ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 482 ต่อหน้าพญายมอย่าได้เสียงดังโหวกเหวก
บทที่ 482 ต่อหน้าพญายมอย่าได้เสียงดังโหวกเหวก
……….
สำหรับคำถามของผู้บำเพ็ญชุดเขียว เผ่าควันขจรที่ล้อมรอบวนเวียนเรือใบไม้ไม่ได้ตอบกลับไป พวกมันเมินซึ่งเกราะป้องกันของเรือ ทะลุเข้ามาในเสี้ยวพริบตา วนเวียนข้างกายผู้บำเพ็ญแต่ละคนๆ
ในยามที่ผู้บำเพ็ญทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสี ก็มีเงาร่างเผ่าควันขจรสองสามกลุ่มมาถึงสวี่ชิงทางนี้ วนรอบข้างกายเขาอยู่สามสี่รอบ เผยใบหน้าเหี้ยมเกรียมในหมอก ทำการตรวจสอบไม่หยุด
จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เผ่าควันขจรบนเรือพวกนั้นกลับมาข้างหน้าหุ่นเชิด คุกเข่าต่อหน้าหุ่นเชิดที่อยู่ตรงกลางตรงนั้น
“ใต้เท้า ในผู้บำเพ็ญสามสิบห้าคนมีหกคนที่กลิ่นอายบนร่างไม่ถูกต้องขอรับ”
ในยามที่เสียงวูมๆ ดังออกมาจากในเงาหมอกเผ่าควันขจรพวกนั้น สีหน้าของผู้บำเพ็ญทั้งหลายบนเรือเปลี่ยนไปอีกครั้ง
แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ขยับ เสี้ยวขณะต่อมา ในดวงตาของหุ่นเชิดทั้งเจ็ดตัวก็ฉายประกายแสงสีแดงออกมา โดยเฉพาะตัวที่อยู่ตรงกลาง ประกายแสงสีแดงเด่นชัดกว่าตัวอื่น ทำให้เรือทั้งลำถูกสะท้อนกลายเป็นสีเลือด
“ฆ่า”
ในเสี้ยวพริบตาที่เสียงเย็นชาดังออกมาจากหุ่นเชิดตัวนี้ เงาร่างเผ่าควันขจรที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้าพวกนั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว หลอมรวมเป็นใบหน้ามหึมาหกหน้า มาพร้อมความเหี้ยมเกรียม พุ่งทะยานไปที่เรือ
กำลังรบที่เทียบได้กับระดับแก่นลมปราณหกวังสวรรค์ปะทุออกมาจากใบหน้าทั้งหกนี้
ระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ขั้นสูงประเภทนี้ ไม่ว่าเมื่อใดก็ล้วนเป็นกำลังสำคัญของทุกเผ่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรไม่มีผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณและระดับหวนสู่อนัตตา และผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดในฐานะที่เป็นกำลังรบระดับสูงสุด ในยามสงครามปั่นป่วนเช่นนี้ก็มักจะคอยดูแลอยู่ในเผ่า ดังนั้นผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ขั้นสูงก็เป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งมากๆ แล้ว
เพียงพริบตา ใบหน้าทั้งหกก็พุ่งเข้ามาในเรือ ตรงดิ่งไปยังผู้บำเพ็ญทั้งหกในนั้นมีสามคนที่เดินทางลำพัง มีสองคนที่จับกลุ่มกัน และสุดท้ายก็คือผู้บำเพ็ญชุดเขียวจากพันธมิตรการค้าคนนั้น
เสียงระเบิดดังขึ้นทันที ต่อให้ทั้งหกทำการต้านทาน แต่ภายใต้แสงสีแดงจากหุ่นเชิดสีดำปกคลุมลงมา ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับผลกระทบถูกใบหน้าเผ่าควันขจรทั้งหกกลืนกินลงไปห้าคน
มีเพียงคนเดียวที่หนีออกไปได้ สีหน้าแฝงด้วยความตกใจสงสัย แต่หนีไปได้ไม่ไกล จากการที่หุ่นเชิดตัวนั้นรางเลือนในเสี้ยวพริบตา ก็ไล่ตามไป ฝ่ามือหนึ่งกดลงมา ทั่วทุกทิศสะเทือน ผู้บำเพ็ญที่หนีไปคนนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวชออกมา ร่างระเบิดแหลกละเอียด
‘ระดับปราณก่อกำเนิดลวง’ สวี่ชิงขมวดคิ้วมองภาพนี้ คล้ายครุ่นคิด
เขาวิเคราะห์ออกมาได้ว่า ใบหน้าเผ่าควันขจรทั้งหกไม่ได้เป็นตัวตนเดี่ยวๆ แต่ก่อขึ้นจากสมาชิกเผ่ากลุ่มหนึ่ง ส่วนหุ่นเชิดเจ็ดตัวนั้นนอกจากตัวที่อยู่ตรงกลางมีกำลังรบระดับปราณก่อกำเนิดลวง ตัวอื่นๆ มีกำลังรบประมาณแก่นลมปราณเจ็ดแปดวังสวรรค์กำลังรบระดับนี้พอๆ กับองครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แล้ว
‘น่าจะเป็นบุคคลยอดเยี่ยมของเผ่าควันขจร’
สวี่ชิงสะกดจิตสังหารลงไป เขาไม่อยากเพิ่งมาถึงก็ความแตก จึงนั่งเงียบๆ ตรงนั้น ทว่าเขาได้แผ่พิษต้องห้ามไปรอบๆ ตั้งนานแล้ว ปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
และในตอนที่สวี่ชิงเตรียมซ่อนอำพรางต่อไป ใบหน้าเผ่าควันขจรทั้งหกที่ลอยอยู่กลางอากาศก็กวาดมายังคนทั้งหลายที่เหลือบนเรืออีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญบนเรือที่เหลือแต่ละคนลมหายใจหอบถี่ ตื่นตกใจโมโหเป็นที่สุด ส่วนผู้บำเพ็ญชุดเขียวพันธมิตรการค้าแสงอรุณสองคนนั้น พวกเขามองสหายถูกฆ่าตาปริบๆ ตอนนี้ในดวงตาฉายความโกรธแค้น แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรมาก ทำได้แค่เพียงสะกดกลั้นเท่านั้น
“ใต้เท้า สัญญาณเตือนจากของวิเศษเวทไม่ลดลงเลย ในนี้…ยังมีผู้ที่ผิดปกติขอรับ”
กลางท้องฟ้า ใบหน้าทั้งหกส่งเสียงออกมา หลังจากหุ่นเชิดกำลังรบระดับปราณก่อกำเนิดลวงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเรียบนิ่งขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ฆ่าให้หมด”
“น้อบรับคำสั่ง!”
ผู้บำเพ็ญบนเรือทุกคนเมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพียงพริบตาก็ต่างพุ่งออกไปรอบๆ ผู้บำเพ็ญชุดเขียวสองคนนั้นนั้นก็เช่นกัน ถอยหลังไปทันที คิดจะหนี
แต่กลับสายไปแล้ว ใบหน้าทั้งหกที่ก่อขึ้นจากกลุ่มสมาชิกเผ่าควันขจรเพียงขยับไหววูบก็แปลงเป็นสิบสองร่าง ทุกร่างล้วนมีกำลังรบห้าวังสวรรค์ ในขณะที่ไล่ตามผู้บำเพ็ญทั้งหลาย นอกจากหุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวง หุ่นเชิดที่เหลือเพียงกะพริบวูบก็เหินไปโจมตีสังหารผู้บำเพ็ญทั้งหลาย
ด้วยกำลังรบเจ็ดแปดวังสวรรค์ของหุ่นเชิดสังหารผู้บำเพ็ญสี่คนนี้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ เพียงพริบตา เสียงน่าเวทนาโดยหวนก็ดังมาจากรอบๆ
ที่ลงมือกับสวี่ชิงเป็นหนึ่งในสิบสองใบหน้าเผ่าควันขจร ใบหน้านี้หลอมรวมจากสมาชิกเผ่าควันขจรจำนวนมหาศาล หน้าตาดูแล้วคล้ายกับเผ่ามนุษย์ ท่ามกลางความรางเลือนเหมือนจะเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เมื่อเข้ามาใกล้สวี่ชิงก็อ้าปากเหี้ยมเกรียมขย้ำมา ยิ่งมีรยางค์หมอกแผ่ออกมาข้างนอก ก่อเป็นมือที่ประสานปางมือมากมาย สำแดงวิชาไปยังสวี่ชิง
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ มองใบหน้าที่เข้ามาอย่างเย็นชา
ในเสี้ยวพริบตาที่มองไป ใบหน้าดวงนี้ก็พลันสั่นไปทั้งหน้า จากนั้นก็ส่งเสียงร้องน่าเวทนาโหยหวนออกมา ต่อให้ร่างจะก่อขึ้นจากหมอกแต่ก็ไม่อาจหนีพลังของพิษต้องห้ามได้ เพียงพริบตาก็เริ่มสลายไป ราวกับถูกกัดกิน
ใบหน้าดวงนี้ถอยหลังไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความหวาดกลัว ยิ่งระเบิดตัวเองเปลี่ยนเป็นหมอกมหาศาลแผ่ออกไป พยายามต้านทานพิษต้องห้าม แต่ก็ยังคงไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น ก็ยังคงถูกกัดกินอย่างรุนแรงเช่นเดิม เสียงร้องน่าเวทนายิ่งดังโหยหวน
เพียงพริบตาก็แตกสลาย ร่างและวิญญาณมลายสิ้น
บนสนามรบแห่งนี้ ภาพฉากนี้สร้างความตื่นตกใจโมโหให้กับเผ่าควันขจรทุกตนทันที มีหุ่นเชิดสองตัวมาถึงอย่างรวดเร็ว โจมตีสวี่ชิง
สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ภารกิจที่เขาได้คือสืบลับๆ ดังนั้นตอนแรกไม่คิดจะลงมือ แต่ตอนนี้ในเมื่อลงมือแล้ว ตามนิสัยของเขาก็ทำได้แค่ฆ่าทิ้งให้หมด
‘ไม่มีใครรู้เช่นนั้นก็เป็นการตรวจสอบลับๆ แล้ว’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เอากริชออกมา เพียงไหววูบก็หายไป หุ่นเชิดสองตัวนั้นลงมือพลาด ทันที่ที่ร่างสั่นสะท้านก็รู้แล้วว่าไม่สู้ดี เพิ่งคิดจะหลบ แต่เงาร่างสวี่ชิงประดุจภูตผี มาปรากฏข้างหลังหุ่นเชิดตัวหนึ่งอย่างเงียบงัน กริชลากปาดผ่านคอของมัน
ยิ่งมีพลังบำเพ็ญปะทุมาจากข้างใน เพียงพริบตาหุ่นเชิดตัวนี้ก็ตัวสั่นสะท้าน เสียงระเบิดบึ้มดังขึ้นก็แหลกละเอียด หมอกเทากลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากในหุ่น คิดจะหนี
แต่เจ้าเงาปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบแล้วกลืนลงไป
“ข้าจะเอาตัวเป็นๆ”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ร่างทะยานออกไป ชนกับหุ่นเชิดอีกตัวหนึ่ง หุ่นตัวนั้นตัวสั่นแล้วระเบิดเหมือนกัน หมอกเทาในนั้นไม่อาจหลบหนีได้ ถูกแสงอัสนีทั้งร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระปะทุครอบเอาไว้
ทุกอย่างนี้เหมือนพูดแล้วยาวนาน แต่ความจริงแล้วเกิดเพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้น เพียงครู่เดียว การแตกสลายของหุ่นเชิดสองตัวและใบหน้าดวงหนึ่งก็ทำให้เผ่าควันขจรที่สังหารผู้บำเพ็ญคนอื่นรอบๆ กลับมาต่างหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
โดยเฉพาะหุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวงตัวนั้น ประกายแสงสีแดงในดวงตายิ่งรุนแรง กำลังจะออกคำสั่ง แต่ในตอนนี้เอง เสียงโหยหวนแต่ละเสียงๆ ก็ดังออกมาจากใบหน้าเผ่ามนุษย์พวกนั้นรอบๆ มัน
ใบหน้าสิบเอ็ดดวงส่งเสียงโหยหวนสยดสยองชวนขนลุกออกมา ระเบิดร่างเองทันที ถูกกัดกินอยู่ตลอด เผ่าควันขจรที่อยู่ในนั้นสีหน้าฉายความเจ็บปวด เสียงครวญครางตื่นกลัวดังขึ้นรอบๆ
แต่ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ร่างหมอกของพวกมันเสียพลังชีวิตไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นควัน
“เจ้า!!” หุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวงตัวสั่นสะท้าน หันหลังหนี หุ่นเชิดที่เหลืออีกสี่ตัวข้างๆ มันต่างอกสั่นขวัญแขวน หนีตายทันที
แต่สายไปแล้ว
สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ ความเร็วน่าตื่นตะลึง เพียงพริบตาก็มาปรากฏอยู่ข้างหน้าหุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวงตัวนั้น
ระดับปราณก่อกำเนิดจริงๆ เขายังฆ่ามาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับปราณก่อกำเนิดลวงเลย
วังสวรรค์แปดวังในร่างสวี่ชิงปะทุ พลังพิษต้องห้ามลอยอวล แม้พลังพระจันทร์สีม่วงจะไม่แผ่ออกไป แต่หลังจากรวมไว้ที่นิ้ว รวมกับการโจมตีของสวี่ชิง ซัดไปบนตัวหุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวงตัวนี้
ขณะที่หุ่นเชิดสั่นสะท้านไปทั่งร่าง เจ้าเงาก็มาถึง ในพริบตาที่ปกคลุมสวี่ชิง พลังกายเนื้อของเขาก็เหนือกว่าขั้นสิบวังสวรรค์ทันที กายเนื้อที่สุดยอดเช่นนี้ ต่อให้เป็นระดับปราณก่อกำเนิดขั้นต้นเมื่อโดนเข้าไปก็ยังได้รับบาดเจ็บ ส่วนระดับปราณก่อกำเนิดลวง…
ภายใต้หมัดนี้ของสวี่ชิง หุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวงตัวนี้ระเบิด มือขวาสวี่ชิงล้วงไปในหุ่นเชิด คว้าหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งเอาไว้
หมอกกลุ่มนี้บิดม้วนอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเด็กสาวคนหนึ่ง ฉายแววตื่นตกใจและหวาดกลัวออกมา กำลังจะพูด สวี่ชิงก็ขยี้เต็มแรง ระเบิดไปบางส่วน สลบไป
ทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชิงก็หันไป สายตาจับจ้องไปที่หุ่นเชิดสี่ตัวสุดท้าย พวกมันตอนนี้ล้วนอเนจอนาถ ถูกเจ้าเงา บรรพจารย์สำนักวัชระ อีกทั้งศีรษะกับสิงโตหินควบคุมเอาไว้
สวี่ชิงเดินไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ภายใต้การลงมือหุ่นเชิดสี่ตัวระเบิด เงาหมอกสีเทาในนั้นก็ยากจะหลบหนี ต่างถูกจับเป็นเอาไว้ทั้งหมด
เหตุที่ไม่ฆ่าเพราะสวี่ชิงคิดจะถามสถานการณ์ เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไร อีกทั้งหาความผิดปกติเจอได้อย่างไร
เรื่องนี้สวี่ชิงอยู่ที่ท่าเรือก็สัมผัสได้ว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว
“เผ่าควันขจรของพวกเจ้าจะหาอะไร” สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิบนเรือ ในมือกุมกลุ่มหมอกสีเทากลุ่มนั้น เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
เรือใต้ร่างของเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ตอนนี้กำลังสั่นเทา
ส่วนหมอกสีเทาในมือสวี่ชิงตอนนี้ขณะที่บิดม้วนอย่างรวดเร็วก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าออกมา จ้องสวี่ชิงเขม็ง เงียบนิ่งไม่พูดจา
สวี่ชิงไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับมัน พิษต้องห้ามในร่างแผ่ออกมา เพียงพริบตาใบหน้าหมอกกลุ่มนี้ก็ส่งเสียงร้องน่าเวทนา เสียงโหยหวนทำให้เผ่าควันขจรตนอื่นๆ ที่สวี่ชิงจับเป็นมายิ่งตัวสั่นงันงก
จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าหมอกกายและวิญญาณแตกสลาย สวี่ชิงก็คว้าเผ่าควันขจรตนที่สองมา เอ่ยถามคำถามเดียวกันด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
อีกฝ่ายลังเล
สวี่ชิงโยนไปให้เจ้าเงา
“กินเสีย”
เจ้าเงาอ้าปากกว้างอย่างลิงโลด กลืนลงไป ยิ่งตั้งในส่งเสียงฟันกระทบเสียดสีบาดหูออกมา พร้อมกับเสียงเสียงเคี้ยวและเสียงร้องโหยหวนของเผ่าควันขจรตนนั้น ทำให้สายตาของเผ่าควันขจรที่เหลือที่มองมาทางสวี่ชิงเหมือนมองพญายมในปรโลก
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ คว้าเผ่าควันขจรตัวที่สามมา ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปากถาม เผ่าควันขจรสีเทาตนนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมา
“เป็นภารกิจที่ระดับสูงในเผ่ามอบให้ สั่งให้พวกเราค้นหาผู้มีปฏิกิริยาผิดปกติในมณฑลประกายอรุณแล้วสังหาร ช่วงนี้ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ส่วนลึกของเขาประกายอรุณ
“และวิธีที่พวกเราสืบหาผู้ที่ผิดปกติก็คือกลิ่นอาย…พวกเราสามารถดมกลิ่นอายบนร่างของผู้บำเพ็ญที่มีสายเลือดเผ่ามนุษย์ได้ ต่อให้มีเพียงเล็กน้อย พวกเราก็ได้กลิ่น”
สวี่ชิงอึ้งตะลึง สิงโตหินกับศีษะที่อยู่ข้างๆ รวมถึงบรรพจารย์สำนักวัชระต่างมองสวี่ชิงมาตามสัญชาตญาณ พวกเขาจำได้ว่าเผ่าควันขจรก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่ได้กลิ่นสวี่ชิงในทันที
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เค้นสอบเผ่าควันขจรสีเทาตนที่เหลือ คำตอบที่ได้เหมือนกัน ล้วนแต่รู้ว่าเป็นภารกิจที่ระดับสูงในเผ่าสั่งลงมา ส่วนทำไมถึงทำเช่นนี้นั้นไม่ทราบ
ต่อให้สวี่ชิงลงมือทรมาน คำตอบก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นสวี่ชิงมองไปทางเผ่าควันขจรตสุดท้าย ซึ่งก็คือเด็กสาวหมอกขาวในหุ่นเชิดระดับปราณก่อกำเนิดลวงตนนั้น
เด็กสาวตอนนี้ตื่นแล้ว หลังจากถูกสายตาของสวี่ชิงจับจ้อง ก็ลืมตาขึ้นอย่างสั่นสะท้าน
“ที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้เช่นกัน…”
สวี่ชิงเพียงสะบัด กำลังจะโยนไปให้บรรพจารย์สำนักวัชระเค้นสอบ แต่เจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ รีบแผ่ความวาดหวังออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกำลังบอกสวี่ชิงว่ามันก็ทำได้เหมือนกัน
ดังนั้นสวี่ชิงจึงคิดๆ ก็โยนให้เจ้าเงา
“เค้นสอบ”
เจ้าเงาตื่นเต้น ภายใต้ความตื่นตะลึง และความรู้สึกอันตรายรุนแรงของบรรพจารย์สำนักวัชระ มันก็อ้าปากกลืนเด็กสาวหมอกขาวลงไป
ไม่รู้ว่าทำการทรมานอะไร เพียงแค่ครึ่งก้านธูป ในยามที่เจ้าเงาคายเด็กสาวหมอกขาวออกมา ในดวงตาของเผ่าควันขจรตนนี้ก็ฉายความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา กระทั่งว่าสติก็รางเลือนไปเล็กน้อย ร่างหมอกสั่นสะท้านรุนแรง ปากยิ่งส่งเสียงร้อนรนอีกทั้งน่าเวทนาออกมา
“ข้าพูดๆ เป็นโหวเหยาแห่งเผ่ามนุษย์มาหาพวกเรา ไหว้วานเผ่าเรา…”
เด็กสาวหมอกเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ร่างกายก็เหมือนกระตุ้นพันธนาการอะไร ยังไม่ทันได้พูดจบก็ส่งเสียงดังบึ้ม วิญญาณหมอกระเบิด กายและวิญญาณดับสลาย กลายเป็นเถ้าธุลี
สวี่ชิงเมื่อได้ยินในใจก็เกิดระลอกคลื่นลูกมหึมา
จวบจนหลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ เขาสงบจิตใจ มองบริเวณที่เด็กสาวหมอกสลายไป ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
“โหวเหยาอย่างนั้นหรือ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็สะกดเรื่องนี้ลงไปในก้นบึ้งหัวใจ ตบๆ เรือใบไม้ยักษ์ใต้ร่าง
“ไปเขาประกายอรุณ ข้ารีบ”
เรือใบไม้สั่นสะท้าน ขาเรียวเหมือนไม้พายสี่ขาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสั่นเทา