ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 528 กลิ่นของดอกกุ้ย
บทที่ 528 กลิ่นของดอกกุ้ย
…………….
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้สาเหตุที่ทำให้ข่งเสียงหลงเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
ก่อนหน้านี้ในแดนต้องห้ามเซียน หลังจากที่สวี่ชิงได้ยินสิ่งที่ท่านอาจารย์วิเคราะห์ ก็รู้สึกเช่นนั้น จะเจ้าวังก็ดี หรือจะเจ้าเขตปกครองก็ดี หรืออาจจะทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร อันที่จริงล้วนเป็นตัวหมากทั้งสิ้น
ก่อนที่เจ้าวังจะสู้จนตัวตาย เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
แต่เขาที่ความตั้งใจถือกระบี่เพื่อเผ่ามนุษย์อันแรงกล้ามาทั้งชีวิต ข้ามผ่านช่วงเวลาที่หนักหน่วง ดังนั้นการสู้จนตัวตายเพื่อเผ่ามนุษย์ เป็นสิ่งที่เจ้าวังไม่นึกเสียดาย
เขาเพียงยังเป็นห่วงบ้านเกิดเมืองนอน เป็นห่วงญาติสนิทมิตรสหาย เป็นห่วงเหล่าบุตรชายใต้บังคับบัญชาเหล่านั้น หลังจากที่คาดเดาเรื่องราวบางส่วนได้ เขาจึงใช้ความตายของตน พยายามอย่างสุดความสามารถ ช่วยเหลือเขตปกครองผนึกสมุทรโดยไม่ส่งผลกระทบกับสถานการณ์รวม
ขอเพียงดินแดนของเขตปกครองสมุทรยังอยู่ ข้าจะเสียดายชีวิตนี้ไปทำไม
สวี่ชิงระลึกถึงประโยคนี้หลายครั้ง ในนี้แฝงความเด็ดเดี่ยวในใจก่อนที่เจ้าวังจะสู้รบจนตัวตาย
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ หลังจากเจ้าวังสู้จนตัวตาย กองทัพองค์ชายเจ็ดก็มาถึง คลี่คลายทุกสิ่งอย่างราบรื่น จนกลายเป็นวีรบุรุษของเผ่ามนุษย์
ข่งเสียงหลงก็เข้าใจสิ่งเหล่านี้ จึงทั้งซับซ้อนและเงียบนิ่ง
แต่สุดท้าย ตัวเลือกของเขากับปู่เขาก็คล้ายกัน
เขาเลือกอวยพรให้สงครามเผ่ามนุษย์ศึกนี้ได้รับชัยชนะ
คำพูดเช่นนี้ เมื่อปู่ของเขาสิ้นชีพจากไปก็ยิ่งคุ้มค่า
สวี่ชิงถอนหายใจแผ่วเบา ออกจากที่นี่เงียบๆ พร้อมกับนายกอง ไปที่หอกระบี่
ระหว่างทางนายกองไม่พูดจา กระทั่งกลับมาถึงหอกระบี่ พวกเขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น นายกองตบลงบนบ่าสวี่ชิง
“อาชิงน้อย เจ้า…”
สวี่ชิงเงยหน้า ในดวงตาเผยประกายหม่น จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ไม่ชอบมาพากล!”
สายตานายกองแข็งค้าง
“ท่านอาจารย์ไม่ได้วิเคราะห์ผิดพลาด แต่เรื่องราวน่าจะไม่จบแค่นี้…มือหยกขาวนั่น ข้าเคยเห็นมาก่อน!” สวี่ชิงนึกย้อนอย่างละเอียด และยิ่งมั่นใจกับเรื่องนี้
นายกองไม่เอ่ยปาก
เขาเห็นการปรากฏตัวของมือหยกขาวทั้งเล็กทั้งใหญ่ในแดนต้องห้ามเซียนแล้ว และมือหยกขาวขนาดเล็กนั่นคือสิ่งที่อาจารย์ได้มาจากการค้นคว้าร่างทดสอบเทพเจ้า ส่วนมือหยกขาวขนาดใหญ่จะเป็นของใคร ไม่ต้องบอกก็ทราบดี
แต่เขาก็ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเขากังวลว่าจะไปกระตุ้นสวี่ชิง
สวี่ชิงก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ มองไม่เห็นสีหน้าใด
นายกองถอนหายใจ เขารู้เรื่องราวบางอย่างที่ท่านอาจารย์บอกมา ตอนนี้ถึงคาดเดาระลอกคลื่นในใจสวี่ชิงได้ จึงอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ
จวบจนสีท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่าง เห็นว่าสวี่ชิงยังเงียบนิ่ง นายกองก็กระแอมไอ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงยังไม่มาเล่า”
สวี่ชิงส่ายหัว
“ศิษย์น้องเล็ก ตาแก่จากที่ข้าเข้าใจ ข้าสงสัยว่า ตาแก่น่าจะอยู่ข้างๆ พวกเรา”
เมื่อนายกองเอ่ยประโยคนี้ออกมา สวี่ชิงก็เงยหน้าขึ้น ในแววตาก็มีระลอกคลื่นบางอย่าง
“เชื่อข้าเถอะอาชิงน้อย อาจารย์ชอบแอบมอง ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้ายังไม่ได้อยู่ที่สำนัก ประสบการณ์ข้าลึกล้ำถึงขีดสุด ข้าเดาว่าอาจารย์น่าจะไปรอเราที่หอกระบี่แล้ว หรืออาศัยวิธีการบางอย่าง สัมผัสถึงพวกเราได้”
ตอนแรกนายกองแค่เอ่ยเพื่อหาหัวข้อสนทนา ทว่าตอนนี้พูดไปพูดมา ดวงตาเขาก็เบิกกว้าง รู้สึกรางๆ ว่าที่ตนเองพูดก็เหมือนจะมีเหตุผล จึงสูดลมหายใจ พลันลุกขึ้นยืน มองไปรอบๆ
“อาจารย์ ท่านอาจารย์ออกมาเถอะ ข้าเห็นท่านแล้ว!” นายกองพุ่งไปที่มุมหนึ่ง คารวะอย่างตื่นเต้น
สวี่ชิงสงสัย อารมณ์ที่มีระลอกคลื่นอยู่บ้างก่อนหน้านี้ถูกสะกดด้วยคำพูดของนายกอง มองไปยังมุมนั้น
แต่ไม่ว่านายกองจะคารวะอย่างไร ทุกอย่างตรงนั้นก็ยังปกติ
“ฮ่าๆ ท่านอาจารย์ อันที่จริงข้ามองไม่เห็นท่านหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าที่นี่มีกลิ่นอายเพิ่มมาอีกหนึ่ง ท่านก็รู้ว่าข้าสัมผัสฉับไวมาก”
ทางที่นายกองคารวะ ก็ยังคงเป็นปกติ
สวี่ชิงประหลาดใจ ดวงตานายกองฉายประกายประหลาด หลังจากคิด เขาก็หันขวับมาหาสวี่ชิง
“ศิษย์น้องเล็ก หน้ากากที่ท่านอาจารย์ให้เจ้ายังอยู่หรือไม่”
สวี่ชิงสูดลมหายใจ คาดเดาบางอย่างได้ ล้วงหน้ากากกึ่งโปรงใสวิชาเซียนอำพรางออกมาจากถุงเก็บของ วางไว้ข้างๆ อย่างนอบน้อม ลุกขึ้นคารวะ
นายกองก็สีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดคารวะ
จากนั้นพวกเขาก็รออยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นว่าหน้ากากมีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงมองหน้ากัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ น่าจะคิดมากไปแล้ว…”
“เชื่อข้า ข้ารู้จักอาจารย์ดี”
นายกองทำหน้าตามั่นใจล้นปรี่ แต่จากเวลาที่ผ่านไป สีท้องฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนจากเช้าตรู่เป็นช่วงกลางวัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสายัณห์ หน้ากากยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร อาจารย์ก็ยังไม่มาที่นี่ พวกเขายิ่งไม่ได้รับสื่อเสียงใดๆ ด้วย
สวี่ชิงลังเล มองไปทางนายกอง
นายกองมองหน้ากาก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าคงต้องงัดไม้ตายออกมา!”
พูดจบ ในความทรงจำของสวี่ชิง นายกองกระแอมไอ เอ่ยเสียงดัง
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าจะพูดความลับอย่างหนึ่งกับเจ้า เจ้ารู้สาเหตุที่ข้ากระตือรือร้นช่วยผู้บำเพ็ญหญิงแก้ไขปัญหาเรื่องของขวัญที่มากเกินไปหรือไม่ นั่นเป็นเพราะหลายปีก่อน มีผู้อาวุโสที่เจ้ากับข้าก็รู้จักคนหนึ่ง เจ้าก็รู้ว่าเป็นใคร ข้าจะไม่พูดแล้วกัน สรุปคือ ผู้อาวุโสคนนี้ส่งของขวัญให้ผู้บำเพ็ญหญิงคนหนึ่ง หลังจากส่งเสร็จในกลางดึกนั้น เขากลับพาข้าไปเอาของขวัญที่ส่งไป…”
“หุบปาก!” นายกองยังพูดไม่ทันจบ เสียงตะคอกทุ้มต่ำที่เหมือนจะแฝงความอับอายจนกลายเป็นความกรุ่นโกรธเอาไว้ ก็ดังมาจากหน้ากากกึ่งโปร่งใสนั่น
สวี่ชิงสูดลมหายใจ นายกองรีบส่งสายตาได้ใจให้สวี่ชิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุกเข่าลงเสียงดังเบื้องหน้าหน้ากาก
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ตกใจแทบตาย ศิษย์กังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องใช้ไม้นี้ ตอนนี้เมื่อรู้ว่าท่านไม่เป็นไร ศิษย์ก็วางใจ”
“เจ้าหุบปากไปเลย ข้ากำลังเอาตัวรอด!!” นายท่านเจ็ดคำรามออกมาจากในหน้ากาก
สีหน้าสวี่ชิงจริงจังไปชั่วขณะ นายกองก็หน้าเปลี่ยนสี เก็บเสียงทันที ในใจทั้งคู่เกิดความกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เฝ้ารอเงียบๆ
ระหว่างนี้ทรมานมาก สวี่ชิงกังวลมาก หน้านายกองข้างๆ ก็ฉายแววจริงจัง เผยความโหดเหี้ยมบางส่วนออกมาเลาๆ
กระทั่งผ่านไปหนึ่งคืน ตอนที่ถึงเช้าวันถัดมา หน้ากากนั่นขยับเล็กน้อย ลอยขึ้นมาจากบนพื้น ขณะที่สวี่ชิงกับนายกองกำลังตึงเครียด ด้านในก็มีเสียงแหบพร่าของนายท่านเจ็ดลอดออกมา
“หนีรอดแล้ว แต่ก็แค่ก้างปลาท่อนเดียวเอง ถึงกับต้องค้นหาถึงเพียงนี้เชียว”
ได้ยินคำพูดนายท่านเจ็ด สวี่ชิงกับนายกองก็ถอนหายใจโล่ง
“ช่วงนี้พวกเจ้าสองคนหาเวลากลับมาที่เจ็ดเนตรโลหิตหน่อย ครั้งนี้อาจารย์ได้ประโยชน์มาไม่น้อย ก้างท่อนนั้นถ้าหล่อหลอมก็นำมาทำสมบัติล้ำค่าให้พวกเจ้าได้ทุกคน นี่เป็นก้างเทพเชียวนะ เป็นของของเทพเจ้าอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกายพิเศษอีกด้วย!
“อืม…ไม่ต้องรีบกลับมานัก ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะเปิดเผยร่องรอยจนถูกคนจับได้ เอาเช่นนี้ อีกหนึ่งเดือนให้หลังพวกเจ้าค่อยกลับมา ถึงตอนนั้นอาจารย์คงจะหล่อหลอมใกล้เสร็จแล้ว
“อีกอย่างช่วงนี้ข้าก็คงจะเบี่ยงเบนความสนใจได้ยาก ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าไปก่อเรื่อง ส่วนหน้ากากนี่ เจ้าใหญ่กลืนมันลงไปเสีย ใช้ท้องของเจ้าบดบังกลิ่นอาย!
“ทำเช่นนี้ไปก่อน ข้าจะหาที่ปิดด่านเสียหน่อย รอกลับเจ็ดเนตรโลหิตก่อนค่อยว่ากัน”
นายท่านเจ็ดพูดจบ หน้ากากนั้นร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง ไม่ขยับเขยื้อน
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ทางนั้น…” สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปทางนายกอง
นายกองยิ้ม เดินไปหยิบหน้ากากแล้วยัดเข้าไปในปาก กลืนลงไปตามการเคลื่อนไหวของลูกกระเดือก หลังจากเรอออกมา ก็ขยิบตาให้สวี่ชิง
“ตาแก่ยังกำชับเรื่องพวกนี้ กระโดดโลดเต้นได้ ก็แปลว่าไม่เป็นไร
“วางใจเถอะ เรื่องทำการใหญ่ท่านอาจารย์สู้ข้าไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องหลบหนี…ข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เชี่ยวชาญไปกว่าเขา เจ้าลองคิดดูว่ามีใครบ้างที่ศึกษาร่างทดสอบเทพเจ้าที่แฝงพลังแห่งกาลเวลาไว้แล้วยังซาบซึ้งเรื่องการพรางตัวได้อีกบ้าง”
นายกองทอดถอนใจ เขาไม่ได้โกหกสวี่ชิง เขาคิดว่าอาจารย์ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอก ตอนที่กะลังจะเอ่ยปาก แผ่นหยกก็สั่นสะเทือน
สวี่ชิงมองไปทันที หลังจากนายกองหยิบออกมาก็ตาเป็นประกาย เลียริมฝีปากด้วยสัญชาตญาณ หัวเราะฮี่ๆ ให้ทางสวี่ชิง
“อาชิงน้อย ข้าไปก่อน พี่เถาเถาหาตัวข้าอยู่”
พูดพลาง นายกองก็จากไปอย่างอดใจไม่อยู่ ตรงไปยังวังพิธีการของเมืองหลวงเขตปกครอง ระหว่างทางยังล้วงลูกท้อผลหนึ่งออกมา หลังจากคาบไว้ ก็ยกมือมองดวงตาที่งอกออกมากลางฝ่ามือ
ใช้มันแทนกระจกาส่องหน้าตาของตนเอง หลังจากแน่ใจว่ายังหล่อเหลา ดวงตานายกองก็เปล่งประกาย เร่งความเร็วขึ้นอีก
มองเงาหลังนายกอง ดวงตาสวี่ชิงก็ฉายแววอวยพร จากนั้นก็ถอนสายตากลับมา มองหอกระบี่ที่ว่างเปล่า ระลอกคลื่นใจในใจที่โหมซัดจากเรื่องเทียนประทีปก่อนหน้านี้สงบลงแล้ว
‘หนึ่งเดือนให้หลัง ตอนกลับไปเจ็ดเนตรโลหิต ต้องไปหารือกับจอมเซียนจื่อเสวียนเสียหน่อย’
หลังจากที่ในสมองสวี่ชิงมีขวดแห่งกาลเวลาผุดขึ้นมา เสียงถอนหายใจก็สะท้อนก้องในใจ ครู่ต่อมาก็หลับตาลง ขณะที่กำลังนั่งสมาธิปรับสมดุลพลังบำเพ็ญของตน แต่ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้น ล้วงขวดลูกกลอนแก่นแท้ที่ข่งเสียงหลงให้ออกมา
ด้านนอกหลุมลึกก่อนหน้านี้ ตอนที่นายกองกลืนลูกกลอนแก่นแท้ลงไป ก็มีกลิ่นอื่นที่ผสมอยู่ในกลิ่นยาแผ่ออกมาด้วย ตอนนั้นสวี่ชิงรู้สึกคุ้นเคย เหมือนว่าเคยได้กลิ่นมาจากที่ใดมาก่อน
แต่ต่อมาเมื่อบอกความจริงให้ข่งเสียงหลงรู้ ก็ไม่ได้สัมผัสต่ออย่างละเอียด
หลังจากที่สงบลง เขาจึงคิดเรื่องนี้ออก แม้จะไม่คิดมากอะไรนัก แต่นิสัยที่ระแวดระวัง เขาก็ยังเปิดขวดยาลูกกลอน วางตรงหน้าแล้วลองดม อยากยืนยันว่าเป็นยาสมุนไพรอะไร
‘มีกลิ่นสมุนไพรหลายชนิด…’ สวี่ชิงครุ่นคิด เพื่อจะค้นหากลิ่นที่คุ้นเคยนั้น ดังนั้นเมื่อดมไปหลายรอบ ก็วิเคราะห์อย่างละเอียด
ไม่นานนัก ในที่สุดสวี่ชิงก็จับกลิ่นที่คุ้นเคยออกมาจากกลิ่นมากมายในนั้นได้
กลิ่นนี้บสงเบายิ่ง หากเป็นก่อนที่จะได้รับร่างกายเทพเจ้ามา สวี่ชิงคงไม่ได้สังเกตเห็นเป็นแน่ มีเพียงการใช้กายเนื้อในตอนนี้ ถึงสามารถรับกลิ่นนี้อย่างเลือนราง
“นี่คือ…กลิ่นของดอกกุ้ยหรือ”
สวี่ชิงพึมพำ แต่พริบตาต่อมา ม่านตาเขาก็หดเล็กลงพลันก้มหน้าลง จ้องมองลูกกลอนแก่นแท้ในมือเขม็ง สีหน้าเผยความไม่อยากเชื่อ ลมหายใจถี่กระชั้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“กลิ่นดอกกุ้ย!”
สมองสวี่ชิง เหมือนมีเสียงสายอัสนีฟาดผ่ากึกก้องรางๆ เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้ดมพลาด เขาก็บีบลูกกลอนแก่นแท้นี้จนแหลก นำผงของมันมาดมที่ปลายจมูก วิเคราะห์อย่างละเอียด
กลิ่นดอกกุ้ย เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ครู่ต่อมา สวี่ชิงยังเงียบนิ่งอยู่ตรงนั้น ผงยาที่ปลายนิ้วร่วงลงมา
“นี่เป็นกลิ่นที่อยู่ในกล่องปรารถนาว่างเปล่าใบนั้น…”
ระลอกคลื่นใจสวี่ชิงโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น เขาหาต้นกำเนิดความคุ้นเคยพบ ตอนนั้นที่เขาออกไปทำภารกิจกับข่งเสียงหลง เข้าเคยถือกล่องปรารถนาว่างเปล่าใบนั้นไว้ในมือ
ตอนนั้น กลิ่นที่ฟุ้งออกมาจากในกล่องคือกลิ่นดอกกุ้ย เหมือนกับกลิ่นในลูกกลอนแก่นแท้นี้ไม่ผิดเพี้ยน!!
ส่วนลูกกลอนแก่นแท้ ช่วงหลายปีมานี้ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปและผู้บำเพ็ญในเมืองหลวงเขตปกครองเกือบทั้งหมดมีอยู่ในครอบครอง!
คนนับร้อยล้าน เคยกินมันไปแล้ว!