ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 519 วิชาเซียนเผ่ามนุษย์
บทที่ 519 วิชาเซียนเผ่ามนุษย์
“เจ้าน่ะหรือ หากยังไม่ขยัน วันหน้าเจ้าเป็นเจ้าสี่ ให้สวี่ชิงมาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า!”
นายท่านเจ็ดแค่นเสียงขึ้นจมูก
ประโยคนี้ของเขาพูดออกมาเหมือนสายอัสนีนับพันหมื่นฟาดผ่ามาในสมองนายกอง เสียงเปรี้ยงปร้างครืนครันทำให้เขาดวงตาเบิกกว้าง ลมหายใจหอบถี่ จิตใจซัดโหมบ้าคลั่ง
คิดถึงว่าหากมีวันนั้นจริงๆ…
นายกองตื่นตัว สีหน้าเคร่งขรึม
“อาจารย์วางใจ ข้าจะขยันแน่นอน ความรักชายหญิงอะไรนั่น วันหน้าข้าเฉินเอ้อร์หนิวจะตัดทิ้งทั้งหมด ข้าจะตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ขยันทำการใหญ่!”
นายท่านเจ็ดพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็มองไปทางสวี่ชิง ไม่พูดอะไร
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนตกใจออกมาทันทีพลางมองพลังสีทองกลางฝ่ามือของอาจารย์
แม้จะช้าไปเล็กน้อย แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าท่าทีเรื่องแบบนี้ต่อให้ช้า ก็ดีกว่าไม่มี
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากเห็นสีหน้าของสวี่ชิง นายท่านเจ็ดก็ยิ่งพอใจ
“เจ้าสี่ นี่คือปราณเทพ ข้าศึกษาร่างของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ทั้งยังสัมผัสรับรู้บนต้นไม้ประหลาดจำนวนมากในมณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ย้ายเข้ามาในร่าง
“ต้องพูดเลยว่าวิชาที่องค์กรเทียนประทีปถือครองช่างชวนให้ตื่นตะลึงจริงๆ
“เทพเจ้าที่ว่าก็แค่ตัวตนที่ต่างออกไปจากขั้นผู้บำเพ็ญอย่างพวกเราประเภทหนึ่งก็เท่านั้น เพียงแต่พวกองค์ท่านระดับสูงกว่า แข็งแกร่งกว่าก็เท่านั้น!
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกแทนที่ ข้ากระทั่งมีการคาดเดาที่เหิมเกริมหนึ่ง แต่ว่ากำลังหาตำราโบราณที่หายไปนั่นเพื่อทำการพิสูจน์
“น่าเสียดาย ในห้วงเวลาหลายศักราชมานี้ ตำราโบราณส่วนใหญ่หายสาบสูญ มีเพียงฝากความหวังไว้ในกล่องปรารถนาที่กระจายไปในฟ้าดินว่าจะมีบันทึกเล็กๆ น้อยๆ บ้าง
“รอเมื่อข้าพิสูจน์ได้แล้วจะบอกพวกเจ้า”
นายท่านเจ็ดเอ่ยเรียบนิ่ง ท่าทางลึกล้ำเกินหยั่ง
สวี่ชิงตื่นเต้น เขาเคารพเลื่อมใสอาจารย์เป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ยิ่งเป็นเช่นนั้น ก้มศีรษะโค้งคารวะ
นายกองก็รีบทำบ้างเช่นกัน
เห็นศิษย์สองคนล้วนว่าง่ายเชื่อฟัง นายท่านเจ็ดชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไปเถอะ พวกเราไปข้างหน้าต่อ ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ดีๆ แต่ก่อนข้าเคยไปพระราชนิเวศน์ฟ้าทมิฬ รู้ว่าพระราชนิเวศน์ทุกแห่งล้วนมีสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง”
นายท่านเจ็ดพูดพลางเดินไปข้างหน้า
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ท่ามกลางการเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่หยุดของทั้งสามคน ก็ค่อยๆ ลึกเข้าไปในหมู่วังตำหนัก
เพียงแต่พื้นที่หมู่วังตำหนักกว้างใหญ่มาก ต่อให้เดินมาไกลขนาดนี้แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ที่เขตตะวันออกของที่นี่ ห่างจากพื้นที่ใจกลางของเขตตะวันออกยังเป็นระยะทางอีกไม่น้อยเลย
แต่สถานที่เป้าหมายที่นายท่านเจ็ดบอกก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว
ที่นี่เป็นวังที่ค่อนข้างพิเศษแห่งหนึ่ง
บนนั้นแม้จะเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ แต่รูปร่างภายนอกที่เลือดเนื้อเหล่านี้จับกลุ่มกันเป็นใบหน้าที่แฝงด้วยความเจ็บปวด
ใบหน้านี้มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แล้วก็ไม่มีผมด้วย เป็นสีม่วงแดงทั้งดวง เส้นเลือดเต็มไปหมด ขณะที่แผ่ไอพลังประหลาดเข้มข้นก็แผ่พลังที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ
สิ่งมีชีวิตที่เห็นมันทั้งหมดล้วนไม่อาจควบคุมความบิดเบี้ยวเป็นระลอกๆ ที่เกิดขึ้นในใจได้
ทำให้ส่งผลกระทบถึงจิต ทำให้คนคลุ้มคลั่ง
ต่อให้เป็นนายกองที่พลังไม่ธรรมดา เสี้ยวขณะนี้ก็ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย หายใจหอบถี่ ตัวมีปากปรากฏขึ้นมามากมาย เคลื่อนไปไม่หยุด แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงยังพอไหว
นิ้วเทพเจ้าเป็นหนึ่งในร่างแยกของเทพเจ้าที่หลับใหลที่นี่ ร่างที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อเทพเจ้าโดยเฉพาะสามารถทำให้สวี่ชิงสามารถดูดซับไอพลังประหลาดที่นี่มาสร้างเป็นปราณเทพ เช่นนั้นก็ย่อมสามารถเมินซึ่งพลังของที่นี่ได้
“นี่คือพื้นที่แห่งวาสนาแห่งหนึ่ง อีกเดี๋ยวพวกเจ้าเข้าไปก็จะรู้”
นายท่านเจ็ดพูดแล้วทั่วทั้งร่างก็แผ่ประกายแสงสีทอง คนทั้งคนในเสี้ยวขณะนี้ทำให้คนรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่ง ทว่ากลับไม่มีพลังใดๆ แผ่ออกมา เหมือนว่าเก็บซ่อนเอาไว้ในระดับสูงสุด
ต่อให้ตาเนื้อมองไปก็รางเลือน กระทั่งว่าไม่สามารถจำเงาร่างของทันไว้ในสมองได้
ภาพนี้ทำให้นายกองและสวี่ชิงในใจเกิดระลอกคลื่นอีกครั้ง
ส่วนสวี่ชิงเคยเห็นเทพเจ้ามาบ้าง ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่านี่เป็นพลังประเภทเทพเจ้าบางส่วน ไม่สามารถจดจำได้ นับเป็นการเก็บซ่อนขั้นสูงสุด
“อาจารย์ท่าน…” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ความจริงสร้างแรงกระเพื่อมให้เขาได้มากกว่าความตายของอสูรกลายพันธุ์ระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก
“ปราณเทพที่ข้าศึกษาได้มามีพลังของกาลเวลาและมีพลังการซ่อนเร้น”
นายท่านเจ็ดเดินอยู่ข้างหน้า เอ่ยเสียงสงบนิ่งดังมา
และจากการที่เขาเข้าใกล้ตำหนักใหญ่ข้างหน้า ใบหน้าเลือดเนื้อก็ยิ่งบิดเบี้ยว เหมือนว่ามีชีวิตขึ้นมา ในขณะที่ความเจ็บปวดยิ่งดูชัดเจน ก็แก่ชราลงไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เวลาเพียงพริบตาก็เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น
แต่เห็นได้ชัดว่าใบหน้าบนตำหนักใหญ่ไม่เหมือนกับอสูรกลายพันธุ์และสิ่งประหลาดที่สวี่ชิงได้เจอก่อนหน้านี้ ใบหน้าดวงนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่า ตอนนี้จึงพยายามต่อต้าน
แต่ภายใต้การเคลื่อนหน้าไปของอาจารย์ การต้านทานนี้อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แก่ลงเร็วยิ่งขึ้น กระทั่งว่าบริเวณริมขอบก็เริ่มสลายไป
เห็นเป็นเช่นนี้ระลอกคลื่นในใจสวี่ชิงยิ่งลูกใหญ่ขึ้น นายกองขยี้ตารุนแรง แล้วพลันส่งสื่อเสียงหาสวี่ชิง
“อาชิงน้อย เจ้าว่าอาจารย์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พวกเรายังต้องพยายามอะไรอีก อยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอ้าปากรออาหารมาป้อนดีจะตาย ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าปลอดภัยสุดๆ ไปเลย…”
ไม่รอให้สวี่ชิงตอบ ข้างหน้าก็มีเสียงนายท่านเจ็ดแค่นจมูกดังมา
“ปลอดภัยบ้านเจ้าสิ หากปลอดภัยจริงๆ ข้ายังต้องอาศัยตัวตนนี้แอบแฝงตัวเข้ามาหรือ คงเดินกร่างไปตั้งนานแล้ว องค์ชายเจ็ดคนนี้ไม่ธรรมดา ขุนพลใต้บัญชาการเขาทุกคนล้วนไม่ธรรมดา อีกทั้งเสี่ยเหยี่ยนคนนั้นแค่เริ่มก็เหมือนว่าจะค้นพบข้าแล้ว!
“นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสได้ว่าที่นี่มีกลิ่นอายอย่างอื่นภายนอกเข้ามา การมาครั้งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเรากลุ่มนี้แล้ว
“ดังนั้นทำการใหญ่ครั้งนี้เสร็จข้าจะหาสถานที่ให้เจ้าซ่อนตัวหนีภัย พวกเจ้าสองคนเป็นระดับวังสวรรค์ตัวเล็กๆ กลับกล้าวางแผนชิงเทพเจ้า ช่างกล้าหาญเหิมเกริมนัก เรื่องนี้ลงมือเสร็จ พวกเจ้าหาโอกาสไปจากเขตปกครองหลวง กลับไปสำนักเจ็ดเนตรโลหิตรอข้า”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด นายกองได้ยินก็คว้าโอกาส เอ่ยประจบประแจง
“อาจารย์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก เพราะพวกเรามีท่านอาจารย์ถึงได้กล้าวางแผนเช่นนี้หรอกขอรับ”
“วันๆ รู้จักแต่ประจบสอพลอ!” นายท่านเจ็ดเคลื่อนไปข้างหน้าพลางเอ่ยราบเรียบ
นายกองได้ยินคำพูดนี้ไม่มีความรู้สึกว่าถูกตำหนิแม้แต่น้อย กลับยิ่งได้ใจเป็นอย่างยิ่ง
และในตอนนี้ จากการเดินไปของนายท่านเจ็ด การดิ้นรนและความบิดเบี้ยวของใบหน้าเลือดเนื้อนั่นยิ่งรุนแรง
จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในยามที่นายท่านเจ็ดเดินมาข้างหน้าใบหน้าเลือดเนื้อดวงนี้ หมอกผืนหนึ่งหอบม้วนมา ใบหน้ามหึมาส่งเสียงคำรามไม่ยอมจำนน แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีข้างหน้าคนทั้งสาม เผยให้เห็นศาลเจ้าสีแดงที่ถูกฝังอยู่ในนั้น
ศาลเจ้านี้แผ่กลิ่นอายโบราณ ประตูปิดสนิท ในนั้นเงียบสงัด
สีบนนั้นในขณะที่แฝงด้วยความเย็นยะเยือกน่าขนลุกแต่ก็ยังมีความรู้สึกมีชีวิตชีวา
เหมือนว่าในสีเลือดแถบนี้ไม่ใช่เลือดสดๆ แต่เป็นสุราเลิศรส
ความรู้สึกขัดแย้งนี้กระตุ้นสัญชาตญาณของชีวิต ท้องของสวี่ชิงส่งเสียงจ๊อกๆ มา เกิดความรู้สึกหิว ส่วนนายกองตาจ้องเขม็ง น้ำลายไหลแล้ว
“พวกเจ้าถอยไปหน่อย” นายท่านเจ็ดเอ่ยเนิบนาบ
สวี่ชิงถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เห็นนายกองท่ามกลางการขับเคลื่อนไปตามสัญชาตญาณถอยไปช้าเล็กน้อย สวี่ชิงจึงลากเขาถอยไปร้อยจั้ง นายท่านเจ็ดเดินมาข้างหน้าประตูศาลเจ้าสีแดง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย มือขวายกขึ้นแตะลงไปเบาๆ
เสียงบึ้มดังขึ้น ประตูศาลเจ้าสีแดงเปิดออก
ประกายสีแดงไหลทะลักออกมาจากในนั้น แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ามายาขนาดมหึมา กลืนกินมาทางนายท่านเจ็ด
นายท่านเจ็ดแค่นเสียงหึ ทั้งร่างแสงทองกะพริบวูบวาบ มือขวายกขึ้นกดไปข้างหน้า ทันใดนั้นใบหน้ามายาดวงนั้นชะงักไปข้างหน้าเขา สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อสีเลือดนับไม่ถ้วนกระจายมา
ทุกที่ที่ผีเสื้อสีเลือดเหล่านี้พาดผ่าน ไม่ว่าจะที่ได้มิติล้วนถูกกัดกร่อน กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้สวี่ชิงและนายกองต่างตกตะลึง
“ได้แล้ว” นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงสงบนิ่ง เดินไปในศาลเจ้า
สวี่ชิงและนายกองรีบวิ่งมา หลังจากย่างก้าวเข้าไปในศาลเจ้า ก็เห็นโถงตำหนักเขย่าขวัญสั่นสะท้านจิตใจแห่งหนึ่ง
ในศาลเจ้าเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่โอ่อา
ตรงกลางเป็นรูปสลักยิ่งใหญ่รูปหนึ่ง ไม่ใช่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยว แต่เป็นตัวตนที่ไม่คุ้นเคย เหมือนจะไม่ได้จดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์รุ่นหลัง
เขาสวมชุดนักพรตสีเลือด ยืนอยู่ตรงนั้น มือทั้งสองยกขึ้นเหมือนจะโอบศาลเจ้าทั้งศาลเอาไว้
และรอบๆ เขา ในกำแพงศาลเจ้าแห่งนี้มีใบหน้าเหมือนหน้ากากเป็นร้อยเป็นพัน
ใบหน้าเหล่านี้ขนาดไม่แตกต่างกันซักเท่าไร ในนั้นมีคนแก่มีเด็ก มีชายมีหญิง สีหน้ามีความสุข โกรธ เศร้า ดีใจ มีอยู่ไปทั่วทุกแห่ง
พวกมันถูกแขวนอยู่บนกำแพง วนล้อมอยู่รอบๆ อีกทั้งเมื่อมองไปอย่างละเอียดก็จะพบว่าใบหน้าเหล่านี้ความจริงแล้วเป็นหนังมนุษย์มากมาย
หน้ากากหนังมนุษย์จำนวนมหาศาล บรรยากาศที่เกิดขึ้นย่อมแปลกประหลาดสุดขีด ตอนนี้จากการมาถึงของพวกสวี่ชิงสามคน หน้ากากหนังมนุษย์เหล่านี้ต่างมองมาทางพวกเขาพร้อมกัน รูโบ๋ที่ตำแหน่งดวงตาแผ่ประกายแสงเย็นเยือก
สวี่ชิงหวั่นไหว นายกองสูดลมหายใจ
“ที่นี่ชื่อว่าตำหนักวิชาเซียน ในพระราชนิเวศน์ฟ้าทมิฬทุกแห่งล้วนมีตำหนักวิชาเซียนแบบนี้ ในนั้นเก็บซ่อนเคล็ดวิชาเซียนพิเศษในตอนนั้นไว้จำนวนมาก”
นายท่านเจ็ดสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยราบเรียบ
“ความจริงแล้วเคล็ดวิชาเซียนไม่ได้งดงามเหมือนกับที่พวกเจ้าจินตนาการ มันไม่ได้โดดเด่นเลิศหรู แต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว
“หน้ากากหนังมนุษย์ทุกดวงที่นี่ล้วนเป็นวิชาเซียนวิชาหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องสัมผัสรับรู้ ไม่จำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญ แค่วางใบบนใบหน้าก็สามารถใช้ได้
“วิธีเช่นนี้ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนในระดับหนึ่ง ทุกอันที่สำแดงวิชาเซียนล้วนดูดเอาพลังชีวิตไป เมื่อสวมหน้ากากหนังมนุษย์นี้ไปที่ใบหน้า ทุกครั้งที่ขยับก็จะยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ จวบจนสุดท้ายไม่อาจถอดออกได้ เลือดเนื้อชีวิตทั้งร่างถูกดูดซับไปในนั้น จากนั้น…ก็แปรเปลี่ยนเป็นหน้ากากหนังหน้ามนุษย์ดวงใหม่”
นายท่านเจ็ดน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ความหมายที่อยู่ในนั้นทำให้สวี่ชิงจิตใจเกิดคลื่นซัดโหม มีความรู้เกี่ยวกับวิชาเซียนมากยิ่งขึ้น
ส่วนนายกองเหมือนว่าจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง จึงไม่ได้ประหลาดใจ มีเพียงสีหน้าเผยความซับซ้อนออกมากลุ่มหนึ่ง แต่ไม่นานก็เก็บซ่อนลงไป
“พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเกินไป โดยรวมแล้ว พลังวิชาเซียนล้วนไม่ธรรมดา แฝงไว้ด้วยวิถีที่ลึกล้ำเกินหยั่งต่างๆ นานา ดังนั้นใช้อย่างสมเหตุสมผลก็จะมีประโยชน์กับพวกเจ้า นอกจากนี้ทุกคนในตำหนักวิชาเซียนจะหยิบหน้ากากวิชาเซียนได้เพียงอันเดียวเท่านั้น มากเกินนั้นจะถูกสาป หลังจากเอาไปจากที่นี่ ไปตำหนักวิชาเซียนที่พระราชนิเวศน์ที่อื่นก็ไม่สามารถเอาไปได้อีก”
นายท่านเจ็ดพูดจบก็เงยหน้ามองรูปสลักในศาลเจ้า ในน้ำเสียงสงบนิ่งมีความทอดถอนใจเพิ่มมากขึ้น
“ส่วนรูปสลักนี้ นี่เป็นมหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ที่ถูกประวัติศาสตร์เลือกที่จะลืม ชั่วชีวิตเขาสร้างวิชาเซียนมากมาย
“ข้าตามร่องรอยตำราโบราณบางอย่างถึงได้รู้ว่ามีตัวตนเช่นนี้อยู่ บางทีเพื่อทำให้เผ่ามนุษย์งดงาม ทำวิชาเซียนให้งดงาม หลังจากจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวรวบรวมเป็นหนึ่งเดียว เขาก็ถูกแอบซ่อนไปในประวัติศาสตร์
“ส่วนวิชาเซียนก็ถูกเก็บซ่อนไว้ในพระราชนิเวศน์ทั้งสามสิบหกแห่ง ถูกเปลี่ยนเป็นวิชาต้องห้าม ไม่เผยแพร่ข้างนอกอีก แต่ว่าตำราโบราณบันทึกไว้ ในยุคนั้น เคล็ดวิชาเซียนที่มหาจักรพรรดิผู้นี้สร้างขึ้นสร้างคุณูปการให้กับเผ่ามนุษย์ ช่วยรัฐเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วน
“การผงาดขึ้นไม่ว่าของเผ่าใดล้วนมีสว่างมีมืดมิด นี่เป็นเรื่องปกติ”
นายท่านเจ็ดพูดจบ สายตามองไปทางลูกศิษย์ทั้งสอง โดยเฉพาะสายตาที่มองทางสวี่ชิงมีความหมายแฝง