ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 241-2 ความตระหนกของเว่ยเยวียน
บทที่ 241-2 ความตระหนกของเว่ยเยวียน
ใต้เท้าจ้าวซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงราชการมานานหลายปีสีหน้าไม่เปลี่ยนสี และไม่ได้แสดงออกถึงความละอายใจแม้แต่น้อย “เป็นเพราะข้าดูแลเขาไม่ดี ทำให้เขาทำอะไรตามอำเภอใจ”
ใต้เท้าจ้าวหยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อวางบนโต๊ะ แล้วกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ “ใต้เท้าสวี่โปรดลดหย่อนโทษให้ด้วย”
สวี่ชีอันเหลือบมองแวบหนึ่งเห็นตั๋วมูลค่าหนึ่งร้อย จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “น้องสาวข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
ใต้เท้าจ้าวหยิบตั๋วเงินออกมาอีกหนึ่งฉบับ
สวี่ชีอันถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาสะใภ้ของข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
ใต้เท้าจ้าวหยิบออกมาอีกหนึ่งฉบับ
สวี่ชีอันถอนหายใจแล้วพูดว่า “น้องสาวของข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
“น้องสาวของใต้เท้าสวี่ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว”
“อ้อ ข้ามีน้องสาวสองคน”
ใต้เท้าจ้าวหยิบออกมาอีกฉบับหนึ่ง
สวี่ชีอัน ถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นกัน”
มุมปากของใต้เท้าจ้าวกระตุก หยิบออกมาอีกหนึ่งร้อยตำลึง
“กำไลข้อมือที่หายไปได้ เป็นกำไลที่ฝ่าบาททรงพระราชทาน…”
อีกฉบับหนึ่ง
ตอนนี้บนโต๊ะมีตั๋วเงินถึงหกร้อยตำลึง ใต้เท้าจ้าวซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงราชการมานับสิบปี ยังมีอาการการกระตุกมุมปากอย่างควบคุมไม่ได้
สวี่ชีอันไม่ได้กลั่นแกล้งต่อ ไม่ใช่เพราะรู้จักพอ แต่เป็นเพราะจ้าวเซินเพิ่งจะเอ่ยปากรีดไถเงินห้าร้อยตำลึงกับเขา ตอนนี้ก็เพียงแต่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง แล้วเรียกเงินเพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึง
“เรื่องนี้ ข้าจะยกโทษให้พวกเขาก็แล้วกัน” สวี่ชีอันเก็บตั๋วเงินอย่างระมัดระวัง ซ่อนเอาไว้ในอกเสื้อ
“ถ้าเช่นนั้น… คุณชายสวี่ได้โปรดปล่อยพวกเขาไปเถิด” ใต้เท้าจ้าวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ทำเช่นนี้ไม่ได้ขอรับ” สวี่ชีอันส่ายหัว
ใบหน้าของใต้เท้าจ้าวเคร่งเครียดทันที
สวี่ชีอันดื่มชาอึกหนึ่ง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ติดหนี้ต้องคืนเงิน แต่ก็ต้องเก็บดอกเบี้ยมิใช่หรือ ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนี้เป็นดอกเบี้ย เงินต้นท่านยังไม่ได้คืนให้ข้าเลยนะขอรับ”
ใต้เท้าจ้าวจ้องมองเขาด้วยแววตาคมคาย และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก “ใต้เท้าสวี่ต้องการสิ่งใด”
เขาคือหลางจงที่มีอำนาจอย่างแท้จริง มีหน้าที่โยกย้ายขุนนาง อำนาจนี้ไม่ธรรมดา อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมขุนนางท้องถิ่นของราชสำนัก
นอกจากการแต่งตั้งผู้บัญชาการ สมุหเทศาภิบาล และตุลาการความมั่นคงขุนนางระดับสองทั้งสามตำแหน่งนี้ที่เขาไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้ นอกนั้นการโยกย้าย แต่งตั้งขุนนางท้องถิ่นที่เหลือ ล้วนต้องผ่านมือของหน่วยคัดเลือกขุนนางของกรมปกครองทั้งสิ้น
มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่เขาจนปัญญา
เดิมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบขุนนางทุกหน่วยทุกระดับ โดยปกติมีหน้าที่คอยปะทะ อีกอย่างการแต่งตั้งเจ้าพนักงานของหน่วยก็ไม่ได้เป็นหน้าที่ของขุนนางของกรมปกครอง และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เจ้าหมอนี่เป็นพวกหนังเหนียว
ด้านบนมีเว่ยเยวียนคอยคุ้มกะลาหัว และฝ่าบาทยังทรงแต่งตั้งให้จัดการคดีหลายครั้ง อย่าว่าแต่หลางจงอย่างเขาเลย แม้แต่ขุนนางในราชสำนักทั้งหลายในใจต่างรู้สึกอยาก ‘ถุย ถุย ถุย’ ใส่หน้าเขา แต่ภายนอกกลับจนปัญญา
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มาเถอะ ใต้เท้าจ้าวนั่ง นั่งก่อนขอรับ” สวี่ชีอันแสดงความเชื้อเชิญให้เขานั่งลง จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นแสดงเจตนา รอจนใต้เท้าจ้าวฝืนใจดื่มไปอึกหนึ่งแล้ว เขาจึงถามด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินมาว่าหน่วยคัดเลือกขุนนางมีหน้าที่ควบคุมการโยกย้ายขุนนางหรือขอรับ”
จ้าวหลางจงพยักหน้า
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์แล้ว ข้ามีญาติผู้น้องอยู่คนหนึ่ง มีความสามารถในการประพันธ์ มีความรู้กว้างขวาง สามารถสอบบัณฑิตขั้นสูงได้อย่างสบายๆ” สวี่ชีอันกล่าว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าสวี่พูดเรื่องนี้กับข้าทำไม สามารถสบายใจได้เลย” จ้าวหลางจงเข้าใจความหมายของเขาแล้ว
“เรื่องนี้น่ะหรือ…” สวี่ชีอันทำเสียง ‘เฮ้อ’ “เขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่”
ลูกศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่? จ้าวหลางจงขมวดคิ้วแน่น
“วางใจเถิดขอรับ จะไม่ทำให้ใต้เท้าจ้าวลำบากใจอย่างแน่นอน ขอเพียงหลังการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ท่านให้เขาดำรงตำแหน่งในเมืองหลวง ให้ความเสมอภาคกับบัณฑิตขั้นสูงคนอื่นๆ ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักแล้ว” สวี่ชีอันค่อยๆ โน้มน้าว
“เมื่อถึงตอนนั้นหลานชายและหลานสะใภ้ของใต้เท้าก็จะได้รับการปล่อยตัว ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างอยุติธรรมอย่างแน่นอน กำไลข้อมือที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ ข้าจะถือเสียว่าทำหายไปก็แล้วกัน”
นับตั้งแต่ได้ยินอาจารย์หลี่พูด ว่าที่พึ่งของอีกฝ่ายคือหลางจงแห่งหน่วยคัดเลือกขุนนาง สวี่ชีอันก็เกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ
นี่เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง… จ้าวหลางจงครุ่นคิดเป็นเวลานาน แล้วก็พยักหน้าช้าๆ “ตกลง หวังว่าใต้เท้าสวี่จะรักษาคำมั่นสัญญา”
หลังจากส่งจ้าวหลางจงกลับไปแล้ว สวี่ชีอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และคิดในใจว่า เอ้อร์หลางเอ๋ย ในบรรดาน้องชายและน้องสาว คนที่พี่ใหญ่รักที่สุดยังคงเป็นเจ้า
จากนั้น เขาก็หันหลังกลับและไปที่หอเฮ่าชี่
เมื่อองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ชั้นล่างเห็นสวี่ชีอัน ก็รู้สึกแค้นใจมาก พูดด้วยท่าทีแปลกๆ ว่า “ใต้เท้าสวี่เชี่ยน ท่านมาอีกแล้วหรือ ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่ของท่านตายแล้วฟื้นคืนชีพหรือขอรับ”
สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “ใครคือสวี่เชี่ยน ข้าชื่อสวี่ซินเหนียน อย่าพูดจาไร้สาระ ขึ้นไปรายงานเดี๋ยวนี้”
องครักษ์ขึ้นไปชั้นบนแต่โดยดี อีกครู่หนึ่งก็กลับมา และพูดว่า “เว่ยกงเชิญท่านไปพบชั้นบน”
…
ชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนที่กำลังยืนครุ่นคิดอยู่หน้าภาพฮวงจุ้ย ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมา ก็ไม่ได้หันกลับมา พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“จ้าวหลางจงแห่งหน่วยคัดเลือกขุนนางมาพบเจ้าหรือ”
‘ข้ามาหอเฮ่าชี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง…’ สวี่ชีอันกุมหมัด “ไม่มีอะไรสามารถปิดบังเว่ยกงได้เลย”
เว่ยเยวียนพยักหน้า ยังคงไม่หันกลับมา “มีเรื่องอะไร”
สวี่ชีอันจึงได้พรรณนาความเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วกล่าวว่า “หากเอ้อร์หลางของพวกเราไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย ก็ต้องถูกเนรเทศไปยังชนบทที่แร้นแค้นและห่างไกลความเจริญอย่างแน่นอน อารองมีเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร”
เว่ยเยวียนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากข้า”
คำตอบสำหรับเขาคือความเงียบ และเว่ยหยวนก็ไม่ได้เร่งรัด
สวี่ชีอันลังเลอยู่นาน ก่อนจะตอบอย่างใจเย็น “ข้าต้องการเหลือหนทางให้กับสกุลสวี่ เขาไม่ควรอยู่เป็นพวกเดียวกับข้า”
ชะงักนิดหนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสริมว่า “ข้าน้อยได้รับบุญคุณอันยิ่งใหญ่จากเว่ยกง การบุกน้ำลุยไฟย่อมเป็นหน้าที่ของข้า”
หลายครั้ง เหตุการณ์จะเป็นตัวผลักให้เจ้าก้าวเดิน หลังจากเดินออกมาแล้วจึงพบว่าไม่มีเส้นทางให้หวนกลับ
แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่ได้รู้สึกเสียใจ มีได้ย่อมมีเสีย เขาแค่รู้สึกว่ามีหนทางเพิ่มอีกหนึ่งสายย่อมมีประโยชน์ในอนาคต
ขุนนางผู้โดดเดี่ยวไม่มีจุดจบที่ดี!
คำพูดขององค์รัชทายาทประโยคนี้ทำให้สวี่ชีอันระแวดระวังอยู่เงียบๆ
คนฉลาดย่อมไม่ใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว สวี่ชีอันหวังว่าในอนาคตคนที่จะสามารถค้ำจุนครอบครัวได้ จะมีสวี่ซินเหนียนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
แม้ว่าในฐานะญาติผู้น้อง สวี่ซินเหนียนอาจจะถูกประทับตราของเขาบ้าง แต่ก็แตกต่างจากตราของเว่ยเยวียน
ความคิดความอ่านนี้ปิดบังเว่ยเยวียนไม่ได้ ดังนั้นคำพูดกล่าวเสริมในตอนหลังของสวี่ชีอัน จึงเป็นการแสดงจุดยืนของตัวเอง
เว่ยเยวียนพยักหน้าช้าๆ “เป็นธรรมดาของมนุษย์ จริงสิ เจ้าประสบความสำเร็จในการเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหลอมวิญญาณแล้วสินะ จิตเดิมแข็งแกร่งเพียงใดหรือ”
“เรื่องนี้พูดยาก…” สวี่ชีอันเกาหัว
“เอาหลี่อวี้ชุนเป็นมาตรฐานแล้วกัน เขาเป็นผู้อาวุโสในระดับหลอมวิญญาณ แม้ว่าเขาจะยังห่างไกลจากกระดูกเหล็กผิวทองแดง แต่พลังการต่อสู้ของเขาก็ไม่เลว” เว่ยเยวียนยังคงจ้องมองที่ภาพฮวงจุ้ย
สวี่ชีอันพึมพำเบาๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าสามารถฆ่าคนสองคนได้ในครั้งเดียว”
เว่ยเยวียนหันกลับมาทันที “หืม”
เขาหรี่ตา จ้องมองสวี่ชีอัน “เจ้าว่าอะไรนะ”
“เว่ยกง หลังจากข้าน้อยก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณ ก็ยังไม่เคยต่อสู้กับใครเลย จึงไม่แน่ใจว่าความแข็งแกร่งของจิตเดิมในระดับหลอมวิญญาณอยู่ในระดับใด” สวี่ชีอันกล่าวอย่างถ่อมตัว
“เจ้ามีวิชาสิงโตคำรามสำนักพุทธมิใช่หรือ” เว่ยเยวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชี้ไปที่หอสังเกตการณ์ “ลองไปคำรามข้างนอกดู”
“เว่ยกง สิงโตคำรามไม่แยกแยะระหว่างมิตรกับศัตรู” สวี่ชีอันไม่กล้า
ทักษะทำดาเมจวงกว้างนั้นไม่คำนึงถึงศัตรูหรือมิตร
“ไม่ต้องห่วงข้า” เว่ยเยวียนโบกมือไปมา
“ขอรับ” สวี่ชีอันเดินผ่านห้องน้ำชา ไปยังหอสังเกตการณ์ หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์อันอบอุ่น แล้วสูดลมเข้าสู่จุดตันเถียน
ในสมองของเขา นึกภาพสิงโตสีทองคำราม ผสานกับวิธีหายใจและการโคจรปราณ แล้วค่อยๆ ก็หยุดชั่วครู่… เขา
หันหน้าลงไปยังที่ทำการเบื้องล่าง แล้วคำรามเสียงดังลั่น
“โฮก!”
เสียงคำรามนี้ ไม่เหมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้าย แล้วก็ไม่เหมือนเสียงตะโกนของมนุษย์ แต่เหมือนเสียงฟ้าผ่าที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งที่ทำการปกครองมากกว่า
คลื่นเสียงดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เจ้าพนักงานในหอเฮ่าชี่ ตาเหลือกทันที หูดับชั่วคราว เบื้องหน้ามืดมิด
พวกที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้ยินเสียงคำราม ในใจก็เกิดความหวาดกลัวเกินกว่าจะควบคุม
พลังปราณจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากทั่วทุกสารทิศของที่ทำการปกครอง เหล่าฆ้องทองคำที่อยู่ในที่ทำการปกครองต่างพากันตกใจ เงาของมนุษย์พุ่งออกออกจากอาคารไม่ขาดสาย บางส่วนไปรวมตัวกันที่ลานกว้าง บางส่วนกระโดดขึ้นไปบนหลังคา บางส่วนพุ่งตัวไปที่หอเฮ่าชี่
ในเวลานี้ ทุกคนในที่ทำการปกครองต่างแตกตื่นกันยกใหญ่
“เว่ย เว่ยกง… ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
เว่ยเยวียนตระหนักในทันที จ้องไปที่สวี่ชีอันที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นี่คือสิงโตตัวผู้ เขาค่อยๆ ลับกรงเล็บ เขี้ยวค่อยๆ งอกออกมา
เขายังโตไม่เต็มที่ แต่สักวันหนึ่ง เสียงคำรามของเขาจะสั่นสะเทือนไปทั้งจิ่วโจว
……………………………………………..