ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 469 ฟ่อฟ่อ
บทที่ 469 ฟ่อฟ่อ
……….
เหนือแม่น้ำยมโลก ขบวนยาวเหมือนมาส่งญาติ กำลังเดินหน้าไม่หยุด เสียงสั่วน่า เสียดหูราวกับบทเพลงแห่งความตาย ดังสะท้อนต่อเนื่อง
ส่วนไหทั้งสี่ใบบนเกี้ยว แบ่งเป็นน้ำเงิน ดำ แดง ขาวสี่สี วางไว้บนคานหามเกี้ยว เหมือนเป็นของบูชาบางอย่าง
สวี่ชิงอยู่บนท้องฟ้า มองทั้งหมดนี้ แสงเย็นในแววตากระพริบวาบ ร่างไหววูบเดินตรงไปที่เกี้ยว
การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของขบวนส่งญาติทันที ร่างวิญญาณคนหัวงูเจ็ดแปดร่างในบรรดานั้นพลันหันหน้ามาพร้อมกับความชั่วร้าย พุ่งตรงเข้ามาหาสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ยังคงเดินหน้าต่อ สายตาเขามีเพียงเกี้ยวนั่น สิ่งอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาเขา
ทุกย่างก้าว แม่น้ำยมโลกครืนครัน กลิ่นอายดุจคมมีด ยิ่งเฉียบคมมาที่ร่างกายเขาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนร่างวิญญาณเจ็ดแปดร่างนั้นเวลานี้ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่พริบตาที่พวกมันเข้าใกล้ สายลมพิษต้องห้ามก็พัดผ่าน วิญญาณแต่ละร่างก็เน่าเปื่อยฉับพลัน เปล่งเสียงร้องแหลมออกมา
เห็นว่าจะสลายหายไป แต่พวกมันก็ผสานรวมร่างกันกลับมาอย่างน่าพิศวง กลายเป็นร่างวิญญาณขนาดยักษ์สูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง กางสองแขนร้องคำรามไปหาสวี่ชิง
เมื่อเสียงครืนครันดังขึ้น ร่างวิญญาณก็หยุดชะงักเบื้องหน้าสวี่ชิง จากนั้นร่างก็ปริแตก แผ่ลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว แตกสสายไปอย่างไม่อาจควบคุม ชิ้นส่วนร่างวิญญาณนับไม่ถ้วนกลายเป็นฝุ่นผง ขจรกระจายไปเหนือแม่น้ำยมโลก
สวี่ชิงเก็บหมัดกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าต่อ เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่พริบตาต่อมาขบวนส่งญาติเบื้องหน้าเขาก็แตกสลายหายไปราวกับฟองสบู่ในพริบตา
ไกลออกไปท่ามกลางความเลือนรางเบื้องหน้า ขบวนส่งญาติปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังคงเดินหน้าต่อไม่หยุด
มีเพียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวยกมือที่ขาวราวหยกเลิกผ้าม่าน ยื่นคอยาวราวกับงูออกมา จ้องมองสวี่ชิงอย่างเย็นชา
นี่เป็นร่างเงาที่ไม่ได้คุ้มคลั่งร่างแรกที่พบหลังจากสวี่ชิงมาถึงที่แห่งนี้ แต่สาวน้อยคนนี้ก็ไม่ได้ปกติไปทั้งหมดอย่างชัดเจน สีหน้าเหมือนมีแต่ความเย็นชา ขณะที่มองสวี่ชิง วิญญาณหัวเป็นงูนับสิบร่างในขบวนรอบๆ นางก็แผ่เจตจำนงโหดเหี้ยมอำหิต พุ่งมาหาสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่สนใจวิญญาณที่พุ่งเข้ามาเหล่านี้ เขามองเกี้ยว ยกมือขวาชี้ไปบนท้องฟ้า
จากนั้นเขาก็ก้าวเดินไปบนแม่น้ำยมโลก ฉับพลันหมอกสีม่วงก็แผ่ซ่านออกมาจากสวี่ชิง เปลี่ยนสีของแม่น้ำ แผ่ลามไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นการกักขัง
ขบวนส่งญาติทั้งหมดเลือนรางคล้ายจะหายไปอีกครั้ง แต่ด้วยการปกคลุมของพิษต้องห้ามกับพระจันทร์สีม่วง การเคลื่อนย้ายขบวนจึงล้มเหลว
จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังออกมา ขบวนส่งญาติหยุดลง ร่างเงาทั้งหมดหันหน้ามาในพริบตา จ้องไปทางสวี่ชิงเขม็ง วูบไหวพากันพุ่งมาทางเขา
แม่น้ำยมโลกตีเกลียวในพริบตานี้ ซากศพส่วนใหญ่คลานขึ้นมา วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนลอยขึ้นกลางอากาศ
สวี่ชิงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ความเร็วไม่ลดลง ทะยานต่อไปเบื้องหน้า ข้างกายเขาปรากฏเหล็กแหลมสีดำ สายอัสนีเปล่งแสงวาบ โหมสายฟ้าขึ้นหลายสาย ทิ่มแทงวิญญาณเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่เข้าใกล้ร่างหนึ่ง หลังจากทะลุทะลวงหน้าผากของอีกฝ่าย สายอัสนีก็ระเบิกขึ้นทำลายมันจนสูญสิ้น
จากนั้นก็ทิ่มแทงไปอีกครั้ง
ส่วนเจ้าเงาก็แผ่ลามออกไป แม้จะน่าขยะแขยง แต่ก็ยังแผ่ลามไปกลืนกินวิญญาณเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง
จากการลงมือของบรรพจารย์สำนักวัชระและเจ้าเงา วิญญาณที่พุ่งเข้ามาทางสวี่ชิงเหล่านั้นก็กรีดร้อง บ้างก็สลายหายไป บ้างก็พิษกำเริบ บ้างก็ถูกกลืนกิน
แต่สวี่ชิงก็ยังไม่หยุดฝีเท้า ขณะที่วิญญาณมหาศาลเหล่านั้นมอดดับ เขาก็เข้าใกล้เกี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ คอยยกมือขวาขึ้นคว้ากลางอากาศเป็นระยะ บีบวิญญาณที่พุ่งมาทีละตนจนแตกดับ
ขณะเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้า กลิ่นอายเขาก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น ขณะเดียวกันเสียงสั่วน่าที่เสียดแทงหูก็พลันดังขึ้น
ก่อเป็นพลังทะลวงจิตวิญญาณ พุ่งมาปะทะกับสวี่ชิง
แต่พลังนี้สำหรับสวี่ชิงที่เคยเจอกับเสียงพึมพำของเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาก็เมินเสียงสั่วน่าไปจากการที่ร่มดำปรากฏขึ้น หลังจากเท้าที่ก้าวไปด้านหน้าเหยียบย่างลงไป เสียงสั่วน่าก็เปลี่ยนทำนอง กลายเป็นแตกละเอียดรวมถึงเสียงร้องน่าเวทนา
วิญญาณรอบด้านดับสูญอย่างต่อเนื่อง ร่างของสวี่ชิงราวกับเป็นเทพมาร สกัดกั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเข้าใกล้เกี้ยวแล้ว ตอนนี้เอง ม่านของเกี้ยวก็เลิกขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวในชุดแต่งงานคนนั้นเดินออกมาจากด้านในอย่างเร็วรี่ ขณะที่สีหน้ายังเย็นชา คลื่นพลังที่เข้าใกล้ปราณก่อกำเนิด ก็แผ่ซ่านออกมาจากนาง
สองมือของนางมีเล็บงอกยาวออกมา ขณะที่คมกริบสุดฤทธิ์ ดวงตาทั้งคู่ก็เผยรูม่านตาออกมาข้างละสองรูม่านตา จ้องสวี่ชิงเขม็ง
จากนั้นบนหน้าก็ฉายแสงสีดำ ก่อเป็นเกล็ดเน่าเปื่อย พุ่งเข้าหาสวี่ชิงอย่าวรวดเร็ว
ไม่ช้าอืดอาด โหมกลิ่นอายความตายเข้มข้นออกมา แต่พริบตาที่นางเข้าใกล้สวี่ชิง ร่างของสวี่ชิงในดวงตานางก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันที่งูสาวตนนี้จะได้ตั้งตัว มือที่เหมือนกับคีมเหล็กข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาข้างกายนาง คว้าคอของนางเอาไว้
นั่นเป็นมือของสวี่ชิง
พริบตาที่งูสาวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มือข้างนี้ก็มีพลังน่าหวาดหวั่นวูบหนึ่งส่งมา เสียงกร๊อบดังขึ้น คอของนางหักทันที
สวี่ชิงโบกมือ โยนร่างของงูสาวลอยห่างออกไป
แต่งูสาวไม่สลายหายไป ตอนนี้เปล่งเสียงร้องแหลมอยู่กลางอากาศ ขณะที่กำลังตะเกียกตะกาย ยังไม่ทันจะร่วงลงพื้น พายุพิษต้องห้ามก็เข้าถึงตัวฉับพลัน ห่อหุ้มไว้ด้านในท่ามกลางเสียงครืนครัน
จากนั้นหมอกสีม่วงก็ลอยมาอย่างรวดเร็วโอบล้อมในพริบตาเช่น ก่อเป็นพลังพันธนาการ ปิดผนึกมันไว้
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนช้า แต่อันที่จริงเกิดขึ้นในพริบตาที่สวี่ชิงเข้าประชิดตัวงูสาว
เสร็จเรื่องทั้งหมด สวี่ชิงก็สีหน้าไร้อารมณ์ ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจเสียงคำรามของงูสาว สาวเท้าเดินไปข้างเกี้ยว เดินไปข้างไหสีขาวใบนั้น
เศษชิ้นส่วนสายใยสีทองบนฝ่ามือเขาแผ่ความร้อนออกมา จุดที่ชี้นำก็คือไหใบนี้
สวี่ชิงหยิบไหใบนี้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เปิดออกเบาๆ
วิญญาณดวงหนึ่ง ลอยออกมาจากในไหราวกับหมอก ค่อยๆ รวมตัวกันกลางอากาศ สุดท้ายก็กลายเป็นงูสีขาวตัวน้อยตัวหนึ่ง ดูไม่ชัดเจนนัก ค่อนข้างโปร่งแสง ราวกับยังไม่สมบูรณ์
สวี่ชิงมองงูขาวตัวนี้ ในดวงตาก็ฉายภาพเด็กสาวชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ
นางอ่อนแรงอย่างมาก ราวกับอยากจะลืมตาขึ้น แต่ไม่มีเรี่ยวแรง ขณะที่ยังหายใจรวยริน สวี่ชิงยกมือขวาขึ้น ประชิดงูสีขาวตัวน้อย
ราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสวี่ชิง งูสีขาวตัวน้อยตัวนี้ต่อให้ไม่มีแรงลืมตา แต่กลับสั่นเครือเล็กน้อย ร่วงลงบนมือสวี่ชิงตามสัญชาตญาณ ถูไถเบาๆ เผยความสนิทสนมออกมา
สวี่ชิงใจอ่อนยวบ หลังจากใช้มือขวากอบกุมเบาๆ ดวงตาเขาก็กวาดไปยังไหอีกสามใบที่เหลือ
ในไหทั้งสามใบนี้ก็มีวิญญาณอยู่เช่นกัน แต่ไม่ใช่ของหลิงเอ๋อร์
พวกเขาน่าจะเป็นเผ่าวิญญาณบรรพกาลเช่นกัน ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับหลิงเอ๋อร์ สืบทอดล้มเหลวจนเข้ามาในหุบเหววิญญาณโลกใบใหญ่จากที่อื่น วิญญาณร่วงหล่นสู่โลกใบนี้
แต่ก็ไม่เลินเล่อจนเกินไป สวี่ชิงยังโบกมือ ไหสามใบนั้นก็เปิดออกทันที วิญญาณต่างสีสันลอยออกมา ขณะที่ต่างก่อร่าง สวี่ชิงตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากยืนยันว่าไม่ใช่ดวงวิญญาณของหลิงเอ๋อร์ เขาก็ถอนสายตากลับมา หันหน้ามองจุดที่พิษรวมถึงหมอกสีม่วงของเขาพันธนาการไว้
ในทะเลความรู้สึกมีภาพงูสาวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวคนนั้นปรากฏขึ้น
“นางอาจจะกำลังสูดรับ…”
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้จึงยังไม่กำจัดนางทิ้งไป อันที่จริงรูปแบบการวางไหสี่ใบที่หลิงเอ๋อร์อยู่บนคานหามเกี้ยว ทำให้รู้สึกเหมือนเครื่องเซ่นไหว้ที่กำลังรอการสังเวยอยู่
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววเย็นเยียบ สาวเท้าเดินไป
เจ้าเงาแผ่ลามอยู่ด้านหลังของเขา เหล็กแหลมสีดำก็ติดตามอยู่ด้านขวา ลูกกลอนพิษต้องห้ามแผ่ซ่านที่เบื้องหน้า หมอกสีม่วงแยกออกมาเป็นทางเดินสายหนึ่งทำให้สวี่ชิงเดินตรงไปยังงูสาวทางนั้นได้
ร่างวิญญาณของงูสาวกำลังแตกสลาย สีหน้ายังคงเย็นชา ราวกับนอกจากอารมณ์นี้ ตัวนางก็ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดอีกแล้ว
สวี่ชิงมองงูสาวอย่างเย็นชาผาดหนึ่ง วิหคทองด้านหลังก็ปรากฏกายออกมาทันที เมื่อเปลวเพลิงแผ่ซ่านวิหคทองตัวยักษ์นี้ก็สูดรับไปทางงูสาว ฉับพลันร่างวิญญาณของงูสาวก็สั่นสะท้าน แตกสลาย กลายเป็นหมอกวิญญาณ
ในหมอกนั้น มีรยางค์วิญญาณหลากสีผสมกันอยู่หลายสาย สายหนึ่งในนั้นเป็นสีขาว
สวี่ชิงยกมือซ้ายขึ้นกลายสภาพเป็นพรางมารยา ล้วงเข้าไปในหมอกวิญญาณ ดึงรยางค์วิญญาณสีขาวสายนั้นออกมาเบาๆ ผสานเข้าไปในตัวงูสีขาวตัวน้อย
งูสีขาวตัวน้อยร่างสั่นเทิ้ม จากสภาพโปร่งแสงก็ชัดเจน ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตามึนงงเล็กน้อย ส่งเสียงออกมา
“ฟ่อฟ่อ…”
สวี่ชิงปวดใจ เขาพบว่าแววตาของหลิงเอ๋อร์ยังคงสับสน ไม่มีประกายมากนัก ความรู้สึกไม่สมบูรณ์เช่นนั้นยังคงอยู่ เวลานี้ก็เหมือนค่อยๆ จะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ส่วนสวี่ชิงก็สัมผัสถึงกระแสน้ำของแม่น้ำยมโลกไหลไปผ่านเศษชิ้นส่วนสายใยสีทองเหล่านั้น ยังมีการชี้นำไปที่ส่วนลึกของแม่น้ำยมโลกอยู่
ที่นั่น ก็คือที่ที่วิญญาณอีกส่วนหนึ่งของหลิงเอ๋อร์อยู่
สวี่ชิงเงยหน้ามองส่วนลึกแม่น้ำยมโลก
เสียงคำรามต่ำดังก้องขึ้นมาที่ปลายทางแม่น้ำยมโลกในพริบตา เสียงคำรามนี้สั่นสะเทือนจิตวิญญาณได้ ทำให้แม่น้ำยมโลกเริ่มสั่นไหว ฟ้าดินโหมคลื่น ราวกับมีเทพเจ้าตนหนึ่ง กำลังหายใจอยู่ในส่วนลึก
ความรู้สึกวิกฤตอันตรายมหาศาลปะทุขึ้นไม่หยุดในใจสวี่ชิง เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นอาการสั่นสะท้านแผ่ไปทั่วร่าง
ราวกับว่าเลือดเนื้อทุกชุ่นกำลังเตือนสวี่ชิง ว่าที่นั่น…อันตรายมาก
ความรู้สึกนี้ ค่อยๆ กลายเป็นพยับเมฆปกคลุมจิตใจ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ก้มหน้ามองงูสีขาวตัวน้อยที่หลับไหลอีกครั้งบนฝ่ามือ จากนั้นก็เงยหน้ามองไปส่วนลึกของแม่น้ำยมโลก
นานพอสมควร เขากอบกุมมือขวา จากนั้นวิชาพรางมารยาชิงมรรคาก็โคจร หลังจากท่อนแขนทั้งหมดกลายเป็นกึ่งโปร่งใส มือขวาของเขาก็ล้วงเข้าไปในหน้าอกกายเนื้อของตนเข้าไปถึงทะเลความรู้สึก คลายมือเบาๆ วางวิญญาณหลิงเอ๋อร์ที่หลับไหลไปตรงนั้น
ที่นี่ คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตัวสวี่ชิง
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็ก้าวเดินไปที่ปลายแม่น้ำ
เรื่องบางเรื่อง ต่อให้อันตราย แต่ก็ยังต้องทำ เขาจะไม่ทรยศคนที่ดีกับเขา
จากการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เสียงคำรามที่มาจากส่วนลึกของแม่น้ำยมโลกก็ยิ่งสะท้อนก้อง
สวี่ชิงฟังไปฟังมา ก็ยกมือขวาขึ้นชี้ท้องฟ้า ฉับพลัน…ในโลกใบใหญ่ที่มืดมิด พระจันทร์สีม่วงดวงหนึ่ง มาพร้อมกับหมอกที่เกิดจากพิษ ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ
แสงสาดส่อง เจตจำนงสีม่วงมาเยือนยังแผ่นดิน
นี่เป็นการปรากฏตัวของพระจันทร์ครั้งแรกและครั้งเดียว ในโลกใบใหญ่ที่ไม่เคยมีแสงจันทร์มาก่อนในช่วงกาลเวลาที่ยาวนานนี้!