ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 433 กำเนิดโล่เนื้อที่แข็งแกร่งที่สุด!
บทที่ 433 กำเนิดโล่เนื้อที่แข็งแกร่งที่สุด!
จากสิ่งนี้ก็มองความแข็งแกร่งของเผ่าฟ้าทมิฬออกได้
และวันนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นเผ่าฟ้าทมิฬ
เผ่าฟ้าทมิฬที่ถูกส่งมายังเขตปิ่งมีทั้งหมดสี่คน
หน้าตาของพวกเขาแตกต่างกับเผ่ามนุษย์
คนของเผ่าฟ้าทมิฬ รูปร่างค่อนข้างเล็กและผ่ายผอม ส่วนสูงประมาณเด็กอายุสิบสองสิบสามปี
ทั้งร่างเป็นสีเทา ศีรษะใหญ่มาก ไม่มีเปลือกตา ราวกับไม่มีทางปิดตาได้
และดวงตาใหญ่โต ดำไปทั้งตา
เส้นผมราวกับหนาม ตั้งชี้เป็นเส้นๆ ราวกับอาวุธแหลมคม
ต่อให้อยู่ในชั้นเก้าสิบที่มืดมิด ก็มีประกายคมเลือนรางสาดออกมาจากเส้นผมราวกับหนามเหล่านี้
ตอนนี้ตัวพวกเขาถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา สีหน้าเลื่อนลอย ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลลึกจนเห็นกระดูกจากการทรมานอย่างเข้มงวด
โดยเฉพาะที่ศีรษะของพวกเขามีเข็มยาวสีดำที่สลักอักขระเล็กๆ เสียบไว้คนละเล่ม
ขณะที่สวี่ชิงพิจารณา มือผีก็รับตัวเผ่าฟ้าทมิฬจากผู้ครองกระบี่ที่มาส่งตัวเสร็จสิ้น หลังจากสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง เขาก็กวาดตามองเผ่าฟ้าทมิฬทั้งสี่คน ดวงตาเผยจิตสังหารออกมา
“ในเขตปกครองผนึกสมุทรของพวกเราพบเห็นเผ่าฟ้าทมิฬไม่บ่อยนัก”
ระหว่างที่พูด เขาก็เรียกพัศดีเขตปิ่งข้างๆ ให้พวกเขานำตัวเผ่าฟ้าทมิฬสามคนนี้ไปขังไว้ในโลกใบเล็ก
ตอนที่พัศดีเขตปิ่งแต่ละคนมองเผ่าฟ้าทมิฬก็ยิ้มเหี้ยม ดวงตามีประกายอำมหิต เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ของหายากเหล่านี้จะต้องสนุกมากแน่นอน
“พวกเจ้าจำไว้ว่าอย่าเล่นงานพวกเขาจนตาย เหลือไว้ให้รุ่นหลังได้ฝึกปรือฝีมือบ้าง อย่ามูมมามกินอยู่คนเดียว” มือผีร้องด่า พวกพัศดีเขตปิ่งเหล่านั้นก็ไม่ถือสา ต่างยิ้มออกมา พาเผ่าฟ้าทมิฬทั้งสามออกไป
ไม่นานในชั้นเก้าสิบ ก็เหลือแค่สวี่ชิงกับมือผี รวมถึงเผ่าฟ้าทมิฬที่เหลือหนึ่งตน
“มา สวี่ชิง ตอนที่ฝึกฝนลับเราขาดตัวอย่าง วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าต่อ”
มือผีเลียริมฝีปาก มองเผ่าฟ้าทมิฬคนนั้นที่หายใจรวยริน หัวเราะเหี้ยมเกรียม ยกเขาขึ้นมา
“เผ่าฟ้าทมิฬไม่ชอบแสงตะวัน นี่เป็นจุดตายของพวกเขา แต่ก็อย่าให้คำบอกเล่านี้หลอกเจ้า ใช่ว่าพวกเขาจะทนรับแสงไม่ได้เลย ถึงอย่างไรในเผ่าฟ้าทมิฬก็ยังมีดวงจันทร์อยู่
“ในความเป็นจริง หากคิดจะเอาให้ถึงตาย แสงตะวันที่ใช้ต้องเข้มข้นมากถึงจะใช้ได้ มิเช่นนั้นอย่างมากก็แค่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น”
ดวงตามือผีมีความโหดเหี้ยมแฝงอยู่แนะนำสวี่ชิงอย่างละเอียด
“สังเกตดวงตาของเผ่าฟ้าทมิฬจะรวมตราประทับนับไม่ถ้วนเอาไว้ เคล็ดวิชาฝึกบำเพ็ญเผ่าฟ้าทมิฬส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับดวงตา พวกมันถนัดเคล็ดวิชาสยบทาสที่สุด”
ระหว่างที่พูด มือผีก็ยกมือขวาคว้าดวงตาขวาผู้บำเพ็ญเผ่าฟ้าทมิฬต่อหน้าสวี่ชิง ท่ามกลางเสียงร้องแหลมของเขา ก็ควักดวงตาของเขาออกมาทั้งเป็น
ขณะที่เลือดสดสีดำซ่านกระเซ็น มือผีก็โยนลูกตาในมือให้กับสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าปกติ ยกมือขึ้นรับ หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดก็เห็นว่าดวงตาสีดำนี้มีอักขระตราประทับอยู่นับไม่ถ้วน มากมายเต็มไปหมด ราวกับเรียงตัวกันเป็นค่ายกลบางอย่าง
“เจ้าสิ่งนี้ใช้เป็นอาวุทเวทได้ เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน”
สวี่ชิงรู้ความล้ำค่าของของสิ่งนี้ ก็รู้สึกซาบซึ้ง ประสานหมัดคารวะ เก็บดวงตานั้นลงไปอย่างระมัดระวัง
“มาเรียนกันต่อ และเพราะพลังบำเพ็ญกับพรสวรรค์พิเศษของเผ่าฟ้าทมิฬ ดังนั้นจิตสำนึกของผู้บำเพ็ญเผ่าฟ้าทมิฬต่อให้อยู่ท่ามกลางหมื่นเผ่าก็ถูกจัดให้อยู่แนวหน้า ความแข็งแกร่งของจิตเทพพวกเขาสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย ควบคุมสรรพชีวิต สยบเผ่าต่างๆ นับไม่ถ้วนให้เป็นทาส
“และผู้แข็งแกร่งเผ่าฟ้าทมิฬ สามารถสร้างบางสิ่งจากความว่างเปล่า สร้างภาพมายาให้เป็นจริง แข็งแกร่งอย่างมาก”
มือผีเล่นกับเผ่าฟ้าทมิฬที่อยู่ในมือเขา ขณะที่อีกฝ่ายยังคงกรีดร้อง ก็อธิบายสวี่ชิงอย่างละเอียด
“ดังนั้นในสมองของเผ่าฟ้าทมิฬ จึงมีผลึกสมองอยู่ส่วนหนึ่ง มีมูลค่ามหาศาล
“ผลึกสมองเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่านี้สามารถสูดรับไอพลังประหลาดมาฝึกบำเพ็ญได้ เคยมีเผ่ามนุษย์ลองนำมาผสานกับตนเอง แต่ก็ล้วนล้มเหลว
“สิ่งเหล่านี้ที่ข้าเล่าไป เป็นเพียงพลังพื้นฐานของเผ่านี้เท่านั้น ถึงอย่างไรเผ่าฟ้าทมิฬก็ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ดังนั้นพวกเขาจึงมีสำนักมากมาย สำนักต่างๆ ปานห้วงน้ำ เคล็ดวิชาหลากหลายรูปแบบ
“นอกจากนี้เส้นผมของพวกมันก็ถือเป็นอาวุธพื้นฐานของเผ่าฟ้าทมิฬ ในนี้แฝงพิษที่สามารถทำลายจิตวิญญาณได้ หลังจากนี้ถ้าเจ้าพบเข้าต้องระวังให้ดี”
มือผีกำลังสอนต่อ สวี่ชิงก็ลังเลเล็กน้อย ถามเสียงเบา
“ผู้อาวุโส ข้าขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักเส้นได้หรือไม่ขอรับ”
มือผีพอได้ยินก็หัวเราะลั่น ดึงผมหนามของเผ่าฟ้าทมิฬออกมาสามเส้น โยนให้สวี่ชิง จากนั้นก็อธิบายเผ่าฟ้าทมิฬต่อ ไล่จากหัวจรดเท้าอย่างละเอียด
มาถึงช่วงท้าย เขาก็พูดพลางลงมือไปด้วย แยกชิ้นส่วนเผ่าฟ้าทมิฬนี้ทั้งเป็นอย่างโหดเหี้ยม
สีหน้าสวี่ชิงยังคงปกติตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งมาเห็นช่วงสุดท้าย เขาไม่เห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเขารู้ว่าถ้าตนถูกเผ่าฟ้าทมิฬจับไป สิ่งที่รอตนอยู่คงเป็นเรื่องคล้ายๆ กัน
ความแค้นของทั้งสองเผ่า รู้กันทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
แต่ลึกๆ ในใจเขารู้สึกว่าครั้งนี้ผู้อาวุโสมือผีไม่เหมือนกับกำลังสอน แต่เหมือนใช้การสอนมาเติมเต็มงานอดิเรกของตนมากกว่า
แต่ว่าสวี่ชิงก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ฟังอย่างละเอียด และดูอย่างตั้งใจ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ขณะที่ผู้อาวุโสมือผียังไม่สาแก่ใจ บทเรียนนี้ก็สิ้นสุดลงเช่นนี้
“น่าเสียดายที่ตัวอย่างน้อยไปหน่อย รอครั้งหน้าข้าอธิบายกับเจ้าให้ละเอียดกว่านี้” มือผีเลียริมฝีปาก ยกกาสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ ร้องเพลงในลำคอขึ้นอย่างสบายอกกสบายใจ ก้าวไปในโลกใบเล็ก
เผ่าฟ้าทมิฬของเขตปิ่ง ไม่ใช่สี่คนอีกแล้ว แต่กลายเป็นสามคน
สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ ส่งอีกฝ่ายด้วยสายตา
และชีวิตของเขาถัดจากนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการมาเยือนของนักโทษเผ่าฟ้าทมิฬ ทั้งหมดยังคงปกติ ทุกวันนอกจากเข้าเวรก็แวะไปยังเขตติงหนึ่งสามสองบ้าง เวลาส่วนใหญ่ล้วนหมดกับการแบกรับกฎเกณฑ์ของโลกใบเล็ก
เวลาที่ทนไหวเพิ่มจากหนึ่งพันอึดใจมาเป็นหนึ่งพันห้าร้อยกว่าอึดใจแล้ว ขณะที่เข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ นายกองที่หายไปนานมาก จู่ๆ ก็ส่งสื่อเสียงมา
“ศิษย์น้องเล็ก อยู่ที่หอกระบี่หรือไม่”
ตอนนี้สวี่ชิงออกเวรแล้วเพิ่งกลับมาถึงหอกระบี่ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนายกอง ก็รู้ว่ามีคนนอกอยู่ หรือไม่ก็มีเรื่อง จึงส่งสื่อเสียงกลับไป
ชั่วหนึ่งก้านธูป นายกองก็พาหนิงเหยียนที่มีสีหน้ากระวนกระวายเดินเข้ามา
เพิ่งเดินเข้ามาในหอกระบี่ของสวี่ชิง นายกองก็ผลักหนิงเหยียนทีหนึ่ง ส่งสายตาให้สวี่ชิง หัวเราะขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก คนผู้นี้อยากเจอเจ้า แต่ไม่กล้ามา จึงให้ข้ามาเป็นคนกลาง”
สวี่ชิงลุกขึ้นประสานหมัดคารวะนายกอง จากนั้นก็มองไปทางหนิงเหยียนอย่างเย็นชา
สวี่ชิงกวาดสายตามาเช่นนี้ หนิงเยียนก็ขนลุกขนพองขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย อันที่จริงก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จึงไปหาเฉินเอ้อร์หนิว ให้เขาช่วยติดต่อสวี่ชิง
“ศิษย์พี่สวี่ชิง…” หนิงเหยียนรีบร้อนคารวะ
สวี่ชิงไม่สนใจ แต่มองไปทางนายกอง
นายกองอารมณ์ดี เขารู้สึกสบายใจอีกครั้งเวลาได้อยู่กับสวี่ชิง ตนพูดแค่คำเดียว อีกฝ่ายก็รู้ความคิดของตนทันที การคารวะเมื่อครู่เป็นการไว้หน้าเขาต่อหน้าคนนอกอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนนั้นเจ้านี่ไม่ได้เป็นผู้ครองกระบี่อย่างเป็นทางการที่มณฑลรับเสด็จราชันใช่หรือไม่ ดังนั้นทางเมืองหลวงเขตปกครองจึงทดสอบอีกครั้ง ผ่านทั้งหมดแล้ว ทว่าขั้นตอนสุดท้ายต้องมีผู้ครองกระบี่ที่เลื่อนขั้นขึ้นมาของมณฑลตนคนหนึ่งเวลานี้เป็นผู้แนะนำ
“เส้นสายของเขาธรรมดา ชิงชิวไม่สนใจ เดิมทีข้าเห็นว่าทุกคนก็มาจากมณฑลรับเสด็จราชันกันทั้งนั้นจึงแนะนำเขาให้ แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธมา
“เจ้าลองดูว่าช่วยเขาหน่อยได้หรือไม่” นายกองขยิบตาให้สวี่ชิง
เมื่อสวี่ชิงเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าถ้านายกองไม่คิดจะหาประโยชน์จากตัวเขา ก็คงมีเรื่องที่อยากให้หนิงเหยียนไปทำแน่ หากไม่มีผลประโยชน์นายกองคงไม่ตื่นเช้า ไม่มีทางสนใจเรื่องนี้แน่นอน
สวี่ชิงครุ่นคิด หากหนิงเหยียนมาที่นี่แค่คนเดียว เขาปฏิเสธแน่นอน แต่นี่ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยปากเช่นนี้ หลังจากเขาครุ่นคิดจึงพยักหน้าให้
เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงเห็นด้วย หนิงเหยียนก็ตื่นตระหนกระคนดีใจขึ้นมาทันที ที่คนนอกลือกันว่าเฉินเอ้อร์หนิวไม่ได้เรื่อง วันนี้ถึงได้เห็นว่าข่าวลือเรื่องเขานั้นผิดพลาด อีกฝ่ายบอกว่าทำให้สวี่ชิงเห็นด้วยได้ ก็ทำได้จริงๆ ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
จึงรีบร้อนขอบคุณ จากนั้นนัดกับสวี่ชิงว่าอีกเจ็ดวันไปพบกันที่จุดบันทึกของวังครองกระบี่ เมื่อคารวะก็จากไป
นายกองไม่ได้ไปด้วย รอจนหนิงเหยียนออกไปแล้ว เขานั่งลงตรงข้ามสวี่ชิง ล้วงผิงกั่วผลหนึ่งออกมากินพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อาชิงน้อย หนิงเหยียนคนนี้นิสัยใจคอพอใช้ได้ ไม่มีปัญหาอะไรนัก แนะนำอย่างวางใจเถอะ”
“นายกอง ท่านต้องการเขาหรือขอรับ” สวี่ชิงถาม
“วิชาหนิงเหยียนคนนี้พิเศษ ตอนนั้นชิงฉินคาบเล่นอยู่ในปากของอยู่นานสองนานก็ไม่บาดเจ็บเลยสักนิด…” ดวงตานายกองมีประกายแปลกประหลาด เอ่ยเสียงต่ำ
“ต่อมาข้าแอบกัดเขาไปคำหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะกัดไม่เข้า ทำให้ข้ากัดไม่เข้าได้ จะต้องมีปัญหาใหญ่อยู่แน่ๆ!”
สวี่ชิงประหลาดใจ มองนายกองผาดหนึ่ง
นายกองแสร้งทำเป็นไม่เห็น เอ่ยต่อว่า
“เขาบอกว่าเป็นการย้อนคืนทางสายเลือดของบรรพบุรุษ แต่ข้าไม่เชื่อ ดังนั้นหนิงเหยียนคนนี้จะต้องมีความลับอยู่แน่ แต่เป็นอะไรข้าก็ไม่ได้กังวลนัก ทว่าหนังหยาบหนาที่เป็นจุดเด่นของเขา หากเราใช้ให้เป็น จากนี้ตอนไปทำการใหญ่จะมีประโยชน์อย่างมาก
“เจ้าลองคิดดู ก่อนหน้านี้เวลาเราเจออันตรายทำได้แค่หนีเอาตัวรอด เวลาที่เจอกับวิชาเวทอะไรโจมตีมา แค่ของที่จะป้องกันยังไม่มี หนิงเหยียนคนนี้…อาจแบกรับไว้ได้!”
นายกองกะพริบตาปริบๆ
สวี่ชิงเองก็กะพริบตาๆ ด้วย
“เชื่อข้าเถอะอาชิงน้อย ไม่มีทางพลาดแน่ หนิงเหยียนคนนี้เป็นคนมากความสามารถ พวกเราจึงต้องวางแผนแต่เนิ่นๆ จะรอตอนที่ต้องการอีกฝ่ายแล้วค่อยประจบประแจงไม่ได้”
นายกองทำท่าเหมือนวางแผนในค่ายแต่รู้ผลชนะพันลี้ เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็ตอบกลับ
“อู๋เจี้ยนอูด้วยหรือ”
“อย่าพูดถึงเขา…” นางกองกดผิงกั่วคำหนึ่งอย่างแรง เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทำสีหน้าลึกลับ
“อาชิงน้อย กรมราชทัณฑ์ของพวกเจ้า ช่วงนี้มีเผ่าฟ้าทมิฬหลายคนถูกส่งตัวเข้าไปใช่หรือไม่”
แม้จะรู้ว่านายกองมีเส้นสายข่าวสารอยู่ตลอด แต่เดิมเรื่องนี้ก็เป็นความลับ สวี่ชิงรู้เพราะเป็นพัศดี จึงมองนายกองอย่างประหลาดใจผาดหนึ่ง
“คราวหน้าเจ้าลองคิดหาวิธีไปสังเกตเผ่าฟ้าทมิฬพวกนั้นในห้องขังสักหน่อย ทางที่ดีคือบันทึกภาพมา บันทึกท่าทางการพูดจา รูปร่างหน้าตามาทั้งหมด ยิ่งละเอียดยิ่งดี
“เจ้าบันทึกเสร็จแล้วส่งมาให้ข้า ข้าจะนำไปใช้ประโยชน์!” สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง นายกองก็รู้ว่าไม่เลว ดังนั้นประกายในดวงตาจึงยิ่งแรงกล้า เลียริมฝีปาก เอ่ยแผ่วเบา
“อาชิงน้อย เวลาที่เราจะทำการใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว”
สวี่ชิงดวงตาแข็งค้าง
ตอนนี้เขากระหายแต้มกองทัพมาก แต่หลายปีมานี้ถึงแม้ปกตินายกองจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่ทุกครั้งที่ทำการใหญ่…สิ่งที่ได้มาก็ถือว่าใช้ได้
แม้ว่าจะมีอันตราย
แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าใช้ชีวิตในโลกใบนี้ อันที่จริงก็อันตรายอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้…เช่นนั้นขอแค่ผลประโยชน์เพียงพอ เสี่ยงก็ยังคุ้มค่า
โดยเฉพาะครั้งนี้เขายังลงทุนหินวิญญาณไปไม่น้อย
‘เกี่ยวข้องกับเผ่าฟ้าทมิฬหรือ’ สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปทางนายกอง
นายกองทำท่าทางเหมือนลึกล้ำยากคาดเดา นั่งกินผิงกั่วยิ้มอย่างภูมิใจไปทางสวี่ชิงจากตรงนั้น
“อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับเจ้าแล้ว ผู้ครองกระบี่ให้ความสำคัญกับข้ามาก ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาตำแหน่งที่สำคัญอย่างกรมบันทึกแต้มมาให้ข้า”
“ช่วงนี้ข้าค้นคว้ากรมบันทึกแต้มมาหมดแล้ว มองไปทั้งวังครองกระบี่ การระดมพลและการจัดการตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่างไม่ว่าจะผู้ครองกระบี่คนใด ข้ารู้แจ้งทั้งหมด
“เว้นแต่คนผู้นี้จะไม่บันทึกแต้มกองทัพ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางรอดจากสายตาตรวจสอบอันเฉียบคมของข้าไปได้”
นางกองลำพอง ทำท่าทำทางเหมือนมีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้า
สวี่ชิงทอดถอนใจ ในใจมีความนับถือเพิ่มขึ้นมาเล็กๆ เขานับถือนายกองจริงๆ ถึงอย่างไร…ตำแหน่งที่ไม่สะดุดตาเช่นนี้ เมื่ออยู่ในมือนายกองก็ยังขุดออกมาได้ตั้งมากมาย
คนที่ทำได้ถึงจุดนี้ ก็บ่งบอกได้ว่าถ้าเทียบนายกองกับหนิงเหยียนแล้ว ปรีชาสามารถกว่ามาก
“ดังนั้นอาชิงน้อย เจ้าก็อย่าขี้เกียจนัก เรียนรู้จากข้าให้มากๆ เข้าใจหรือไม่ อย่าเอาแต่ไปเที่ยวเล่นกันคนพวกนั้น มีประโยชน์อันใดกัน
“ออกไปเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต้มกองทัพก็ได้กลับมาไม่เท่าไร
“พูดถึงจุดนี้ ข้าก็ต้องตำหนิเจ้าหน่อย สุดท้ายช่วงนี้ก็เป็นข้าคนเดียวที่แบกไว้ทั้งหมดเลยนี่นะ”
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ฟังความไม่พอใจของนายกองออก นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่นายกองแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมาในช่วงนี้
สวี่ชิงจึงแสดงสีหน้าเลื่อมใสในใจก่อนหน้านี้ออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันก็มอบผิงกั่วลูกใหญ่ให้นายกองอีกผลด้วย
เดิมนายกองคิดจะไม่รับ แต่หยิบตามสัญชาตญาณ มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก สวี่ชิงก็ส่งเสียงแผ่วเบาออกมาประโยคหนึ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ หลายวันก่อนหน้านี้ จอมเซียนจื่อเสวียนพาข้าไปพบกับเพื่อนสาวของนางหลายคนที่เมืองหลวงเขตปกครอง ในนี้มีคนหนึ่งชื่อว่าหลี่ซือเถา นาง…”