ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 421 สุราขุ่นหนึ่งแก้ว บรรยากาศชื่นมื่น
บทที่ 421 สุราขุ่นหนึ่งแก้ว บรรยากาศชื่นมื่น
สวี่ชิงหนีไปอย่างเร็ว
แทบจะพริบตาที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าตกตะลึงด้านนอกชายแดน เขาก็หันหลังหนีอย่างไม่ลังเล
นี่เป็นสิ่งที่นายกองกับเขาทำมาหลายครั้งหลังจากก่อเรื่องใหญ่ หล่อหลอมจนกลายเป็นสัญชาตญาณ
พวกของซานเหอจื่อก็ไม่ได้ช้ากว่าเท่าไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็มีสัญชาตญาณ
มีเพียงข่งเสียงหรงที่ช้าเล็กน้อย เพราะเขาพูดคำพูดเหล่านั้นออกมา
สวี่ชิงรู้สึกว่าข่งเสียงหรงก็คล้ายคลึงกับนายกองในบางครั้ง ทว่านายกองช้าเพียงเพราะละโมบ แต่ข่งเสียงหรงกลับเพื่อแสดงท่าที
สวี่ชิงแอบทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าหากนายกองเข้าร่วมได้ก็คงดี ทว่าเรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ไม่เชื่อใจนายกอง
กลุ่มคนทั้งหมดจึงพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จนกระทั่งฟ้าสว่างก็หนีมาไกลมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแน่ใจว่าศัตรูไม่ได้เสี่ยงตายตามมา พวกเขาก็เหน็ดเหนื่อย นอนแผ่หลาบนผืนหญ้า ต่างหอบหายใจ
คืนนี้ พวกเขาก่อเรื่องมากมายเกินไป
โดยเฉพาะการต่อสู้กับองครักษ์ชุดดำ ยิ่งทำให้พวกเขาใช้แรงจนแทบจะหมดสิ้น
ตอนนี้จากการผ่อนคลาย หลังจากนอนลงไปแล้ว แต่ละคนก็รู้สึกว่าทั่วร่างล้าไปหมด ไม่อยากจะลุกขึ้นมาเลย
สวี่ชิงก็เช่นกัน แม้อาการบาดเจ็บทั่วร่างจะฟื้นฟูแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจยังคงรุนแรงอยู่
ซานเหอจื่อแยกเขี้ยว เลือดลมทั่วร่างสลายหาย ความอ่อนล้าตีเกลียวปั่นป่วน
เยี่ยหลิงไม่แปลงเป็นปีศาจแล้ว ตอนนี้นอนอยู่ตรงนั้นราวกับเรี่ยวแรงใกล้หมดสิ้น
หวังเฉินก็โอดครวญพลางวาดผนึกตนเอง เหมือนกลัวว่าถ้าวาดช้าไปจะเกิดปัญหาใหญ่
ส่วนข่งเสียงหรงก็กำลังหอบหายใจ แต่ก็ยังสบายกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้มองพวกสวี่ชิง จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา และดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ซานเหอจื่อทั้งสามมองหน้ากัน และหัวเราะออกมาเช่นกัน ความสบายใจแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจพวกเขา แต่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งปากบิดเบี้ยว เพราะมันกระเทือนถึงบาดแผล
“ครั้งนี้สังหารอย่างมีความสุขเสียจริง!” ข่งเสียงหรงโบกมือ ล้วงสุราออกมาห้าขวด หลังจากโยนไปให้คนละขวดแล้ว ก็ชูขึ้นสูง
สวี่ชิงยกขวดสุราขึ้น ซานเหอจื่อ หวังเฉินรวมถึงเยี่ยหลิงก็ทำเช่นกัน สายตาที่มองสวี่ชิงก็ไม่ได้ห่างเหินเหมือนตอนแรกแล้ว กลับเผยความสนิทชิดเชื้อ
“หมดขวด!”
ทุกคนเงยหน้ากระดกลงไปอึกใหญ่ หลังจากวางก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
แต่ดื่มไปๆ พวกเขาก็คิดถึงชายหนุ่มที่ฝันอยากจะเป็นผู้ครองกระบี่คนนั้น จึงต่างทอดถอนใจออกมา
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
ไม่ว่าจะสุราหรือว่าเสียงหัวเราะ หรือแม้แต่เสียงทอดถอนใจ ก็ล้วนทำให้ต่างฝ่ายใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมิตรภาพระหว่างกันก็มักจะแน่นแฟ้นมากขึ้นหลังจากที่ได้มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกัน
โดยเฉพาะเรื่องที่ทำผิดพลาด…
“กลับไปครั้งนี้พวกเราคงได้ซวยกันหมดแน่ ต้องถูกเจ้าวังจับขังแน่นอน กระทั่งพวกที่ใกล้ชิดกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คงได้กุข่าวลือขึ้นแน่ โดยเฉพาะตระกูลเหยา
“เฮ้อ หลังจากกลับไปช่วงนี้ทุกคนก็สงบเสงี่ยมกันหน่อยแล้วกัน” ข่งเสียงหรงลุกขึ้น บิดกายไล่ความเมื่อยล้าครู่หนึ่ง เอ่ยกับทุกคน โดยเฉพาะสวี่ชิง
“สวี่ชิงเจ้าน่าจะหนักสุด ข้าเข้าใจเจ้าวังดี ในฐานะที่เจ้าเป็นพลทหารของกรมราชทัณฑ์ เจ้าวังจะต้องคาดโทษกับเจ้าเพิ่มแน่” ข่งเสียงหรงกะพริบตาปริบๆ
“ถูกต้อง สวี่ชิงเจ้าซวยแล้ว”
“เฮ้อ แต่ว่าสวี่ชิงเจ้าต้องคิดเช่นนี้ ในฐานะพลทหารถูกขังอยู่ในกรมราชทัณฑ์ ประสบการณ์นี้จะต้องยอดเยี่ยมมากแน่”
พวกของซานเหอจื่อพูดหยอกล้อสวี่ชิงคนนั้นคำคนนี้คำ ขณะเดียวกันก็กำลังมองปฏิกิริยาของสวี่ชิงกับเรื่องนี้
พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย นี่คือวิธีแสดงการยอมรับของพวกเขา และเป็นวิถีการอยู่ร่วมกันระหว่างพี่น้อง
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยราบเรียบ
“พวกพัสดีในเขตติงล้วนเป็นสหายของข้า ข้ากับพวกเขาสนิทกัน หากข้าต้องถูกคุมขังจริง…”
สวี่ชิงมองพวกข่งเสียงหรงผาดหนึ่ง เอ่ยอย่างตั้งใจว่า
“ข้าก็แค่กลับบ้าน และยินดีต้อนรับพวกเจ้าที่ถูกขังในบ้านข้า”
เมื่อสวี่ชิงพูด ข่งเสียงหรงก็ดื่มสุราเงียบๆ พวกของซานเหอจื่อก็ยิ้มขืนขึ้นมา ทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม แต่สายตาที่มองสวี่ชิงกลับยิ่งสนิทชิดเชื้อ โดยเฉพาะซานเหอจื่อ กระแอมไอออกมา
“สวี่ชิง ถึงตอนนั้นเจ้าขังข้าไว้ในห้องขังที่มีพัสดีหญิงได้หรือไม่…”
ยังไม่ทันพูดจบ หวังเฉินก็กระทืบเท้าเขา
“ไม่ต้องสนใจเขา เจ้านี่ในสมองเลือดลมมีปัญหา พัสดีหญิงมีอะไรดีกัน สวี่ชิง…ถึงตอนนั้นก็ช่วยหน่อยนะ จัดให้ข้าไปอยู่ในห้องขังที่มีนักโทษหญิงเยอะๆ หน่อย”
ดวงตาหวังเฉินเปล่งประกาย เปี่ยมไปด้วยความเฝ้ารอ
ซานเหอจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ยอม ตอบกลับไปไม่กี่คำ ไม่นานทั้งสองคนก็แย่งกัน
ภาพนี้แตกต่างกับตอนที่สวี่ชิงเคยมองพวกเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีหลายด้าน ระหว่างคนแปลกหน้ากับคนที่สนิทสนมคุ้นเคยนั้นต่างกัน
เยี่ยหลิงกวาดตามองพวกเขาผาดหนึ่ง ดวงตาเผยประกายเหยียดหยาม ล้วงเมล็ดแตงเลือดเนื้อออกมากิน
ข่งเสียงหรงยิ้มให้สวี่ชิงแล้วถามถึงพลังวิเศษ
“สวี่ชิงพิษของเจ้าร้ายกาจมาก แต่ข้าที่รู้สึกสนใจมือโปร่งแสงข้างนั้นของเจ้ามากกว่า แทงเข้าไปในวังสวรรค์ของอีกฝ่ายกระชากแก่นลมปราณออกมา วิชานี้…มหัศจรรรย์มาก!”
เมื่อข่งเสียงหรงพูดออกมา พวกซานเหอจื่อทั้งสามก็มองมาทางสวี่ชิง พวกเขาก็สงสัยเช่นกัน
สวี่ชิงได้ยินก็ไม่ปิดบัง ยกมือขึ้นโบก ฉับพลันมือขวาของเขาก็เปลี่ยนเป็นโปร่งใส แสดงออกมาต่อหน้าข่งเสียงหรง
“นี่คือวิชาที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ข้า เกี่ยวข้องกับเผ่าพรางมายาระดับหนึ่ง”
ข่งเสียงหรงสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเผยแววชื่นชม
“หลังจากที่สำแดงวิชานี้ออกมาในระดับสูงสุด เกรงว่าทั่วร่างของเจ้าคงจะกลายเป็นสภาพนี้แน่ๆ” พูดจบเขาก็ครุ่นคิด
“ถ้าเป็นเผ่าพรางมารยา ไว้กลับไปข้าจะให้ของขวัญเจ้าชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นข้าสังหารเผ่าพรางมารยามา แล้วเก็บของเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้”
พูดจบ เขาเห็นว่าสวี่ชิงเหมือนจะพูดอะไร จึงหัวเราะขึ้นโบกไม้โบกมือ
“ระหว่างพี่น้อง ไม่ต้องปฏิเสธ”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็มองข่งเสียงหรง พยักหน้า จากนั้นซานเหอจื่อกับหวังเฉินก็เข้ามาร่วมด้วย พูดคุยกันเรื่องพลังวิเศษ พวกเขาก็ไม่มีปิดบังซ่อนเร้น สำแดงวิชาของตนเองออกมา
นี่มอบแรงกระตุ้นให้แก่สวี่ชิงมาก ทำให้เขาเข้าใจวิชาเวทของสามสำนักใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะวิชาจำแลงปีศาจของเยี่ยหลิง สวี่ชิงรู้สึกสนใจอย่างลึกซึ้ง
“วิชาจำแลงปีศาจเป็นวิชาเฉพาะของสำนัก ที่มาของวิชานี้ว่ากันว่ายาวนานมาก แต่เนื่องจากกฎของสำนักข้าจึงพูดมากไม่ได้ เจ้าลองไปเรียนรู้เองดู” เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงสนใจวิชานี้ เยี่ยหลิงก็กินเมล็ดแตงเลือดเนื้อพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าบอกแบบคร่าวๆ กับเจ้าได้ อันที่จริงฝึกบำเพ็ญวิชานี้ไม่ได้ยากมาก ที่ยากคือต้องสัมผัสรับรู้รูปสักการะปีศาจของสำนัก ย้ายมันมาในทะเลความรู้สึก หลังจากไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะใช้เคล็ดจำแลงปีศาจได้ จำแลงร่างมันออกมา และร่างตนก็จะเปลี่ยนเป็นปีศาจ”
พูดพลาง เยี่ยหลิงก็แสดงออกมารอบหนึ่ง
สวี่ชิงใจสั่น เขาคิดถึงเขาจักรพรรดิภูตของตน ในระดับหนึ่ง ก็มองเขาจักรพรรดิภูตของตนเป็นปีศาจขนาดใหญ่ตนหนึ่งได้เช่นกัน
เช่นนั้นหากตนใช้เคล็ดจำแลงปีศาจได้ จะใช้วิชานี้จำแลงเขาจักรพรรดิภูติออกมาได้หรือไม่
วิชานี้ ง่ายกว่าที่อาจารย์เคยบอกไว้มาก
สวี่ชิงใจเต้นทันที
“ชอบก็ไปเรียนสิ” ข่งเสียงหรงหัวเราะ
“สามสำนักใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับวังครองกระบี่ จึงมีสัญญาระหว่างกัน ไม่ว่าผู้ครองกระบี่คนใดสามารถใช้แต้มกองทัพส่วนหนึ่งไปเล่าเรียนวิชาของสามสำนักใหญ่ได้”
เรื่องนี้สวี่ชิงเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เมื่อได้ยินก็พยักหน้า เขาคิดว่ากลับไปจะลองไปเรียนวิชาจำแลงปีศาจนี้สักหน่อย
ตอนนี้สีท้องฟ้าเกือบจะเข้าช่วงเที่ยงวัน หลังจากคนทั้งหมดพักผ่อนจนฟื้นฟูกลับมาพอสมควร ก็ลุกขึ้นมาแล้วรีบเดินทาง
เส้นทางขากลับราบรื่นมาก ไม่มีอุปสรรคใดเลย ส่วนพวกของข่งเสียงหรงก็สนิทกับสวี่ชิงมากขึ้น จนตอนมาถึงหน้าค่ายกลส่งข้ามสุดท้าย ข่งเสียงหรงจึงเอ่ยเสียงต่ำกับสวี่ชิง
“สวี่ชิง ข้าไม่ได้จะยุยงเจ้านะ แต่แค่จะเตือนเจ้า ระวังศิษย์พี่ใหญ่เจ้าไว้ด้วย ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดี”
“ถูกต้อง เฉินเอ้อร์หนิวท่าทางเหมือนพวกหัวขโมย ประกายแสงหนึ่งจั้งสักวันหนึ่งคงได้ทรยศแน่ ข้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติมาก” ซานเหอจื่อก็ทำท่าทางข้าก็เชื่อเช่นกันนั้นอยู่ข้างๆ
เมื่อสวี่ชิงได้ยิน ก็เอ่ยอย่างตั้งใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่กับข้าผ่านเรื่องเป็นตายมามากมาย เขาเป็นหนึ่งในคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด”
ข่งเสียงหรงไม่พูดอะไรอีก ตบลงไปที่บ่าของสวี่ชิง จากนั้นแสงส่งข้ามก็สว่างจ้า ร่างคนทั้งหมดหายไป
ตอนที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่ได้อยู่ที่วังครองกระบี่ แต่เป็นในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ไม่ห่างจากเมืองหลวงเขตปกครองนัก
ที่นั่นมีค่ายกลส่งข้ามขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง ในวันปกติจะถูกอำพรางไว้ เป็นฐานที่มั่นลับของข่งเสียงหรง
นี่เป็นความคิดของข่งเสียงหรง และเป็นประสบการณ์ของเขาเอง
เขารู้สึกว่าหากตอนที่กลับไปปรากฏตัวที่ค่ายกลในวังครองกระบี่ จะต้องถูกบันทึกไว้แน่นอน
จึงเลือกส่งข้ามมายังหุบเขาแห่งนี้ แล้วค่อยแอบกลับเข้าไป ความเสี่ยงที่จะถูกพบก็น้อยลงเล็กน้อย และเมื่อผ่านไปหลายวัน ก็ยังสามารถปฏิเสธได้ว่าเพิ่งกลับมา
“ข้าแอบติดตั้งที่นี่ไว้ จนถึงตอนนี้…” ในค่ายกลส่งข้ามหุบเขา ข่งเสียงหรงยิ้มพลางเอ่ยปากกับพวกสวี่ชิง แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ขณะที่ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ค่ายกลนี้ก็ทำงานเองในพริบตา
พริบตาต่อมา ร่างของทุกคนหายไป ตอนปรากฏตัวก็มาอยู่ในวังครองกระบี่แล้ว ที่ค่ายกลส่งข้ามบนลานกว้าง
จากการปรากฏของร่างเงา จิตใจคนทั้งหมดวูบโหวงขึ้นมา และเห็นเจ้าวังที่กำลังยืนอยู่นอกค่ายกลจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมราวกับพยับเมฆ
ข่งเสียงหรงคิดว่าเจ้าวังแก้ไขค่ายกลลับของตนเองนานแล้วอย่างชัดเจน และตั้งใจมารอพวกเขาที่นี่โดยเฉพาะด้วย
ข่งเสียงหรงสั่นเครือเล็กน้อย พวกซานเหอจื่อก็มีพิรุธกันหมด สวี่ชิงก้มหน้าต่ำ เตรียมพร้อมรับการตำหนิและลงโทษ
ในฐานะผู้ครองกระบี่ การไม่ทำตามระเบียบตอนออกไปทำภารกิจด้านนอก ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
แต่รออยู่นาน ก็ไม่เห็นว่าเจ้าวังจะพูดอะไร สวี่ชิงจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าวังกำลังพิจารณาพวกเขาอย่างละเอียด ราวกับกำลังตรวจสอบอาการบาดเจ็บของพวกเขา
ที่เงยหน้าขึ้นมาไม่ใช่แค่สวี่ชิง คนอื่นๆ เองก็เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจเช่นกัน
“ยืนอยู่ตรงนี้ทำอะไรกัน คนอื่นเขาไม่ต้องส่งข้ามหรือไร ยังไม่รีบไปอีก!”
พูดจบ เจ้าวังก็หันหลังจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา
ราวกับว่าการมาครั้งนี้ของเขาก็คือมาดูว่าพวกเขาบาดเจ็บหนักกันหรือไม่ ตอนนี้เมื่อพบว่าแต่ละคนยังสภาพดีเหมือนมังกรเหมือนพยัคฆ์ จึงวางใจ
“แปลก!”
“ไม่ตำหนิ!”
“กำลังเป็นห่วงพวกเราหรือ” ทุกคนมองหน้ากัน ตื่นตระหนกระคนยินดีขึ้นมา จึงรีบร้อนเดินออกจากค่ายกล ต่างคนต่างแยกย้าย
สวี่ชิงก็โล่งอก มองไปยังทิศที่เจ้าวังเดินจากไป จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ใช่ว่าไม่น่าคบหา จึงร่างไหววูบ ออกจากวังครองกระบี่
ตอนนี้ในวังครองกระบี่ เหยาอวิ๋นฮุ่ยกับจางซืออวิ้นกำลังเดินออกมา
เหยาอวิ๋นฮุ่ยไม่พอใจตำแหน่งของลูกชายตนเองมาก เชิญอาจารย์ของจางซืออวิ้นหรือก็คือผู้ดูแลหม่าคนนั้นหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่เลี่ยง
วันนี้จึงต้องมาเจรจากับเขาด้วยตนเอง
ตอนนี้เมื่อเจรจาเสร็จ นางกำลังจะพาจางซืออวิ้นจากไป จู่ๆ ก็เงยหน้าไปเห็นสวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ
จางซืออวิ้นก็เห็นสวี่ชิงเช่นกัน ดวงตาไม่มีความอาฆาตแต่อย่างใด แต่จ้องไปที่แผ่นหลังสวี่ชิงเวลานี้เขม็ง ฉายแววมึนงงเล็กน้อย
เหยาอวิ๋นฮุ่ยชะงักฝีเท้า ช่วงนี้ไม่รู้ทำไม เมื่อนางนึกถึงสวี่ชิงทุกครั้ง ตอนที่คิดจะวางแผนเล่นงานเขาก็จะมีความคิดหนึ่งฉายขึ้นมาในสมอง ให้ตนเองนึกถึงข้อดีของสวี่ชิงให้มาก
ความคิดนี้ฉายในใจนางไม่หยุด โอบล้อมความเกลียดชังเขา ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเท่าไร สุดท้ายก็กลายเป็นความซับซ้อนซ่อนเงื่อน
เมื่อสังเกตเห็นว่ามารดาชะงักฝีเท้า จางซืออวิ้นก็อดมองไปไม่ได้ พบว่าสีหน้าของมารดาเปลี่ยนไปมาไม่หยุด จึงเอ่ยอย่างกังวล
“ท่านแม่…”
วันนี้เหยาอวิ๋นฮุ่ยสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งหรูหราสีดำขับเน้นผิวขาวนวลของนาง ยิ่งเผยทรวดทรงที่น่าหวั่นไหวมากขึ้น
โดยเฉพาะยอดปทุมถันที่นูนเด่น รวมถึงขาเรียวยาวที่วับๆ แวมๆ ในชุดกระโปรงผ้าไหม ดูแล้วสูงโปร่งเป็นพิเศษ
เอวคอดกิ่ว ขาหยกแยกกันเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะหยุดยืน เท้างามไม่ขยับเขยื้อน แต่ก็ยังเผยความเย้ายั่วยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา
เมื่อรวมกับส่วนโค้งเว้าของสะโพกงาม ทั้งหมดนี้ทำให้ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชาราวน้ำแข็งของนา ซ่อนมนต์เสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ ราวกับไฟที่ร้อนแรงในผนึกน้ำแข็ง
ตอนนี้นางมองสวี่ชิงที่อยู่ห่างออกไป ความซับซ้อนในใจก็ตีเกลียวไม่หยุด พึมพำเสียงแผ่วโดยไม่รู้ตัว
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าว่าสวี่ชิงคนนั้นดูคล้ายพ่อของเจ้าหรือไม่”
จางซืออวิ้นสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
เขาถลึงตาโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจโหมระลอกคลื่นน่าตกตะลึงที่ยากจะพรรณนา ราวกับว่าอัสนีสวรรค์นับหมื่นนับพันฟาดผ่าพร้อมกันในสมองเขา ก้องไปทั่วทั้งชั้นเมฆ ตกใจจนเสียงหลง
“ท่านพูดอะไรนะขอรับ”
เหยาอวิ๋นฮุ่ยพูดจบก็รู้สึกว่าผิดปกติ ตอนนี้สีหน้าเย็นชา เอ่ยด้วยความอึมครึม
“ขยะทั้งเพ”
พูดจบ เหยาอวิ๋นฮุ่ยก็แค่นเสียงเย็นชา ใบหน้างามล่มเมืองฉายแววรังเกียจชิงชัง เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
แผ่นหลังร่างสะโอดสะองในชุดกระโปรงยาว ขณะที่เดินทิ้งสะโพก ก็ส่งผลกับสายตาและจิตวิญญาณของผู้ครองกระบี่รอบๆ ไม่น้อย
เมื่อจางซืออวิ้นได้ยินก็ผ่อนลมหายใจ เหงื่อผุดที่หน้าผาก
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ยินท่านแม่ด่าท่านพ่อ รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายวูบหนึ่ง
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเมืองหลวงเขตปกครอง มีคนผู้หนึ่งที่มองร่างของสวี่ชิงเดินจากไป
เป็นชายชราคนหนึ่ง
เขาเบิกตาอ้าปากค้างมองทิศที่สวี่ชิงเดินไป ออกแรงขยี้ตา สองตาเบิกกว้างเมื่อแน่ใจ ใจก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
“นี่…นี่…
“นี่แม่งโชคร้ายเกินไปแล้ว!
“ทำไมยังต้องมาเจอเจ้าตะพาบน้ำที่นี่อีก!!”
คนผู้นี้ก็คือชายชราถนนทองผุด เขามาเมืองหลวงเขตปกครองครั้งนี้ก็เพื่อซื้อของที่ใช้สนับสนุนการสืบทอดของหลิงเอ๋อร์ ไม่ค่อยได้ออกมาติดต่อกับโลกภายนอกเท่าไร ตอนนี้เมื่อซื้อเสร็จกำลังจะจากไปก็เห็นสวี่ชิงเข้า
หลังจากไม่อยากเชื่อ ชายชราก็สั่น รู้สึกโชคดีมาก
“ดีที่ไม่ให้หลิงเอ๋อร์ตามมา!
“จะให้หลิงเอ๋อร์รู้ว่าเจ้าเด็กสวี่ชั่วร้ายอยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!”
ชายแก่ถนนทองผุดกัดฟันกรอด กลัวว่าจะถูกสวี่ชิงสังเกตเห็น รีบร้อนหนีไป
“ข้าจะไม่มาเมืองหลวงเขตปกครองอีกแล้ว!”