ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 515 ตะเกียงแห่งชีวิตกระบี่หัก!
บทที่ 515 ตะเกียงแห่งชีวิตกระบี่หัก!
สวี่ชิงสุดท้ายแล้วก็ให้ลูกกลอนแก้พิษนายกองไปจำนวนมาก ทำให้เขาแก้พิษในร่างได้อย่างราบรื่น
จากนั้นนายกองก็หยิบลูกท้อลูกหนึ่งออกมาหน้าระรื่น แทะไปพลางตบไหล่สวี่ชิง
“เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องกังวลแล้ว มีอาจารย์อยู่ เขามีประสบการณ์ความรู้กว้างขวางกว่าพวกเรามาก การควบคุมความพอเหมาะพอดีก็ทำได้ดียิ่งกว่า พวกเรารอรับผลประโยชน์ก็ได้แล้ว
“จริงสิ อาชิงน้อย เจ้าช่วยบอกเหล่าข่งให้ช่วยอะไรข้าหน่อย วันนี้ข้าจะพาสหายสนิทไปหาเขาที่นั่น”
“ท่านไปหาพี่ข่งยังต้องให้ข้าติดต่อบอกด้วยหรือ ท่านพาใครไป” สวี่ชิงมองลูกท้อที่ริมฝีปากนายกอง คล้ายครุ่นคิด
นายกองกระแอมทีหนึ่ง หลังจากมองซ้ายมองขวา ก็เอ่ยเสียงต่ำ
“เมื่อวานข้าไปมาแล้ว…เจ้าเหล่าข่งนั่นใจคอคับแคบ เสียแรงที่ตอนนั้นข้าช่วยเขาแบกซานเหอจื่อกลับมา เชอะๆ เขาจะต้องอิจฉาที่ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเรื่องนี้แน่นอน จึงไม่ชอบข้า เฮ้อ ข้าก็น้อยใจเหมือนกัน เขามีความสามารถก็ไปหาท่านอาจารย์ของเรา มีความสามารถก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์สิ
“ส่วนพาใครไป จะมีใครไปได้ แน่นอนว่าเป็นเถาเถาอวบอิ่มสุดที่รักของข้าอยู่แล้ว” นายกองทำท่าเหมือนเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความได้ใจ
“พวกท่านรู้จักกันแล้วหรือ” สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง
“แน่นอน หลายวันนี้หลังจากที่ข้าได้เห็นเถาเถาโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่านางอยู่ข้างนอกจวนตระกูลเหยา รูปร่างนั่นใหญ่บึ้ม…แฮ่ม สีหน้านั่นเต็มไปด้วยกลัดกลุ้ม ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความเศร้า อาชิงน้อย ตอนนั้นใจข้าเจ็บปวดนัก จึงไปปลอบโยนสักหน่อย บอกนางว่าข้ามีวิธีพานางไปพบคนตระกูลเหยา”
นายกองพูดจบก็มองสวี่ชิงตาละห้อย ออกแรงกัดลูกท้อหนึ่งคำ
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าคุยโวไปแล้ว…นี่เกี่ยวพันกับงานวิวาห์เรื่องใหญ่ในชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าเชียวนะ”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาสื่อเสียงหาข่งเสียงหลง จากนั้นก็พยักหน้าให้นายกองด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
นายกองตื่นเต้น หัวเราะร่า เหาะเหินจากไปไกลอย่างอดใจไม่ไหว
มองเงาร่างนายกองค่อยๆ หายลับไปในที่ไกล อารมณ์ที่เกิดจากการสะสมของเรื่องราวต่างๆ ในสนามรบในใจสวี่ชิงก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมา
สวี่ชิงพึมพำ หลับตาทั้งสองข้าง ในตอนที่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา ประกายในดวงตาของเขาสงบนิ่งเหมือนแต่ก่อน เดินออกมาจากหอกระบี่ ไปยังวังครองกระบี่
เขาเตรียมจะแลกตะเกียงแห่งชีวิตดวงหนึ่ง
ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว วิธียกระดับพลังบำเพ็ญและกำลังรบที่เร็วที่สุดก็คือตะเกียงแห่งชีวิต
‘ตอนนี้ข้าพลังบำเพ็ญระดับสิบวังสวรรค์ ในนั้นมีเจ็ดวังที่ได้จากการฝึกบำเพ็ญ สามวังได้จากตะเกียงแห่งชีวิต
‘ตะเกียงแห่งชีวิตสำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว จะใช้จำนวนไฟชีวิตเป็นรากฐาน ในอดีตข้ามีไฟชีวิตห้าดวง เช่นนั้นตะเกียงแห่งชีวิตมากที่สุดก็สามารถผสานได้ห้าดวง”
ท่ามกลางการขบคิด สวี่ชิงมาถึงตำหนักเก็บสมบัติวังครองกระบี่
ตำหนักนี้เอาไว้แลกแต้มกองทัพโดยเฉพาะ เพราะการแจกจ่ายคุณงามความชอบในสงครามก่อนหน้านี้ ดังนั้น ผู้ครองกระบี่ที่มีชีวิตรอดกลับมาส่วนใหญ่ล้วนมาแลกของที่ต้องการที่นี่ ในตอนที่สวี่ชิงมาถึงที่นี่ก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยดีในสนามรบหลายดวง
แล้วยังมีทหารที่มาจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิจำนวนหนึ่งด้วย แม้พวกเขาจะไม่ใช่ผู้ครองกระบี่ แต่ก็มีสิทธิ์แลกของที่สามวัง เพียงแต่ในด้านอัตราส่วนลดน้อยลงเล็กน้อย
รายละเอียดนี้เป็นนโยบายที่เกิดขึ้นในตอนสุดท้ายที่พวกรองเจ้าวังถวายฎีกาองค์ชายเจ็ด
และตำหนักเก็บสมบัติวังครองกระบี่ไม่ได้รับผิดชอบการแลกของอย่างเดียวเท่านั้น ยังรับผิดชอบรับแลกสินสงครามด้วยด้วย ผู้ครองกระบี่สามารถส่งสินสงครามของตัวเองมาแลกแต้มกองทัพได้ด้วย
นี่เกิดเป็นวงจรขึ้น ในนั้นไม่ได้มีแค่เศษชิ้นส่วนม้วนเอกสารลึกลับ ยังมีเคล็ดวิชาราคาสูงอีกทั้งอาวุธเวทแข็งแกร่ง ส่วนตะเกียงแห่งชีวิต…เคยมีสองดวง!
ตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงนี้ไม่มีระดับสูงต่ำดีเลวให้แบ่งแยก เพียงแต่กำลังที่มีแตกต่างกันก็เท่านั้น ดวงหนึ่งในนั้นมีคนแลกเอาไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงดวงนี้เท่านั้น
การแลกไม่ได้ใช้แค่แต้มกองทัพ ยังใช้แต้มความชอบระดับสองด้วย ด้วยแต้มที่สวี่ชิงมีในตอนนี้ก็แลกได้แค่ดวงเดียวเท่านั้น
สวี่ชิงเงียบนิ่งอยู่นาน ทำการแลกมัน ระมัดระวังตลอดทางจวบจนกลับถึงหอกระบี่ก็ไม่พบเจออุปสรรคการเปลี่ยนแปลงอะไร และไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
นี่ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ข่งเสียงหลงพูดเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้เกี่ยวกับองค์ชายเจ็ดกำลังจัดระเบียบกฎระเบียบกองทัพ
ความจริงไม่ว่าจะเป็นการแลกผลมรรคาเป็นแต้มกองทัพหลังจากที่กลับมา หรือเรื่องเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัวอื่นๆ จะเป็นสวี่ชิงหรือข่งเสียงหลง ผู้ครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรในอดีตล้วนไม่เกิดการตั้งใจกลั่นแกล้ง และไม่เกิดการแย่งชิงอย่างชั่วร้ายอะไรขึ้น
ไม่ว่าจะแลกอะไร หรือจะขายอะไร ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัว วังครองกระบี่ในอดีตไม่ละโมบอยากได้ ในอนาคตก็ไม่มีทางละโมบอยากได้
โดยเฉพาะผู้แลกแต้มเหล่านี้ ทุกคนล้วนมีคุณงามความดี ความชอบที่ใช้เลือดแลกมาในสนามรบ เอาไปแลกวัตถุฝึกบำเพ็ญ หากสุดท้ายถูกคนจับจ้องอยากได้ เลือดหลั่งรินทั้งยังต้องหลั่งน้ำตา เรื่องแบบนี้จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
นี่คือคำพูดขององค์ชายเจ็ด
‘ให้บุญคุณทั้งใช้อำนาจศักดา องค์ชายเจ็ดคนนี้ร้ายกาจนัก เดิมก็ไม่แยแสผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้’
ข่งเสียงหลงตอนนั้น ในตอนที่พูดคำพูดนี้ออกมา สีหน้าแฝงด้วยความซับซ้อน
สวี่ชิงนึกย้อนเรื่องราวแต่ละเรื่องๆ หลังจากที่องค์ชายเจ็ดคนนี้มา ในใจก็สะท้อนใจเช่นกัน
มองจากมุมของตัวเอง เขาไม่ชอบองค์ชายคนนี้ แต่หากมองจากมุมมองของเผ่า ผลลัพธ์สุดท้ายที่อีกฝ่ายทำล้วนมีประโยชน์ต่อเผ่า
ถูกผิด คุณงามความชอบ ข้อผิดพลาด แต่ละคนล้วนมีมุมมองไม่เหมือนกัน
สวี่ชิงส่ายหน้า เก็บความคิดพวกนี้ลงไป อยู่ในหอกระบี่ของตัวเองหยิบเอาตะเกียงแห่งชีวิตออกมา
นั่นเป็นกระบี่หักสีดำเล่มหนึ่ง
กลิ่นอายแหลมคมที่แผ่ออกมาบนนั้นแฝงด้วยรังสีอำมหิตน่าพรั่นพรึง เห็นได้ชัดว่าสายเลือดที่สร้างตะเกียงแห่งชีวิตดวงนี้มาจากผู้ที่สังหารฆ่าฟันมานับไม่ถ้วน ดังนั้นตะเกียงแห่งชีวิตที่แปรเปลี่ยนมาจากสายเลือดถึงได้มีจิตสังหารเช่นนี้ อีกทั้งรูปร่างก็ต่างไปจากตะเกียงแห่งชีวิตดวงอื่นๆ
และจุดที่แตกต่างของการแลกแต้มที่วังครองกระบี่กับแย่งชิงจากข้างนอกเพียงลำพังก็คือจะมีบันทึกที่มาที่ไปของตะเกียงดวงนี้
ในตอนที่สวี่ชิงแลกก็มีแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลของตะเกียงดวงนี้แผ่นหนึ่ง ส่งมาให้สวี่ชิงพร้อมกัน
‘ตะเกียงดวงนี้ชื่อว่าสังหารเซียนกัดกินเทพ ต้นกำเนิดสายเลือดคือผู้บัญชาการสวรรค์ที่เก้าเผ่ามนุษย์ในศักราชเสวียนโยว แต่ไม่ใช่ตะเกียงของตัวผู้บัญชาการสวรรค์เอง แต่เป็นผู้สืบสายเลือดของเขาในยุคจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่ง แยกออกมาจากขุนพลใหญ่คนหนึ่งหลังรบตาย
‘ฆ่าล้างสังหารเป็นหลัก ทำลายหมื่นกฎเกณฑ์ ดื่มเลือดแล้วจึงกลับมา
‘ในนั้นสงสัยว่ามีความคิดชั่วร้ายครอบงำอยู่ ก่อนหน้านี้มีคนมากมายผสานไปในร่าง สติสัมปชัญญะค่อยๆ เปลี่ยนมาบ้าคลั่งชอบสังหาร ดังนั้น ผู้ไม่ชื่นชอบการสังหาร จงระวังให้มาก’
สวี่ชิงรับรู้เนื้อหาในแผ่นหยกครู่หนึ่ง ก็มองไปยังกระบี่หักสีดำที่อยู่ข้างหน้า หลังคิดๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่สนว่าจะได้ผลหรือไม่ ตอนนั้นที่สะกดเจ้าเงาก็เหมือนกัน โคจรผลึกวารีสีม่วงในร่าง ทำการสะกดมัน
หลังจากสะกดไปหลายร้อยครั้งติดๆ สวี่ชิงใจถึงได้สงบมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย
เจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพนี้ก็เนื้อตัวสั่นสะท้าน
สวี่ชิงไม่มองมัน ถือกระบี่หักสีดำขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากคิดๆ มือขวาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นพรางมารยา เมื่อเปลี่ยนมาเป็นกึ่งโปร่งแสงก็ปกคลุมไปที่กระบี่หักเล่มนี้ แล้วล้วงเข้าไปในหน้าอกของตัวเอง เข้าไปในทะเลความรู้สึก เข้าไปใกล้ติงหนึ่งสามสอง
หยุดอยู่ที่ตรงนั้น จากนั้นก็ส่งเข้าไปในติงหนึ่งสามสองทันที
แม้นิ้วเทพเจ้าจะเก็บพลังหลับใหล แต่สวี่ชิงก็ยังส่งกระบี่เล่มนี้ไปไว้ข้างหน้ามัน แตะๆ นิ้วไปสามสี่ที สวี่ชิงก็วางใจไปได้อีกมาก
การสะกดก่อนหน้านี้เพื่อทำการชำระล้าง ขณะเดียวกันหากชำระล้างได้ไม่สมบูรณ์ เช่นนั้นทางนิ้วเทพเจ้าก็จะเตือน
เตือนความคิดชั่วร้ายที่หากมีในกระบี่หักเล่มนี้ ให้เชื่อฟังว่าง่าย
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ สวี่ชิงก็คิดๆ แล้วโคจรอสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ หลังจากปรากฏในร่างก็กลืนกระบี่หักลงไป ดังนั้นแก่นวิถีสวรรค์ในร่างอสูรสมุทรบรรพกาลได้รับการหลอมอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็วางผลึกวารีสีม่วงไว้ข้างตัว เหมือนกำลังป้อนอาหาร ยื่นมาที่ปาก
หลังจากทำทุกอย่างพวกนี้แล้ว สวี่ชิงก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า เขาเหมือนได้ยินเสียงร้องโหยหวนแว่วๆ
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ไม่สนใจ ตอนนี้เขาวางใจแล้วโดยสมบูรณ์ ผสานกระบี่หักสีดำไปในร่างกายจริงๆ
เสี้ยวขณะต่อมา บนหมอกแห่งชะตาในทะเลความรู้สึกของเขา ทะเลหมอกส่งเสียงเลื่อนลั่น สายฟ้าแลบแปลบปลาบ วังสวรรค์โบราณทรงกระบี่วังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในนั้นทันที
เปลี่ยนเป็นวัตถุจริงอย่างรวดเร็ว ขั้นตอนทั้งหมดก็แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น วังสวรรค์แห่งนี้ก็สำเร็จสมบูรณ์
นี่เป็นวังสวรรค์วังที่สิบเอ็ดในร่างสวี่ชิง
ตอนนี้ในเสี้ยวพริบตาที่เกิดขึ้น ระลอกคลื่นพลังแข็งแกร่งก็พลันปะทุมาจากในร่างสวี่ชิง ขณะเดียวกับที่กระจายไปทั้งหอกระบี่ กลิ่นอายในตัวเขาก็เฉียบคมขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อย เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่คมที่ชักออกจากฝัก รังสีอำมหิตเข้มข้นขึ้นคล้ายว่าจะฟาดฟันนภาทำลายล้างปฐพี
หากมีผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดในนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสกับระลอกคลื่นพลังของสวี่ชิงก็จะต้องสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาอ้าปากค้างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ที่สวี่ชิงเป็นระดับสิบวังสวรรค์ก็มากพอจะทำให้รู้สึกครั่นคร้ามแล้ว และในตอนนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ในเมื่อวัตถุที่สะกดในวังสวรรค์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการจับกลุ่มของความแตกต่างนี้ก็ทำให้ระหว่างแก่นลมปราณวังสวรรค์ด้วยกันนอกจากระดับขั้นจะต่างกัน ก็ยังมีความห่างชั้นกันอย่างมหาศาลอีกประเภทหนึ่ง
และอย่างสวี่ชิงผู้บำเพ็ญวังสรรค์ที่มีทั้งจำนวนและคุณภาพเช่นนี้ กวาดตามองไปทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์พูดไม่ได้ว่าไม่มี แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังชะตามหาศาล ล้วนแต่เป็นผู้ยอดเยี่ยมในเผ่า ส่วนใหญ่ล้วนมีชื่อเลื่องลือในเผ่า
“ตะเกียงแห่งชีวิตดวงสุดท้ายจะได้มาหรือไม่ยังไม่ขบคิด ตอนนี้ข้าห่างจากระดับบริบูรณ์อีกไม่เท่าไรแล้ว!”
หลังจากสวี่ชิงสัมผัสกลิ่นอายของตัวเองก็พึมพำเสียงต่ำ
ในทะเลความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่ได้มีเพียงวังสวรรค์ที่สมบูรณ์แล้วสิบเอ็ดวังเท่านั้น ยังมีอีกวังหนึ่งที่อยู่ในขั้นแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริง อีกทั้งยังสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง
‘หวังว่าการเดินทางไปแดนต้องห้ามเซียนครั้งนี้จะช่วยให้ข้าสร้างวังสุดท้ายที่นอกจากตะเกียงแห่งชีวิตให้สำเร็จได้!’
สายตาของสวี่ชิงฉายประกายแวววาว หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หลับตาลง หล่อเลี้ยงวังสวรรค์ที่แปรเปลี่ยนมาจากตะเกียงแห่งชีวิต
เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง
วันที่แดนต้องห้ามเซียนเปิดมาถึงแล้ว
จากการสั่นไหวของกระบี่อาญาสิทธิ์ สวี่ชิงลืมตาขึ้นจากสมาธิ สายตาฉายประกายเฉียบคม แล้วค่อยๆ เก็บลงไป จวบจนเมื่อเปลี่ยนมาไร้ระลอกคลื่นดุจบ่อโบราณแล้ว เขาก็ลุกขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เดินออกไปจากหอกระบี่ เห็นข่งเสียงหลงที่รอเขาอยู่ข้างนอก
สายตาของทั้งสองประสายกัน เดินไปยังที่ตั้งเดิมของกรมราชทัณฑ์
ในนั้นถูกขุดเป็นหลุมลึกขนาดมหึมาหลุมหนึ่ง ในยามที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นแผ่ออกมา เสียงผีร่ำไห้หมาป่าหอนโหยหวนก็ดังออกมาจากหลุมลึก
เหมือนสรรพชีวิตกำลังร่ำไห้ สรรพวิญญาณคำราม ดังก้องมาในหู สั่นคลอนจิตใจ
หากเป็นผู้ที่นิสัยขี้ขลาด เหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องคำรามที่มาจากหลุมลึกนี้ ความขลาดกลัวจะต้องพุ่งเพิ่มอีกเท่าทบทวีแน่นอน ไม่กล้าเข้าใกล้ไปตามสัญชาตญาณ
แม้จะมีบางคนที่แขนขายังไม่ฟื้นฟูสมบูรณ์ บางคนบาดแผลยังไม่หายสนิทดี แต่พรสวรรค์ของตัวเองไม่ธรรมดา ทั้งยังผ่านการชำระล้างจากไฟสงคราม ดังนั้นคนที่เดินออกมาจากการหล่อหลอมในนรกประเภทนี้…
พวกเขาทุกคนล้วนรังสีอำมหิตท่วมฟ้า จิตสังหารมหาศาล
พวกเขาล้วนเห็นความเป็นตายมากมาย ไม่กลัวทุกอย่าง
จิตใจของพวกเขาได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด
ดังนั้น ในสายตาของผู้บำเพ็ญเขตปกครองหลวงและเผ่าต่างๆ รอบๆ ที่มองมา ตอนนี้คนเหล่านี้ที่ทยอยรวมตัวมาริมขอบหลุมลึกพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ด้านรัศมีอำนาจก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
แม้พวกเขามีจำนวนไม่มาก แต่ต่อให้อยู่หมู่มวลชนก็ล้วนมองเห็นในปราดเดียว
โดยเฉพาะตอนนี้รวมตัวอยู่ด้วยกันเป็นพลังหนึ่งกองทัพก็ยิ่งเด่นชัด
ทหารที่มาจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ ประสบการณ์ความโหดร้ายของสงครามสู้พวกเขาไม่ได้ เมื่ออยู่ข้างๆ ก็กลายเป็นตัวขับเน้น
ไม่ใช่แค่ทหารจากเมืองหลวงจักรพรรดิ ผู้บำเพ็ญทั้งหมดรอบๆ เหมือนว่าในเสี้ยวขณะนี้ล้วนเป็นตัวขับเน้นไปทั้งหมด
และพวกเขาตอนนี้ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น กลายเป็นกองทัพอิสระ ไม่ว่าใครมา ล้วนยากจะดึงความสนใจจากพวกเขา
จวบจนการปรากฏตัวของสวี่ชิงและข่งเสียงหลง
เงาร่างผอมสูงของทั้งสองเดินมาจากที่ไกล ชุดนักพรตผู้ครองกระบี่สีขาว อยู่ในสายลมพัดรัศมีอำนาจเย็นยะเยือก
คนหนึ่งใบหน้าดิบเถื่อน หนวดเครารุงรัง อีกคนใบหน้างดงาม สายตาสงบนิ่ง
ในเสี้ยวพริบตาที่ปรากฏตัว ผู้ครองกระบี่ที่เงียบนิ่งเหล่านั้นต่างหันหน้ามองคนทั้งสอง สายตาต่างฉายประกาย ทำความเคารพอย่างทหาร ถอยหลีกเป็นทางให้
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพร้อมเพียงกันเช่นนี้ที่นี่
ฝีเท้าของสวี่ชิงและข่งเสียงหลงไม่หยุดนิ่ง เดินเข้าไปในกลุ่มคน เดินไปข้างหน้าสุด ยืนอยู่กับผู้ครองกระบี่ระดับสมบัติวิญญาณหลายสิบคนที่นี่
แม้พลังบำเพ็ญของพวกเขาทั้งสองจะไม่พอ แต่คุณงามความชอบและฐานะมากพอจะยืนตรงนี้
ตอนนี้เมื่อมาถึง กลิ่นอายของทั้งสองคนยิ่งผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสหายร่วมรบที่นี่โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น เหมือนว่าเดิมก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่แล้ว
ภาพนี้ทำให้ผู้ที่มองอยู่รอบๆ ในใจต่างเกิดระลอกคลื่น ทหารของเมืองหลวงจักรพรรดิ ผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ ล้วนเป็นเช่นนั้น
และยังมีบนท้องฟ้า ตอนนี้องค์ชายเจ็ดที่เดินมา สายตามองไปยังเงาร่างทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหน้าผู้บำเพ็ญที่ผ่านประสบการณ์สงครามโชกโชนกลุ่มนี้เป็นครั้งแรก
“เขาก็คือสวี่ชิงคนนั้นน่ะหรือ” กลางอากาศ องค์ชายเจ็ดเอ่ยเสียงเบา
ปลัดเขตปกครองที่อยู่ข้างๆ เขาได้ยินก็ตอบกลับ
“ฝ่าบาท เป็นเขาพ่ะย่ะค่ะ สวี่ชิงเคยเป็นอาลักษณ์ของเจ้าวังครองกระบี่คนก่อน และเป็นผู้ที่มหาจักรพรรดิหยั่งใจได้หมื่นจั้ง เป็นคนแรกของเขตปกครองผนึกสมุทรเรา แนวหน้าขาดทรัพยากรฉุกเฉินเป็นเขาที่จัดหา กองทัพเสริมสองมณฑลเป็นเขาที่จัดเตรียม สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้แก่เขตปกครองผนึกสมุทร และในมหาสงครามครั้งนี้ก็เป็นผู้ที่ได้รับแต้มความชอบขั้นสองในบรรดาผู้ที่ได้จำนวนไม่มาก”
“หยั่งใจหมื่นจั้งหรือ” องค์ชายเจ็ดไม่สนใจคุณงามความชอบเหล่านั้น มีเพียงได้ยินสี่ตัวอักษรนั้น สายตาจ้องเพ่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” ปลัดเขตปกครองยิ้ม