ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 447-2 ยิ่งแสดงยิ่งเลยเถิด (2)
บทที่ 447 ยิ่งแสดงยิ่งเลยเถิด (2)
ความจริงแล้วสำหรับฐานะของสวี่ชิงและนายกอง ต่อให้จนถึงตอนนี้พวกเขาล้วนมีความไม่เชื่อมากกว่า แต่เทวรูปคุกเข่า กลิ่นอายการประทานพรเป็นของจริง
นี่ทำให้พวกเขาเกิดความสับสน
“แล้วก็เจ้ารัฐ บุตรชายของท่านได้รับการประทานพร ก่อนหน้านี้ข้าได้ทำการสืบแล้ว นั่นเป็นเพียงแค่วิชาอำพรางตาเท่านั้น หากท่านไม่เชื่อก็ส่งเขาไปที่ราชวงศ์รัฐบน ให้รัฐบนดูก็พอแล้ว” ชายชราเอ่ยปากเสียงเย็น จากนั้นก็มองไปทางวังหลวง
“ที่น่าขำเป็นที่สุดก็คือทั้งสองคนนี้แม้จะมีวิชาหลอกลวงพวกเจ้า แต่ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือ…ปลอมตัวเป็นใครไม่ปลอม ปลอมเป็นบุตรเทวะฟ้าทมิฬอย่างนั้นหรือ
“หึ ข้าฝึกบำเพ็ญที่เผ่าฟ้าทมิฬมาหลายปี สหายเผ่าฟ้าทมิฬมากมาย ไม่เคยได้ยินว่าตำหนักเทวะฟ้าทมิฬมีบุตรเทวะ!
“ส่วนเทวรูปฟ้าทมิฬจะอย่างไรก็เป็นแค่วัตถุ พวกเจ้าไม่เคยไปเผ่าฟ้าทมิฬจึงไม่รู้ ความจริงแล้วเทวรูปฟ้าทมิฬก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเนื่องจากพลังเทพในนั้นเปลี่ยนแปลงขึ้นเองตามรอบน้ำขึ้นน้ำลง
“ผู้ปลอมตัวทั้งสองคนนี้น่าจะมีความรู้ความเข้าใจในเผ่าฟ้าทมิฬเป็นอย่างมาก ช่วงเวลาที่คว้าก็บังเอิญเหมาะเจาะนัก”
ในดวงตาชายชราฉายประกายเย็นวาบ
“แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พลาด เพราะข้าตอนนั้นไปฝึกบำเพ็ญที่เผ่าฟ้าทมิฬ เคยได้รับวิญญาณผีฟ้าทมิฬตนหนึ่งจากตำหนักเทวะ!
“วิญญาณผีของตำหนักเทวะฟ้าทมิฬมีสติปัญญา ความแม่นยำเทียบกับวัตถุอย่างเทวรูปแล้ว มันเพียงแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปิดเผยทุกอย่าง!”
ระหว่างพูด มือขวาของชายชราก็ยกขึ้นแล้วชี้ไปที่หว่างคิ้ว ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านกระอักเลือดออกมาคำโต ทันใดนั้นหว่างคิ้วก็แยกออก เงาสีดำทางหนึ่งพุ่งออกมาจากเนื้อโชกเลือดอย่างรวดเร็ว
เพิ่งปรากฏออกมาก็เกิดลมเย็นเป็นระลอกๆ พัดกวาดไปรอบๆ ยิ่งทำให้จิตใจของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทุกตนที่อยู่ที่นี่สั่นสะท้าน สายเลือดที่เป็นของเผ่าฟ้าทมิฬก็ล้วนถูกเหนี่ยวนำ เส้นสีดำที่หว่างคิ้วของทุกตนยิ่งชัดเจน
“อัญเชิญวิญญาณผีตรวจสอบ!”
ชายชราสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม จากเสียงเคี้ยกๆ ที่วิญญาณผีส่งออกมา ร่างลอยขึ้นกลางอากาศ ยามมองไปทางวังหลวง ชายชราส่งเสียงไปหาคนทั้งหลายด้วยสีหน้าอึมครึม
“รอเมื่อวิญญาณผีตรวจสอบเสร็จแล้ว เจ้ารัฐยอดฟ้า ท่านลงมือจับเป็นเจ้าโจรกำเริบเสิบสานสองคนนี้ด้วยตัวเอง ข้าเตรียม…”
ชายชราเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ไม่รอให้ทันได้สั่งการเสร็จ ผีร้ายตนนั้นที่อยู่บนท้องฟ้าจู่ๆ ร่างก็สั่นเทิ้ม ทั่วร่างปะทุแสงสีดำทันที แผ่ไปทั่วทุกสารทิศประดุจทะเลแสง ในดวงตายิ่งฉายประกายแรงกล้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน ร่างสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงในตอนสุดท้าย ก็ร้องอย่างโหยหวนออกมา ตาผีระเบิดทันที
ร่างของมันขดงอ ร่วงลงสู่แท่นบูชา หมอบคารวะไปทางวังหลวงทันที โขกศีรษะไม่หยุด
“นายท่าน!
“นั่นเป็นกลิ่นอายของนายท่าน!
“พวกข้าผู้ต่ำต้อย ไม่อาจจ้องมองได้!!”
วิญญาณผีตาบอดแล้ว ร่างสั่นเทิ้มไม่หยุด แต่เสียงกลับแฝงด้วยความตื่นเต้นและคลั่งไคล้สุดขีด ภาพนี้ทำให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ในสมองเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าทันที
เจ้ารัฐยอดฟ้าหายใจหอบถี่ ต่อให้เป็นคนที่ขี้ระแวงแบบเขา ตอนนี้ก็เชื่อจริงๆ แล้ว
เจ้ารัฐคนอื่นๆ ก็ต่างหนังศีรษะชาวาบ ในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม ไม่มีเหตุผลใดๆ ให้ไปสงสัยอีกต่อไป แต่ละตนในดวงตาฉายแววคลั่งไคล้ออกมา
ส่วนชายชราที่ปล่อยวิญญาณผีนั่นตอนนี้ตัวสั่นสะท้านเช่นกัน ดวงตาเบิกโพลงฉายความไม่อยากเชื่อออกมา
“นี่…นี่…”
ในเสี้ยวพริบตาที่จิตใจของพวกเขาทางนี้เกิดระลอกคลื่น ทางวังหลวง เทวรูปฟ้าทมิฬที่ลอยอยู่กลางอากาศทางนั้น แขนที่กอดอกอยู่พลันกางออก ลอยขึ้นไปบนฟ้าพันจั้ง ดวงตาฉายประกายแสงสีดำ ก้มมองไปทางแท่นบูชา
และบนศีรษะของมัน ตอนนี้ทางกลางความรางเลือน ร่างของนายกองกับสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นมา
สวี่ชิงสายตาเย็นชาแฝงด้วยความไม่พอใจ ก้มมองไปยังพื้นดิน
นายกองที่อยู่ข้างๆ สีหน้าโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง เพลิงพิโรธที่เหมือนว่าบุตรเทวะของตนถูกหยามหมิ่นปะทุออกมาจากดวงตา ยิ่งมีเสียงเย็นชาเหมือนลมหนาวยะเยือกแฝงไว้ซึ่งความโกรธดังก้องไปทั่ว
“พวกเจ้าขี้ระแวงเดิมไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่หากเกินสมควร นั่นคือพวกเจ้าหยามหมิ่นเบื้องสูง”
นายกองขณะที่พูด บนท้องฟ้าก็มีเสียงฟ้าคำราม ฟ้าดินเปลี่ยนสี
หว่างคิ้วของสวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้มีสัญลักษณ์ทรงพระจันทร์ฉายวาบขึ้นมา ร่างยิ่งแผ่ระลอกคลื่นพลังที่เหนือกว่าคนทั่วไปจากวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วงออกมา
เพียงพริบตา คนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรัฐยอดฟ้าทั้งหมด เลือดกลุ่มนั้นที่เป็นของฟ้าทมิฬในสายเลือดต่างเดือดพล่านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เจ้ารัฐทั้งสามสิบหกนครรัฐล้วนสั่นสะท้านไปทั้งร่างก้มศีรษะไปทางเทวรูปที่อยู่บนท้องฟ้า
ราชครูรัฐยอดฟ้าใจสั่นสะท้านไปเช่นกัน มองวิญญาณผีฟ้าทมิฬที่คุกเข่าโขกศีรษะคารวะไม่หยุดผาดหนึ่ง เขาลมหายใจถี่กระชั้น สุดท้ายก็ก้มศีรษะ โค้งคารวะไปทางท้องฟ้า
พลังบำเพ็ญของพวกเขาไม่ว่าใครล้วนเหนือสวี่ชิงทั้งนั้น เผชิญหน้ากับเผ่าฟ้าทมิฬที่พลังบำเพ็ญต่ำยังพอใช้พลังบำเพ็ญดึงให้สถานะเสมอกัน แต่ตอนนี้สัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจน่าเกรงขามที่มาจากบุตรเทวะและการสยบจากสายเลือด ทำให้พวกเขาจิตใจต่างเกิดระลอกคลื่นอารมณ์
แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอัปยศอดสูอะไร เพราะนับตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เผ่าฟ้าทมิฬทั้งสองที่มาเยือนไม่ได้ถือตัว กลับเป็นพวกเขาที่หยั่งเชิงอยู่ตลอด
“พวกเจ้า จะไม่มีครั้งต่อไป” บนท้องฟ้า สวี่ชิงเอ่ยปากเป็นครั้งแรก
เสียงสงบนิ่งดังก้อง เขามองไปยังคนทั้งหลายอย่างด้วยความหมายลึกซึ้ง ยกมือเพียงสะบัด เงาร่างก็อำพรางซ่อนเร้นไป
ส่วนเทวรูปก็กลับมาที่ที่เดิม ลอยอยู่เหนือตำหนัก ดวงตาทั้งสองหลับลงอีกครั้ง
ทั้งเมืองเงียบสงัด
นอกแท่นบูชา ราชครูรัฐยอดฟ้าสูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นตะลึงในใจ รีบส่งกระแสจิตบัญชาเจ้ารัฐยอดฟ้าทันที
“เรื่องนี้รีบรายงานลับไปถึงราชวงศ์ เซียนแท้สิบลำไส้มีเผ่าฟ้าทมิฬมาเยือน สงสัยว่าสายเลือดจะสูงส่งมาก พวกเราไม่มีคุณสมบัติต้อนรับ นอกจากนี้บุตรที่ได้รับการประทานพรของเจ้าก็รีบส่งไปที่ราชวงศ์ด้วยเช่นกัน!
“เรื่องนี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ…ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น!
“หากเป็นเรื่องจริง…” ชายชราสูดลมหายใจ
“เกรงว่าตำหนักเทวะฟ้าทมิฬของทั้งสี่ราชวงศ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ล้วนสั่นสะเทือน อีกทั้งตำแหน่งในอนาคตของบุตรเจ้าก็จะสูงส่งเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน!”
ราชครูขณะพูดก็มีลมพัดมาจากบนพื้น ต้นเซียนแท้สิบลำไส้บนท้องฟ้าโอนเอน ฉัตรส่งเสียงซู่ซ่า
ลมพัดแล้ว
ลมคืนนี้พัดแรงนัก
ขณะที่ฉัตรที่เกิดจากเซียนแท้สิบลำไส้ไหวโอนเอนบนท้องฟ้า เสียงดังไปทั่ว ลมพัดผ่านฟ้าดิน หอบม้วนฝุ่นธุลีทั่วทั้งพื้น พัดพาไปยังสิ่งก่อสร้างทุกแห่งในรัฐยอดฟ้า
กระดิ่งที่แขวนไว้ใต้หลังคาบ้านทุกหลังล้วนส่งเสียงก้องกังวานท่ามกลางสายลม โดยเฉพาะในวังหลวงยิ่งเป็นเช่นนั้น
ท่ามกลางเสียงที่ดังไม่ขาดสาย ในวังหลวง สวี่ชิงดึงสายตากลับมาจากความมืด มองไปทางนายกองที่อยู่ข้างๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรารออีกนานไม่ได้แล้ว อย่างมากสองวัน หากเซียนแท้สิบลำไส้ยังไม่เกิดผลสุกงอม พวกเราก็ต้องไปแล้ว” สวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
นายกองถอนหายใจ ค่อนข้างกลัดกลุ้ม
หลังจากที่พวกเขารับรู้ถึงการหยั่งเชิงของอีกฝ่าย แม้จะคลี่คลายได้ แต่เขาก็รู้ว่า นี่หมายถึงเรื่องจะดำเนินไปในทิศทางที่ไม่อาจควบคุมได้
“ข้ารู้สึกว่าความจริงก็ไม่มีอะไร” นายกองพึมพำ มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
สวี่ชิงทางนั้นไม่ว่าเขาจะสัมผัสอย่างไรก็เป็นเผ่าฟ้าทมิฬของจริงอย่างจริงสุดๆ
ไม่ใช่แค่เทวรูปคุกเข่าคารวะ ยิ่งให้การประทานพรเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ ตอนนี้แม้แต่วิญญาณผีฟ้าทมิฬที่มีสติปัญญาก็ยังคุกเข่า…
สามเรื่องนี้รวมกันทำให้ความคิดของนายกองแล่นอย่างรวดเร็ว
“อาชิงน้อย เจ้าทำได้อย่างไร นี่ไม่มีทางเป็นกลิ่นอายของพระจันทร์สีแดง” ความสงสัยใคร่รู้ของนายกองรุนแรงอีกครั้ง ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
สวี่ชิงคิดๆ ครั้งนี้ไม่ได้ปกปิด ส่งกระแสจิตตอบไป
‘เทพองค์นั้นที่เผ่าฟ้าทมิฬเคารพบูชา ตอนนั้นที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะข้าชิงเอาอำนาจมากลุ่มหนึ่ง ดังนั้นน่าจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระจันทร์สีแดงกระมัง’
คำพูดนี้เพิ่งออกไป นายกองเบิกตากว้าง สูดลมหายใจลึก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเดาได้บ้าง แต่คำตอบของสวี่ชิงในตอนนี้ก็ยังทำให้จิตใจเกิดคลื่นยักษ์อยู่ดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายกองก็ผุดลุกขึ้น หลังจากเดินวนสองสามรอบก็หันไปมองสวี่ชิง
“ศิษย์น้องเล็ก พวกเราลงมือทำให้สุดกันไปเลยดีหรือไม่!”
ในดวงตานายกองฉายแววบ้าคลั่ง
สวี่ชิงถอนหายใจ เขารู้ว่านายกองจะทำอะไร นี่ก็เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาปกปิดเรื่องพระจันทร์สีม่วง
“ในเมื่อเจ้าตอนนี้เป็นของจริงจนไม่รู้จะจริงอย่างไร พวกเรามิสู้ไปตำหนักเทวะฟ้าทมิฬ จากนั้นก็ให้ตำหนักเทวะฟ้าทมิฬส่งพวกเราไปเผ่าฟ้าทมิฬ…
“ยันต์ซ่อนอำพรางในตัวข้ามีผลมากที่สุดอีกแค่เดือนครึ่งเท่านั้น หากหมดอำนาจแม้กลิ่นอายของข้าจะไม่เปลี่ยน แต่ก็ถูกสืบออกมาได้ โดยเฉพาะ…เทพในพระจันทร์สีชาดนั่น แค่มองข้าเพียงผาดเดียวข้าก็ตายแล้ว”
สวี่ชิงส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
นายกองกลัดกลุ้ม แค่เขาก็รู้ว่าทำแบบนั้นไม่ใช่บ้าระห่ำแต่เป็นรนหาที่ตาย ดังนั้นหลังจากนิ่งเงียบก็กัดฟันกรอด
“พรุ่งนี้พวกเราพาคนไปหาผลมรรคาต่อ แม้ส่วนมากจะยังไม่สุก แต่ก็สนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ไปหาผลที่สุกในเขตอื่น
“จากนั้นรออีกสองสามวัน อาชิงน้อย ผลมรรคาเป็นแค่เรื่องหนึ่งเท่านั้น ของดีจริงๆ คือเซียนแท้สิบลำไส้นั่น โอกาสของพวกเราตอนนี้หาได้ยากนัก!”
สวี่ชิงลังเล กัดฟันพูด
“อย่างมากสามวัน”
นายกองได้ยินดวงตาฉายแววบ้าคลั่งพยักหน้า
“ได้ อย่างมากห้าวัน!
“นอกจากนี้พรุ่งนี้ข้าจะปล่อยข่าวออกไป ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาอยากจะสงสัยก็สงสัยไป อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นของจริง ข้าจะปล่อยข่าวบอกรัฐพวกนั้นว่าพวกเราประทานพรให้ได้ แต่ต้องเอาของมีค่ามาแลก!”
นายกองดวงตาแดงนิดๆ
สองวันหลังจากนั้น ในตอนที่สวี่ชิงกับนายกองแยกกัน คนหนึ่งไปเก็บผลมรรคาอย่างสุดกำลัง อีกคนออกไปข้างนอกปล่อยข่าวเรื่องประทานพร ในเมืองหลวงราชวงศ์สายลมสวรรค์หนึ่งในสี่ราชวงศ์แห่งเผ่าฟ้าทมิฬ คนกลุ่มหนึ่งของรัฐยอดฟ้าก็ส่งข้ามมาถึง
ผู้นำคือราชครูรัฐยอดฟ้าตนนั้นนั่นเอง มู่เยี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น ทันทีที่พวกเขามาถึงราชวงศ์สายลมสวรรค์ก็รายงานเรื่องเผ่าฟ้าทมิฬทันที
เรื่องนี้เดิมไม่ได้สร้างความสนใจให้กับราชวงศ์สายลมสวรรค์ อย่างไรเสีย สำหรับชนชั้นสูงของสี่ราชวงศ์เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เผ่าฟ้าทมิฬทั่วไปพวกเขาล้วนไม่สนใจ แต่หลังจากที่รัฐยอดฟ้าฎีกาขึ้นมา หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบมู่เยี่ย หลังจากตรวจสอบเป็นชั้นๆ ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึงเรื่องแล้วเรื่องเล่ารายงานขึ้นมาไม่ขาดสาย เรื่องนี้ก็ค่อยๆ สร้างระลอกคลื่นขึ้นในราชวงศ์
“กลิ่นอายฟ้าทมิฬเข้มข้นจนถึงขั้นหนึ่ง กระทั่งว่ายังเหนือยิ่งกว่านั้น!”
“ผลตรวจสายเลือดทั้งหมดล้วนเป็นของจริง ได้รับการประทานพรอย่างแท้จริง!”
“ต่อให้เป็นตำหนักเทวะฟ้าทมิฬก็ไม่สามารถเลื่อนชนชั้นจากชั้นที่สี่เป็นชั้นที่หนึ่งได้!”
“นี่ไม่ใช่การประทานพรธรรมดาๆ นี่คือเทวะประทานพร!”
หลังจากผลการตรวจสอบรายงานขึ้นไปเป็นชั้นๆ ระดับสูงและเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์สายลมสวรรค์คิดอย่างไร คนนอกไม่รู้ แต่ไม่นานนักก็มีราชโองการลงมาสองฉบับ
ราชโองการแรกคือสั่งให้คนส่งมู่เยี่ยไปตำหนักเทวะฟ้าทมิฬ ขอให้ตำหนักเทวะตรวจสอบและชี้แนะ
ราชโองการที่สองคือส่งองครักษ์ชุดดำให้เดินทางไปรัฐยอดฟ้าทันที เบื้องหน้าคืออารักขา เบื้องหลังจับตาดู แต่ห้ามมิให้ทำการเสียมารยาทเป็นอันขาด