ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - ตอนที่ 142 คัมภีร์เก้าจันทรา
บทที่ 142 คัมภีร์เก้าจันทรา (1)
“ท่านคงจะเป็นคุณชายสวี่สินะขอรับ”
สวี่ชีอันได้ยินคนเรียกชื่อเขาจากข้างหลัง
บัดซบ เจองั้นคนรู้จักตอนไปหอคณิกาหรือ เขาด่าในใจพร้อมกับหันขวับ แล้วจึงถอนหายใจออกมา
ข้างหลังเขาคือชายหนุ่มรูปงามในชุดสีคราม แบบเดียวกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูหออิ่งเหมย
“คุณชายสวี่ แม่นางหมิงเยี่ยนของเราอยากเชิญคุณชายไปดื่มชาขอรับ” ชายหนุ่มรูปงามโค้งคำนับและยิ้มอย่างประจบสอพลอ
หมิงเยี่ยน…สวี่ชีอันนึกย้อนในหัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้คำตอบว่าแม่นางหมิงเยี่ยนผู้นี้เป็นใคร นางเป็นคณิการะดับสูง และเป็นคณิกาขึ้นชื่อด้านการร่ายรํา ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับฝูเซียงก่อนหน้านี้
ตอนนี้ฝูเซียงเป็นคลื่นลูกหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยังโดดเด่นเกินกว่าคณิกาหน้าไหนในหอนางโลม
เรียนร่ายรํางั้นหรือ…อย่างที่ทราบกันดีว่าประสิทธิภาพของการร่ายรำกับโยคะนั้นไม่ต่างกันเลย! ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายเล็กๆ เขายิ้มและกล่าว “นำทางไปสิ”
จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามก็เบ่งบานทันที เขาโค้งคำนับไม่หยุด “คุณชายสวี่ตามข้ามาขอรับ เชิญทางนี้ เชิญทางนี้…”
หากเชิญสวี่ชีอันไปหาได้ แม่นางหมิงเยี่ยนคงเบิกบานใจเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นนางคงจะตกรางวัลให้โดยไม่ตระหนี่ แต่ถ้ากลับไปมือเปล่า มีหวังโดนด่าเตลิดเปิดเปิงเป็นแน่
ที่ทางเข้าหออิ่งเหมย คนเฝ้าประตูที่กำลังออกมาต้อนรับสวี่ชีอัน เมื่อเห็นฉากนี้เข้าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ นึกอยากจะดึงตัวคุณชายสวี่กลับมา และด่าเพื่อนร่วมอาชีพที่มาฉกลูกค้าไปต่อหน้าต่อตาสักชุด
แต่คิดดูอีกที ตนเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วย ดีไม่ดีคุณชายสวี่อาจจะพาลเกลียดตนไปด้วย
เขาจึงกัดฟัน ปิดประตูและวิ่งหน้าตั้งเข้าไปในสำนัก
“ท่านพี่ทั้งหลาย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เขาเข้าไปยังโรงเตี๊ยม ยืนตรงประตู กวาดสายตามองสาวใช้ที่กำลังจัดโต๊ะวางอาหารเรียกน้ำย่อย และป่าวร้องเสียงดังลั่น
สาวใช้ร่างสูงหน้าตาดูดีคนหนึ่งขมวดคิ้วมอง น้ำเสียงของนางแผ่วเบา “ลนลานเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
ชายเฝ้าประตูมีท่าทีวิตกกังวล และพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “มีคนฉกตัวคุณชายสวี่ไปตอนอยู่หน้าหอของเรา เด็กรับใช้ของหมิงเยี่ยนพาตัวไประหว่างทางเลย”
“ว่าไงนะ”
“หน็อย นางแพศยา กล้ามาฉกผู้ชายของท่านหญิงเรา”
สาวใช้ทั้งหลายต่างตกอกตกใจ สาวใช้ร่างสูงเขวี้ยงผ้าเปียกทิ้งอย่างแรง ถกกระโปรงขึ้นและรีบตรงไปยังห้องนอนใหญ่ ราวกับว่ากำลังไปรายงานสถานการณ์การรบ
…
ณ ห้องนอนใหญ่ ฝูเซียงในชุดดอกเหมยนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเตียง นางถือหนังสืออยู่ในมือพร้อมกับชิมองุ่นแดงและในขณะเดียวกันก็จดจ่ออยู่กับการอ่านนิยายพื้นบ้านว่าด้วยเรื่องบัณฑิตหนุ่มกับสาวงาม[1]
ในจานผลไม้เต็มไปด้วยผลไม้ตามฤดูกาล เช่น องุ่น อ้อย กล้วย และพุทราฤดูหนาว เป็นต้น
สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้นั่งยองๆ อยู่ตรงขอบเตียง มือของนางคอยนวดกดจุดฝ่าเท้าขาวนวลของนายหญิง
“ช่วงนี้ท่านหญิงดูใจลอยและไม่ค่อยมีความสุขเลย เป็นเพราะคิดถึงคุณชายสวี่ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ก็แค่ผู้ชายสารเลวคนหนึ่ง ข้าจะไปคิดถึงเขาทำไม” ฝูเซียงส่ายหัว
“เช่นนั้นเหตุใดประชุมชาทุกคืน ท่านต้องให้ข้าออกไปถามหาคุณชายสวี่ ว่ามาหรือยังทุกครั้งล่ะเจ้าคะ”สาวใช้หัวเราะเบาๆ
ฝูเซียงขมวดคิ้ว ชี้ไปที่จานผลไม้และกล่าว “ผู้ชายในโลกนี้ไม่ต่างอะไรกับอ้อย”
“อ้อยหรือเจ้าคะ”
“แรกๆ ก็หวานซึ้งจับใจ ทว่าพอได้กินเข้าไปแล้วสุดท้ายก็พบว่าเป็นเพียงกากเดน” ฝูเซียงเบ้ปาก
เมื่อถอดเปลือกนอกที่สง่างาม อ่อนหวานทิ้งไป แววตาของนางก็ดูมีชีวิตชีวาและสดใสยิ่งนัก
สาวใช้ยิ้มและพูดในใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงกากเดน แต่ในยามหอมหวานก็ยังหวานฉ่ำตรึงใจ และทุกคืนที่ท่านอยู่กับเขา เสียงเพรียกร้องของท่านก็ยังหวานเสนาะหูทุกครั้งไป
ทีแรกฝูเซียงก็สุขกายสบายใจดี แต่พอสาวใช้เปิดบทสนทนา นางก็แทบจะข่มจิตข่มใจไม่ไหว นางเม้มปาก
“เจ้าคิดยังไงกับสวี่หลาง”
สาวใช้หัวเราะแหะๆ และกล่าว “เป็นคนที่เก่งกาจมากเจ้าค่ะ…”
ฝูเซียงหน้าแดง เตะสาวใช้เบาๆ และจ้องเขม็งไปที่นางด้วยความโกรธพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดว่าเขาแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นบ้างหรือ”
สาวใช้นึกขึ้นได้และสำทับ “เขาอ่อนโยนกว่าผู้ชายคนอื่นๆ ไม่มีท่าทีหยิ่งผยองดูถูกพวกเรา แต่ว่าเวลาเขามองหน้าอกของท่านหญิง เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ชายข้างนอกมากนักหรอกเจ้าค่ะ”
“บุรุษล้วนมากด้วยตัณหา” ฝูเซียงไม่แยแส หยิบองุ่นเข้าปาก
“ช่วงนี้มีกลอนเจ็ดครึ่งบทกำลังโด่งดังไปทั่วสำนักสังคีต เป็นที่เลื่องลือกันไม่น้อยเลย ‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ ว่ากันว่ามาจากในวัง”
สาวใช้พยักหน้า “ข้าได้ยินแขกพูดกันตอนประชุมชา[2] ว่าพวกพระราชโอรสและองค์หญิงแต่งขึ้นระหว่างการละเล่นในวงสุรา[3]กัน แต่ข้าไม่รู้ว่าพระราชโอรสพระองค์ใดที่เปี่ยมพระอัจฉริยภาพด้านกวีนิพนธ์เช่นนี้เจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นสาวใช้ร่างสูงก็วิ่งขึ้นมาพร้อมหายใจหอบ แววตาฉายแววกระวนกระวาย พร้อมกับพูดว่า “ท่านหญิง เมื่อครู่คุณชายสวี่มาเยือนสำนักสังคีตเจ้าค่ะ…”
เมื่อพูดจบนางหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อผ่อนลมหายใจ
ฝูเซียงส่งเสียง ‘อืม’ อย่างไม่ใส่ใจ “เตรียมเหล้ายาอาหารไปต้อนรับ ให้เขารออยู่ข้างนอกนั่นแหละ”
ไม่ได้เจอหน้าชายผู้นี้มาเกือบสิบวันแล้ว ยามรักหวานก็เรียกนางว่ายอดรัก พอสิ้นเยื่อใยก็ปล่อยให้นางเปล่าเปลี่ยว
ผู้ชายแค่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนักหรอก
สาวใช้ส่ายหัวรัวๆ “คุณชายสวี่ถูกคนของแม่นางหมิงเยี่ยนพาตัวไประหว่างทาง ตอนนี้ก็อยู่ที่สำนักของนางแล้วเจ้าค่ะ”
“ว่าไงนะ?!”
ฝูเซียงลุกพรวดขึ้นมา นางขมวดคิ้ว กัดฟันกรอด “เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปสำนักชิงฉือ”
…
ในห้องโถงตกแต่งด้วยผ้าไหมอย่างหรูหรา สวี่ชีอันเพลิดเพลินกับการร่ายรำของคณิกาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
นางสวมชุดกระโปรงไหมพรมสีเหลืองอ่อน การแต่งตัวของนางไม่ถึงกับเรียบร้อยมิดชิดเกินไป แต่ก็ไม่ถึงกับฉูดฉาดไร้รสนิยม นางมีดวงตาที่สดใส คางเรียว และเนื่องจากร่ำเรียนการร่ายรำมาหลายปีดีดัก ทำให้นางมีบุคลิกที่กระฉับกระเฉงอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆ ในสำนักสังคีตไม่มี
ถึงแม้หุ่นนางจะไม่ร้อนแรง ทว่ากลับมีสัดส่วนที่ยอดเยี่ยม
“ข้าน้อยสังเกตคุณชายสวี่มาพักหนึ่งแล้ว แต่ว่าน่าเสียดายที่คุณชายสวี่มาเยี่ยมเยือนสำนักสังคีตทีไร ก็ตรงดิ่งไปที่หออิ่งเหมยเสียทุกครั้ง“ เสียงของหมิงเยี่ยนอ่อนหวาน เง้างอดและหยอกเย้าในคราเดียวกัน นางยิ้มมุมปาก
“วันนี้ถือเป็นโอกาสของข้าน้อยแล้วเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากลัวว่าจะทำให้แม่นางจะขุ่นเคืองน่ะสิ” และกำลังคำนวณในใจว่าคณิกานางนี้อยู่ในระดับเดียวกับฝูเซียง เดิมทีค่าตัวของฝูเซียงอยู่สามสิบตำลึงต่อหนึ่งคืน และแม่นางผู้นี้น่าจะค่าตัวพอๆ กัน ไม่รวมเงินค่าประชุมชา
วันนี้ข้าไม่ได้นำเงินมามากนัก ทองมีมากก็จริง เพียงแต่ไม่อาจใช้แทนเงินตราแลกเปลี่ยนได้
ทั้งสองพูดคุยกันได้สองสามคำ และสาวใช้ก็รีบร้อนเข้ามา ก้มศีรษะต่ำ “ท่านหญิง ฝูเซียงกำลังมาเจ้าค่ะ พะ…พวกข้าขวางนางไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
หมิงเยี่ยนเลิกคิ้วพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าฝูเซียงมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อคุณชาย ซึ่งถือเป็นสิ่งต้องห้ามนะเจ้าคะ”
สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน เพราะแวบแรกดูเหมือนจะเป็นคำชม ทว่าอันที่จริงคือการยุแยงให้ผิดใจกัน
ผู้หญิงหากินถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในสายตาของบุรุษยุคนี้ และเป็นเรื่องที่ไม่มีเกียรติสักเท่าไหร่
โธ่ นางตัวแสบ…สวี่ชีอันจิบเหล้า ไร้ซึ่งความยินดีหรือระอาใจ เพราะแต่ละคนก็นานาจิตตัง และเป็นสาวๆ ของสำนักสังคีตจะทำตัวร้ายกาจก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
[1] ประเภทของนิยายรัก เป็นที่นิยมในช่วงราชวงศ์ถัง เกี่ยวกับความรักต่างชนชั้นของบัณฑิตหนุ่มและหญิงงามผู้ต่ำต้อย
[2] การประชุมชา คือ การไปหอคณิกาเพื่อชิมชาและดื่มเพื่อความสนุกสนาน กล่าวคือ ดื่ม สูบบุหรี่ กินขนม และสนทนาในหอคณิกาที่โสเภณีตั้งอยู่
[3] การละเล่นในวงสุรา คือ การละเล่นท้าเอาแพ้ชนะ หากใครแพ้จะถูกปรับให้ดื่มสุรา