำหรับข้า เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่คุ้มค่าแก่การรอคอยมากที่สุดในอีกไม่ถึงสองปีข้างหน้า คือสงครามระหว่างสวรรค์และมนุษย์”
…
เมื่อร่างของสวี่ชีอันลับสายตาไปแล้ว เสียงบนกำแพงเมืองก็ค่อยๆ ดังขึ้น ในที่สุด เสียงเหล่านี้ก็แผ่กระจายราวกับสายน้ำกลายเป็นเสียงดังและวุ่นวาย
อ๋องสยบแดนเหนือตายแล้ว เมืองฉู่โจวกลายเป็นซากปรักหักพัง แดนเหนือเป็นเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ พลทหารกว่าสองหมื่นนายที่รอดชีวิตตกอยู่ในความสับสนอย่างหนัก
หยางเยี่ยนสังเกตเห็นความผิดปกติของทหาร พลังชี่ของพวกเขากำลังจมลงในตันเถียน เขาจึงตะโกนว่า “พลทหารทุกนายจงรับคำสั่ง ข้าคือฆ้องทองคำหยางเยี่ยน เวลานี้เป็นผู้นำคณะทูต ตอนนี้อ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าจะรับช่วงหน้าที่ทางการทหารทั้งหมดในเมืองฉู่โจว รีบลงมาจากกำแพง แล้วมารวมตัวกันที่นอกกำแพงเมือง”
ทันใดนั้นเหล่าทหารก็รู้สึกราวกับมีที่ยึดเหนี่ยว พวกเขารีบลงมาจากกำแพงที่แตกหักอย่างเป็นระเบียบ และไปรวมตัวกันอยู่บริเวณที่โล่งนอกเมือง
เมื่อหยางเยี่ยนยังหนุ่ม เขาติดตามอยู่ข้างกายเว่ยเยวียนมาโดยตลอด และยังเคยเข้าร่วมสงครามที่ด่านซานไห่ ประสบการณ์การเป็นผู้นำกองทัพยังคงอยู่ เขาจึงรีบปลอบขวัญเหล่าทหารเพื่อรักษาระเบียบเอาไว้
เวลานี้ หลี่เมี่ยวเจินก็มาถึงพร้อมกับกระบี่บินพอดี นางหยุดลงที่บริเวณเหนือเมืองฉู่โจว
ท้องฟ้าในเวลานี้เป็นสีครามแล้ว อีกไม่กี่นาที ท้องฟ้าก็จะมืดลงอย่างสมบูรณ์
นางมองลงไปที่เมืองฉู่โจว ซึ่งกลายเป็นซากปรักหักพัง พลางพูดในใจว่า ‘หรือข้ามาช้าไป เมืองฉู่โจวพังทลายแล้ว ดูจากสภาพการณ์ สงครามการต่อสู้ของนักรบระดับสูงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้’
หลี่เมี่ยวเจินกวาดสายตามองซากปรักหักพังคร่าวๆ จากนั้นก็หันไปมองกองทัพทหารที่รวมตัวกันอยู่นอกเมือง
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…หญิงสาวผู้มีอาชาขาวและทวนเงิน ซึ่งผ่านประสบการณ์ชีวิตการเป็นนักรบมานักต่อนัก ตัดสินได้อย่างทันทีทันใดว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ตามหลักเหตุผลแล้ว สงครามการต่อสู้ที่รุนแรงและดุเดือดเช่นนี้จะต้องมีการเข่นฆ่าอันน่าเศร้า
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทหารรอดชีวิตมากมายเช่นนี้
“หยางจินหลัว เกิดอะไรขึ้นกับเมืองฉู่โจว? อ๋องสยบแดนเหนือ…เขาล่ะ?”
หลี่เมี่ยวเจินขี่กระบี่บิน และบินต่ำอยู่บริเวณไม่ไกลจากหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ
หยางเยี่ยนรู้จักนางมานานแล้ว ตอนที่ทั้งสองปราบโจรอยู่ที่อวิ๋นโจวก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน และยังไม่เต็มใจที่จะสนิทสนมกันนัก เป็นเพราะใบหน้านิ่งราวกับเป็นอัมพาตและนิสัยหัวโบราณของเขา ถึงแม้จะพบกับคนรู้จัก อย่างมากที่สุดเขาก็แค่พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อสายตาสบกัน โดยไม่ส่งเสียงทักทายกันแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เลขาธิการศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ต่างก็แสดงสีหน้าแปลกๆ
หยางเยี่ยนอธิบายว่า “อ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่คนทั้งเมือง ตอนนี้เขาสิ้นพระชนม์แล้ว”
…สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินแข็งทื่อ มองเขาด้วยความตกตะลึง
หยางเยี่ยนพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ
‘คำอธิบายภาษาอะไรของเจ้า นี่เจ้าพยายามยั่วน้ำลายกันสินะ หากไม่รู้ว่านิสัยเดิมเจ้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ตอนนี้ข้าคงถกแขนเสื้อตีเจ้าไปแล้ว โอ้ แต่ข้าตีนักรบขั้นสี่ไม่ได้ งั้นก็ช่างมันเถอะ…’ หลี่เมี่ยวเจินพึมพำในใจ
เลขาธิการศาลต้าหลี่กระแอม ก่อนกล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่วงพลบค่ำ กองทัพเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนทางเหนือรวมกลุ่มกันล้อมโจมตีเมืองเพื่อช่วงชิงยาโลหิต ฝ่ายชิงเหยียนนำโดยจี๋ลี่จือกู่ เผ่าปีศาจนำโดยจู๋จิ่ว แต่ยาโลหิตถูกกลั่นมาจากคนทั้งสามแสนแปดหมื่นชีวิตที่อ๋องสยบแดนเหนือเข่นฆ่า อ๋องสยบแดนเหนือเข่นฆ่าคนทั้งเมืองจนว่างเปล่าก็เพื่อตัวเขาเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เลขาธิการศาลต้าหลี่ก็เริ่มมีสีหน้าทุกข์ระทม หลังจากนั้นเขาก็หันไปเห็นใบหน้าอันสงบนิ่งของหลี่เมี่ยวเจิน ที่ไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย
“เจ้า…ดูเหมือนไม่ใส่ใจสักนิด?” เลขาธิการศาลต้าหลี่รู้สึกโกรธเล็กน้อย
“ข้ารู้นานแล้ว แต่ข้าไม่รู้เรื่องราวหลังจากนั้น เจ้าพูดต่อไป” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
“…อืม” เลขาธิการศาลต้าหลี่กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าให้หลี่เมี่ยวเจินฟัง เกี่ยวกับรายละเอียดการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในเมือง และจำนวนยอดฝีมือที่เข้าร่วมสงคราม
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์แต่งกายเป็นทหารหญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความองอาจ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอยู่กับที่
นางรู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่คนทั้งเมือง การเข้าร่วมของพ่อมดระดับสูงในสำนักพ่อมดก็ยังไม่ทำให้นางตกตะลึง อย่างไรสวี่ชีอันก็เคยวิเคราะห์มาแล้ว ว่าเบื้องหลังอ๋องสยบแดนเหนือยังมีการช่วยเหลือจากยอดฝีมือระดับสูงในระบบอื่นๆ ตอนนี้นางเพียงแค่รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นตามที่คาดไว้จริงๆ
แต่หลี่เมี่ยวเจินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีผู้นำเต๋าในนิกายปฐพี อ๋องสยบแดนเหนือ หญิงปริศนาและยอดฝีมือที่กวาดล้างสนามรบท่านนั้นเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้
ไม่ใช่เพราะอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่คนทั้งเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน เลยดึงดูดการตอบโต้ของเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนหรอกรึ?
เหตุใดยังมียอดฝีมือเหล่านี้เข้าร่วมด้วย ความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันซับซ้อนเกินไป ข้าต้องสงบสติอารมณ์และวิเคราะห์ ไม่สิ ข้าต้องการสวี่ชีอัน…หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกอับอายอยู่ในใจเล็กน้อย
“หลี่เต้าฉางรู้ได้อย่างไรว่าอ๋องสยบแดนเหนือสังหารคนทั้งเมือง?”
ปัญญาชนผู้รอบคอบ หลิวยวี่สื่อยกมือขึ้นมาประสานกันระดับหน้าอกและเอ่ยปากถาม
คำถามของเขาเหมือนเป็นการกระตุ้นความทรงจำของนาง เรียวคิ้วของหลี่เมี่ยวเจินยกขึ้น นางเหยียบกระบี่บินทะยานขึ้นไปบนอากาศท่ามกลางทหารสองหมื่นนายและตะโกนว่า “หยางจินหลัว จงจับกุมผู้บัญชาการเชวียหย่งซิวเดี๋ยวนี้ อ๋องสยบแดนเหนือคือผู้ร้ายในเหตุสังหารหมู่ ส่วนเขาคือมีดสังหารของอ๋องสยบแดนเหนือ เขาคือคนนำทัพไปสังหารหมู่คนทั้งเมืองในวันนั้น”
“อะไรกัน?!”
ไม่เพียงแต่หยางเยี่ยน เลขาธิการศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
ไม่มีเวลามากพอที่จะถามรายละเอียดมากกว่านี้ หยางเยี่ยนรีบร่วมมือกับหลี่เมี่ยวเจินในการค้นหาเชวียหย่งซิวอย่างทันทีทันใด แต่หลังจากค้นหาทั่วทุกมุมในกองทัพ และซากปรักหักพังของเมืองแล้วก็ไม่พบตัวเชวียหย่งซิว
เขาหนีไปแล้ว
บางทีเขาอาจจะฉวยโอกาสหนีไป ตอนที่เผ่าอนารยชนกำลังวิ่งหนีกันอลหม่าน หรือบางทีเขาอาจหนีไปอย่างเงียบๆ หลังจากเห็นการสิ้นพระชนม์ของอ๋องสยบแดนเหนือ
จะมีใครจับตามองเขา? ในเวลานั้นทุกคนต่างให้ความสนใจกับเหตุการณ์ในสนามรบ โดยไม่รู้ว่าเชวียหย่งซิวก็ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงไว้เช่นกัน
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือก็แอบหนีไปนานแล้วเช่นกัน
ทุกคนทั้งโกรธทั้งแค้น แต่กลับจนปัญญาจนทำอะไรไม่ถูก
เลขาธิการศาลต้าหลี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณหลี่เต้าฉางที่ตักเตือน หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเราอาจจะละเลยโจรผู้นี้ และปล่อยเขาลอยนวลโดยไม่มีการลงโทษ หลังจากคณะทูตกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะยื่นจดหมายกล่าวโทษกับทางการ เพื่อออกหมายนำจับคนชั่วผู้นี้”
หลิวยวี่สื่อตื่นเต้นอย่างที่สุด “ถูกต้อง เชวียหย่งซิวคือพรรคพวกของไหวอ๋อง ไหวอ๋องต้องการปิดบังสวรรค์ข้ามทะเลที่เมืองฉู่โจว งั้นก็ต้องใช้การช่วยเหลือจากเขาอย่างแน่นอน ขอบคุณหลี่เต้าฉางที่ตักเตือน ได้โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย”
สมแล้วที่หลี่เมี่ยวเจินเป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินที่มีความสามารถโดดเด่น นางน่าจะได้ยินเรื่องคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้หรือเรื่องที่เผ่าอนารยชนบุกรุกชายแดน ดังนั้นนางจึงดั้นด้นรีบมายังเมืองฉู่โจวที่อยู่แสนไกล…
เมื่อเทียบกับนางแล้ว พวกเราไม่รู้ความจริงจนกระทั่งทุกอย่างถูกเปิดเผยในวันนี้ ช่างน่าละอายจริงๆ…คณะทูตทุกคนต่างก็รู้สึกตื้นตันใจมาก ความรู้สึกละอายเกิดขึ้นในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีคนในคณะทูตจำนวนมาก มีฆ้องทองคำระดับสี่หยางเยี่ยน มีหัวหน้ามือปราบแห่งกรมอาญาที่มากประสบการณ์ อีกทั้งยังมีบุคคลในตำนานอย่างสวี่ชีอันคอยสืบสวนอย่างลับๆ มาฉู่โจวเป็นเวลานานเช่นนี้ แต่ผลกลับไม่ได้อะไรเลย
หัวหน้ามือปราบเฉินกำหมัดแน่น “หลี่เต้าฉาง เชวียหย่งซิวเป็นยุคสมัยแรกหลังจากวีรบุรุษก่อตั้งอาณาจักร และเขายังเป็นผู้บัญชาการเมืองฉู่โจว ตำแหน่งและความน่าเชื่อถือของเขาค่อนข้างสูง แม้กระทั่งในเมืองหลวง ก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่มีตำแหน่งและสถานะสูงกว่าเขา อ๋องสยบแดนเหนือสังหารคนทั้งเมือง มีทหารนับหมื่นเห็นเต็มตา ซึ่งพวกเขาสามารถเป็นพยานได้ แต่เชวียหย่งซิว… ขอหลี่เต้าฉางโปรดชี้แนะ ท่านจะสอบสวนคดีนี้อย่างไร?”
เลขาธิการศาลต้าหลี่และฝ่ายตรวจการทั้งสองต่างก็มองไปที่หลี่เมี่ยวเจิน
หยางเยี่ยนซึ่งมีบุคลิกเงียบขรึม และไม่ค่อยมีความสนใจในเรื่องอื่นๆ กลับแสดงความอยากรู้อยากเห็นในเวลานี้เช่นกัน
……………………………………………………………