ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 406 นักโทษสิบสี่คนในเขตหนึ่งสามสอง
บทที่ 406 นักโทษสิบสี่คนในเขตหนึ่งสามสอง
เขตติงหนึ่งสามสอง ตอนนี้มีนักโทษทั้งหมดสิบสี่คน
เทียบกับนักโทษหลายร้อยกระทั่งหลายพันคนในห้องขังเขตติงเขตอื่นๆ แล้ว จำนวนนักโทษของที่นี่ก็เป็นจำนวนที่น้อยมากจริงๆ
น้อยจนสวี่ชิงไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ในสมองก็มีข้อมูลนักโทษทั้งหมดในเอกสารผุดขึ้นมา
ตอนนี้จากการเปิดออกของประตูใหญ่ห้องขังติงหนึ่งสามสอง จากกลิ่นเน่าที่ฟุ้งออกมา สวี่ชิงยืนอยู่ที่หน้าประตู จับตามองอย่างสงบนิ่ง
ในประตูใหญ่ มืดมิดไปหมด
สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่หลายชั่วอึดใจ ก้าวเท้าเข้าไป
ก้าวเข้าไปในคุกทีละก้าวๆ เดินเข้าไปในความมืด จากนั้นประตูใหญ่ห้องขังก็ปิดดังปังจากการโบกมือของเขา
เสียงดังมา ดังเข้าไปในหูของพัศดีที่จับจ้องที่นี่ทุกคน แปรเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่นในใจของเขา
ในห้องขังติงหนึ่งสามสองยังคงมืดสนิท มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อน
นั่นคือฝีเท้าของสวี่ชิง เขาไม่ได้ใช้สิทธิ์ของพัศดีจุุดตะเกียงที่นี่ เพราะเทียบกับแสงสว่างทะลุปรุโปร่ง สวี่ชิงรู้สึกว่าความมืดของที่นี่เหมาะกับตนมากกว่า
เดิมเขาก็ชอบเดินอยู่ในยามค่ำคืนอยู่แล้ว
โดยเฉพาะหลังจากที่คุ้นชินกับความมืดแล้ว ทุกอย่างที่นี่แม้จะมืดมิด แต่ก็ใช่ว่ามองเห็นไม่ชัด
เหมือนกับห้องขังที่เขาได้สังหารจนสิ้นซากห้องนั้น ใจกลางของเขตติงหนึ่งสามสองเป็นลานกว้าง รอบๆ มีห้องขังแต่ละห้องๆ เรียงราย
สวี่ชิงเดินไปยังโถงทางเดินนอกห้องขัง ผ่านห้องว่างห้องแล้วห้องเล่า จวบจนมาถึงหน้าห้องขังที่สิบเก้า ฝีเท้าเขาก็หยุดลง
นี่เป็นห้องขังห้องหนึ่ง ในนั้นมีนักโทษ
นั่นเป็นเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิหันหลังให้สวี่ชิง เป็นร่างที่สูงใหญ่นัก ส่วนศีรษะเกือบถึงเพดาน
ทั่วตัวเปล่าเปลือยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ แต่กลับมีรยางค์หยุบหยับ มีสั้นมียาว ปกคลุมอยู่บนร่างราวกับเสื้อผ้าขาดๆ วิ่นๆ
ยักษ์ตนนี้ไม่ได้ใส่ใจการปรากฏตัวขึ้นของสวี่ชิงอะไรทั้งสิ้น เหมือนกำลังกินอาหาร เสียงเคี้ยวเป็นระยะๆ ดังสะท้อนห้อง ศีรษะของเขาก็กำลังขยับไปมาหมือนว่ากำลังกัดทึ้ง
นอกห้องขัง สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งไม่ขยับ จ้องมองอย่างเย็นชา
เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายกินอยู่ผ่านเจ้าเงา คือรยางค์ของตัวเอง ตอนนี้กำลังถูกกัดกินทีละเส้นๆ
ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็เห็นรูปร่างหน้าตาของนักโทษได้อย่างชัดเจน
ข้อมูลของนักโทษปรากฏขึ้น อีกฝ่ายเป็นอสูรเมฆา
ระหว่างทางที่มา สวี่ชิงได้เห็นอสูรเมฆาที่มณฑลพระพายเมฆินทร์มาก่อน พวกมันไม่มีสติปัญญา ตัวมีขนาดร้อยจั้งขึ้นไป เงาร่างข้างหน้านี้มีขนาดเล็กกว่ามาก อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็แตกต่างไปเล็กน้อย
สวี่ชิงดึงสายตากลับมา ก้าวเท้าต่อไป ไม่นานก็มาถึงห้องขังเจ็ดแปดห้องถัดมา เห็นนักโทษคนที่สอง
นี่เป็นนักโทษหญิง
นางเป็นเผ่ามนุษย์
เนื้อตัวเต็มไปด้วบคราบไคล เต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากการกัดเป็นทางๆ
สามารถมองเห็นเลาๆ ว่าหน้าตานับว่างดงาม โดยเฉพาะรูปร่างที่ยิ่งอรชรอ้อนแอ้น ตอนนี้นางกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง ในอ้อมแขนอุ้มตุ๊กตาฟางตัวหนึ่ง เหมือนว่ากำลังกล่อมนอน
ในตอนสวี่ชิงเดินผ่าน นางรู้สึกตัวก็ยกนิ้วชี้ซ้ายแตะที่ริมฝีปาก ส่งเสียงชู่ออกมาเบาๆ
คล้ายว่ากำลังเตือนสวี่ชิงอย่ารบกวนการนอนของเด็ก
บนพื้นห้องขังที่นางอยู่ล้วนเป็นฟางแห้ง จะเห็นร่องรอยตุ๊กตาฟางที่ถูกฉีกทึ้งไม่เหลือชิ้นดีนับไม่ถ้วน
สวี่ชิงจ้องเพ่งอย่างเย็นชา เอกสารที่ผุดในสมองมีข้อมูลของสตรีคนนี้ปรากฏขึ้น นางเคยเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน มาจากสำนักมายาจำแลงปีศาจ
เมื่อหลายปีก่อนได้พบเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ กินสมบัติล้ำค่าฟ้าดินที่เหมือนกับผลอายุวัฒนะเข้าไป เดิมถูกคาดหวังไว้สูง แต่ถูกสืบพบว่านางแอบกินเด็กทารกเผ่าเดียวกันอย่างโหดเหี้ยม
เรื่องนี้สร้างกระแสฮือฮาในตอนนั้นไม่น้อยเลย
เดิมนางถูกลงโทษประหาร แต่ญาติพี่น้องของเด็กทารกที่ถูกนางสังหารอย่างทารุณโหดเหี้ยมต่างขอให้นางอยู่มิสู้ตาย ให้ได้รับความทุกข์ทนทรมาน
ตอนนี้ท่ามกลางการจับจ้องของสวี่ชิง จู่ๆ ซากตุ๊กตาฟางบนพื้นพวกนั้นก็ต่างลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จ้องผู้หญิงคนนั้นเขม็ง แล้วอ้าปากส่งเสียงคำราม กระโจนไปหานาง
รวมถึงตุ๊กตาหญ้าตัวนั้นที่อยู่ในอ้อมแขนของนางก็เช่นกัน มันพุ่งไปหาหญิงคนนั้นกัดทึ้งอย่างบ้าคลั่ง
ผู้หญิงคนนั้นตัวสั่น ปล่อยให้ตุ๊กตาฟางพวกนี้กัดตัวเอง นางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้สวี่ชิง รอยยิ้มแปลกประหลาด คล้ายว่ากำลังทักทายสวี่ชิง
สวี่ชิงมองอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับมา ก้าวเท้าจากไป เดินไปทางนักโทษคนต่อไป
เขาวนรอบโถงทางเดินไปกว่าครึ่งเช่นนี้ เทียบข้อมูลของนักโทษในนั้นทีละคนๆ ขณะเดียวกันก็สังเกตว่าพวกเขามีปัญหาหรือไม่
เขตติงหนึ่งสามสองทำไมถึงโหดเหี้ยมอันตราย สวี่ชิงไม่ได้สงสัยอะไรนัก แต่ว่าในเมื่อให้เขามาดูแลห้องขังนี้ เช่นนั้นเขาก็จะต้องควบคุมทุกอย่างของที่นี่ไว้ในมือ
จากการสำรวจ ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดต่อนักโทษเขตติงหนึ่งสามสองของสวี่ชิงคือแปลกประหลาดกว่าพวกที่เขาสังหารจนสิ้นซากพวกนั้นอย่างชัดเจน
กระทั่งว่านักโทษคนที่เจ็ดบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อไม่ได้
นั่นคือโม่ที่หมุนเองอันหนึ่ง
มันหมุนไม่หยุด แผ่พลังดูดออกมา เหมือนจะดูดวัตถุทุกอย่างในคุกเข้าไปบดให้แหลกละเอียด
เผ่าพันธุ์ประเภทนี้แม้แต่มือผีก็ไม่เคยแนะนำ ในข้อมูลนักโทษที่ปรากฏขึ้น นี่คือปีศาจหิน
เผ่าพันธุ์จำนวนน้อยที่เกิดขึ้นหลังจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน
ยกตัวอย่างอีกเช่นตอนนี้ สวี่ชิงยืนอยู่ข้างหน้าห้องขังที่สองร้อยสามสิบเจ็ด นักโทษที่ขังอยู่ในนั้นเป็นนักโทษคนที่สิบสามของที่นี่
อีกฝ่ายไม่มีร่างกาย มีเพียงแค่ศีรษะ กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นในคุก หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิง มันก็หยุด ดวงตาแดงก่ำจ้องสวี่ชิง มุมปากยิ่งฉายรอยยิ้มออกมา
“สนุกเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เจ้าตายไปแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้ สนุกจริงๆ ครั้งหน้าเจ้าจะตายด้วยน้ำมือของผู้บำเพ็ญที่ใส่หมวกฟาง แต่เจ้าตายไปแล้ว จะตายอีกครั้งได้อย่างไร
“ตายอย่างอนาถเหลือเกิน ร่างระเบิดไปแล้ว แต่หัวยังอยู่ อีกฝ่ายบอกว่าจะเอาหัวเจ้าไปยังสถานที่หนึ่ง
“อนาถเหลือเกิน อนาถเหลือเกิน
“ทุกคนกำลังหาเจ้า แต่หาไม่เจอ…ฮ่าๆ พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าถูกฝังไว้ที่ใด แต่ข้ารู้ ข้ามองเห็น
“เจ้าอยากแก้ดวงหรือไม่ ขอแค่เจ้าโยนข้าไปในห้องขังของอสูรเมฆา ให้ข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะช่วยเจ้าแก้ดวง เป็นอย่างไร
“เจ้าต้องเชื่อข้า ข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยดูแลได้ ดูแลพวกที่ไม่ตายพวกนั้น ความจริงเป็นคุณงามความดีของข้า
สวี่ชิงไม่พูดอะไร หลังจากประเมินหัวนี้อย่างละเอียดก็ก้าวเท้าจากไป ไปยังห้องขังที่ขังนักโทษคนสุดท้าย
ที่นี่ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีก
ในห้องขังไม่มีผู้บำเพ็ญ มีเพียงภาพวาดภาพเดียวเท่านั้น
ภาพวาดที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ในภาพเป็นภาพครอบครัวสี่รุ่นพร้อมหน้า ผู้ใหญ่และเด็กทั้งครอบครัวนั่งอยู่ด้วยกัน ต่างกำลังยิ้ม มีทั้งหมดยี่สิบสามคน
คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายชรา เขาที่ล้อมรอบไปด้วยหลานๆ ยิ้มอย่างมีความสุขเป็นที่สุด จิตรกรถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มองภาพวาดภาพนั้น ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายแปลกประหลาด นี่ก็เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือนเช่นกัน ชื่อว่าเผ่าจิตรกรรม
เผ่านี้ไม่อยู่ในความเป็นจริง พวกมันอาศัยอยู่ในภาพวาด
แต่พวกมันกลับบอกว่า มนุษย์ในโลกอยู่ในภาพวาด พวกมันถึงจะอยู่ในโลกความเป็นจริง
สวี่ชิงมองอยู่นานถึงจะดึงสายตากลับมา หันหลังเดินจากไป ในตอนที่กลับมายังห้องขังที่คุมขังนักโทษคนแรก อสูรเมฆาที่กำลังกินไม่หยุด จู่ๆ ก็หยุดเคี้ยว ส่งเสียงต่ำทุ้มออกมา
“อย่าเชื่อสองสามเจ็ด ไม่ว่ามันพูดอะไรก็อย่าได้เชื่อ”
สองร้อยสามสิบเจ็ด เป็นห้องขังที่ศีรษะทำทีลึกลับศีรษะนั้นอยู่นั่นเอง
สวี่ชิงไม่สนใจ เดินไปยังข้างประตูใหญ่คุกเขตติงหนึ่งสามสอง ขัดสมาธินั่งลง มองคุกมืดมิด ในดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด
นักโทษพวกนี้ เขารู้สึกว่าน่าสนใจมาก
เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ เขตหนึ่งสามสองนอกจากเสียงของแต่ละคนก็ถือว่าเงียบมาก
ไม่มีเรื่องแปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้น และไม่มีสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
สวี่ชิงยังคงนั่งขัดสมาธิเช่นเดิม การมาครั้งนี้ของเขาไม่ได้ไปสัมผัสวัตถุใดๆ และไม่ได้พูดอะไร
กระทั่งว่าไม่ว่าจะเป็นการเดินเมื่อครู่หรือนั่งขัดสมาธิตอนนี้ รอบตัวเขาล้วนตลบอวลไปด้วยพลังลูกกลอนพิษ
ไม่ได้แผ่ออกไป แค่ล้อมรอบร่างกายตัวเองเท่านั้น ใช้มันสกัดกั้นทุกอย่างจากโลกภายนอก
นี่คือความระมัดระวังรอบคอบโดยนิสัยของเขา
ส่วนความโหดเหี้ยมอันตรายในตำนานของเขตติงหนึ่งสามสอง ตอนนี้สวี่ชิงยังสัมผัสไม่ได้
เขาเตรียมค่อยๆ สำรวจ
ตอนนี้เห็นว่าหนึ่งวันกำลังจะหมดไป ถึงเวลาเลิกงาน สวี่ชิงก็ลุกขึ้นเตรียมกลับ
เมื่อวานเขายื่นขอสัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิ เวลาที่นัดไว้คือวันนี้หลังเลิกงาน
แต่ในเสี้ยวขณะที่สวี่ชิงลุกขึ้น เขาก็พลันหันไปมองยังห้องขังของหญิงสาวเผ่ามนุษย์
ในสายตาที่เห็น ตรงนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เงาร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
เขายืนอยู่หน้าห้องขังของผู้หญิงคนนั้น เหมือนว่ากำลังพูดอะไรกับอีกฝ่าย
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววโหดเหี้ยม มือขวายกขึ้นสะบัด เหล็กแหลมสีดำพุ่งไปทันที กะพริบแสงอัสนีสีแดงเป็นระลอกๆ เพียงพริบตาก็มาถึงหน้าห้องขังของหญิงคนนั้น แล้วซัดไปบนกำแพง
แต่เงาร่างของเด็กคนนั้นกลับหายไปอย่างน่าประหลาด
สวี่ชิงก้าวไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ในยามที่มาถึงข้างหน้า เหล็กแหลมสีดำที่บรรพจารย์สำนักวัชระสถิตอยู่ก็พุ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นอย่างแปลกประหลาดในใจสวี่ชิง
“นายท่าน ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนะขอรับ”
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางผู้หญิงในห้องขัง นางยังคงขดตัวอยู่ในหลืบ ยิ้มให้กับสวี่ชิง
สวี่ชิงจ้องหน้านางครู่หนึ่ง หันหลังเดินไปที่ประตูใหญ่ของห้องขัง ผลักมันออกแล้วเดินออกไปจากเขตติงหนึ่งสามสอง
จากเสียงปิดประตูดังปังของประตูห้องขังสีดำเขตติงหนึ่งสามสอง สวี่ชิงถึงได้ส่งจิตเทพให้บรรพจารย์สำนักวัชระ
“เจ้าไม่เห็นหรือ”
“เอ๋ นายท่าน เห็นอะไรหรือ ที่นั่นเมื่อครู่นี้ในสัมผัสรับรู้ของข้าไม่มีอะไรทั้งนั้นนะขอรับ” บรรพจารย์สำนักวัชระรีบเอ่ยอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็กระวนกระวายใจ
เขารู้สึกว่าตัวเองเสียความโปรดปรานแล้ว…จึงให้ความสำคัญกับโอกาสครั้งนี้มากๆ แต่เขาก็สัมผัสอะไรไม่ได้จริงๆ
สวี่ชิงขมวดคิ้ว ถามเจ้าเงาอีก
“…นาย…ไม่…” เจ้าเงาตอบกลับเสียงสั่น เหมือนกับบรรพจารย์สำนักวัชระ มันรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความโปรดปรานแล้วเช่นกัน
ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก หันกลับไปมองเขตติงหนึ่งสามสอง
ตอนนี้เขาต้องไปสัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิ ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว จึงสะกดความคิดที่จะสืบสำรวจ ไปจากกรมราชทัณฑ์
ในตอนที่ไปจากกรมราชทัณฑ์ ข้างนอกก็ใกล้พลบค่ำแล้ว ชั้นเมฆบนท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคืนนี้มีฝนแน่
สวี่ชิงไม่คิดถึงเรื่องที่เขตติงหนึ่งสามสอง ร่างของเขาทะยานขึ้นฟ้า มุ่งตรงไปยังวังครองกระบี่ แต่ในตอนนี้เอง ในหอกระบี่ร้อยจั้งแห่งหนึ่งข้างล่างพลันปะทุประกายแสงเจิดจ้าขึ้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มีแสงกระบี่หลายสิบทางยิงพุ่งออกมาจากในนั้น แผ่กระจายไปทั่วทิศ
ในหอกระบี่ยังมีชายชราชุดนักพรตผู้ครองกระบี่คนหนึ่งเหาะเหินออกมาอย่างเร่งร้อน มือทั้งสองประสานปางมือจะขัดขวาง แต่แสงกระบี่ทางหนึ่งในนั้นพุ่งมาหาสวี่ชิงทางนี้อย่างพอดิบพอดี
รวดเร็วรี่ ความแข็งแกร่งของพลังเกินพลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ นั่นเป็นการโจมตีของปราณก่อกำเนิด ประชิดเข้ามาในพริบตา
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียดพลันถอยหลังไปในทันที กวานสวรรค์ม่วงสูงสุดเหนือศีรษะยิ่งกะพริบแสงวาบ หลบอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
แสงกระบี่พุ่งผ่านข้างหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว
“สหายตัวน้อยขออภัยด้วย ขออภัยด้วยจริงๆ!!” หลังจากสวี่ชิงหลบหลีก ชายชราคนนั้นก็สกัดปราณกระบี่อื่นๆ เอาไว้ ตอนนี้มองมาทางสวี่ชิงอย่างขอโทษ
“เมื่อครู่ข้าได้ทำการค้นคว้าวิชาทว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น” ชายชรายิ้มขื่น แม้จะมีพลังบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิด แต่เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผิดมากๆ ประสานหมัดขอโทษไม่หยุด
สวี่ชิงชมวดคิ้วมองชายชราคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วกวาดตามองรอบๆ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมือนว่าอีกฝ่ายมีจิตปฏิปักษ์ อย่างไรเสียหากจะฆ่าตน ปราณกระบี่ระดับปราณก่อกำเนิดเพียงทางเดียวนั้นไม่พอ
อีกทั้งที่นี่คือเมืองหลวงเขตปกครอง อีกทั้งเพิ่งออกมาจากกรมราชทัณฑ์ หากฆ่าคนที่นี่จะต้องลงมือโจมตีให้ถึงแก่ชีวิต ถึงจะเป็นวิธีการลงมืออย่างสมเหตุผล
หลังจากขบคิด สวี่ชิงก็พยักหน้า
แม้เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่ความระแวดระวังตัวของสวี่ชิงสูงกว่า จึงสำแดงความเร็วเต็มอัตราพุ่งตรงมายังวังครองกระบี่
ไม่นานนักก็มาถึง หลังจากใช้โอกาสสัมผัสรับรู้ครั้งหนึ่งของผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ไปแล้ว จากการที่ค่ายกลในวังครองกระบี่เปิดออก เงาร่างสวี่ชิงหายไปมาปรากฏที่สัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิวังครองกระบี่
ที่นี่ไม่ต่างจากการสัมผัสรับรู้ที่โถงครองกระบี่มณฑลต้อนรับราชันสักเท่าไร เป็นหินขนาดมหึมาก้อนหนึ่งเหมือนกัน บนนั้นสลักกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้ บนพื้นรอบๆ ล้วนเป็นค่ายกล โซ่แต่ละเส้นๆ พันล้อมหินก้อนใหญ่เอาไว้
ในตอนสวี่ชิงมาถึง ที่นี่ก็มีคนเจ็ดแปดคนกำลังสัมผัสรับรู้อยู่ สายตาของเขาเพียงกวาดก็สังเกตเห็นว่าในนั้นมีสามคนที่เป็นผู้ครองกระบี่หน้าใหม่รุ่นเดียวกับเขาครั้งนี้
ตอนนี้พวกเขาทุกคนกำลังหลับตา รอบกายมีการป้องกัน
สวี่ชิงเก็บสายตากลับมา หามุมหนึ่ง ขัดสมาธินั่งลง
ก่อนหน้านี้ที่โถงครองกระบี่ อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะสำเร็จแล้ว แม้ตอนนั้นผู้ครองกระบี่โถงครองกระบี่คนนั้นจะบอกว่าในความรู้สึกของทุกคนจะเป็นแบบนี้ก็ตาม แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่ใช่แบบนั้น
เพราะในทะเลความรู้สึกของเขา เงาของกระบี่จักรพรรดิยังคงอยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้สลายหายไปทั้งหมด ยังเหลืออยู่กว่าครึ่ง
รวมกับประสบการณ์การสัมผัสรับรู้ที่ข่งเสียงหลงแบ่งปันกับพวกเขา สวี่ชิงรู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองมีความมั่นใจมากว่าจะทำได้สำเร็จ
ดังนั้นในใจของเขาจึงเกิดความหวัง ขณะที่นั่งขัดสมาธิก็หลับตาลง ประสาทสัมผัสแผ่ออก ผสานไปในหินยักษ์ข้างหน้า
ในเสี้ยวพริบตาที่สัมผัส ในยามที่ความรู้สึกเลือนรางคลุมเครือแบบนั้นในวันนั้นก็ปรากฏขึ้นข้างหน้า
แต่ครั้งนี้สวี่ชิงไม่ได้ใช้เวลาสักเท่าไรก็ทะลุหมอกเป็นชั้นๆ มองเห็นเงากระบี่ที่ธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นได้
จ้องเพ่งกระบี่จักรพรรดิ สวี่ชิงเข้าไปใกล้เรื่อยๆ กระบี่เล่มนั้นชัดขึ้นในสายตาของเขาเรื่อยๆ ท่ามกลางความเลือนรางเขาเหมือนได้ยินเสียงกระบี่ ยิ่งมองเห็นเงาร่างแต่ละร่างๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวกระบี่
เงาร่างเหล่านั้นมองเห็นไม่ชัด แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาเหมือนกัน
ชักกระบี่แล้วฟัน!
เรียบๆ ง่ายๆ
แต่กลับทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่ใช่แค่นั้น การฟันกระบี่ของเงาร่างทุกร่าง ในใจของเขาล้วนเกิดระลอกคลื่น แปรเปลี่ยนเป็นลมพายุ ดังก้องคำราม
ในยามที่พายุและเสียงคำรามยิ่งดังกึกก้องยิ่งขึ้น ท่ามกลางความรางเลือนเขาเห็นมีคนฟันกระบี่ลงมา มหาสมุทรถูกแบ่ง ใต้สมุทรเกิดเป็นร่องลึก อีกทั้งปราณกระบี่ปรากฏอยู่นาน รอยแยกไม่ประสาน
เขายังเห็นมีคนฟันกระบี่ลงมา แผ่นดินพังถล่ม พื้นดินส่วนหนึ่งของมณฑลกลายเป็นเถ้าธุลีลอยอยู่ข้างหน้า สะท้านฟ้าดิน
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นมีคนฟันกระบี่ลงมา พื้นที่ของพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งตลบม้วน สลายแหลกละเอียด ลมเมฆเปลี่ยนสี
นอกจากนี้ ยังมีกระบี่มากมายฟันไปยังต่างเผ่า ต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนตายภายใต้กระบี่นี้ เสียงโหยหวนก่อนตายคล้ายว่าในเสี้ยวขณะนี้ยังคงดังก้อง
จวบจนเขาเห็นเงาร่างที่ไม่อาจเห็นใบหน้าร่างหนึ่ง
คนคนนี้สวมชุดจักรพรรดิ ทรงอำนาจน่าเกรงขามสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เขายืนอยู่กลางท้องฟ้า ฟันกระบี่มายังตัวตนที่ลุกขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรยางค์ แผ่ไอพลังประหลาดมหาศาลตนหนึ่ง
หลังจากฟันลงมา ตัวตนที่เดินออกมาจากใต้ทะเลลึกก็ส่งเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ร่างแยกเป็นส่วนๆ ก่อนจะกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนผสมไปกับมหาสมุทร
ผู้ที่สวมชุดจักรพรรดิคือมหาจักรพรรดิวังครองกระบี่นั่นเอง
ตัวตนที่อยู่ในทะเลลึก…เหมือนจะเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง
ภาพแต่ละฉากๆ เหมือนประทับในเงาของห้วงเวลาอันยาวนาน ตอนนี้หลังจากที่ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด สั่นสะท้านจิตใจของสวี่ชิง สุดท้ายเงาร่างที่ฟันกระบี่ทุกร่างก็ซ้อนทับเข้าด้วยกัน
แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง!
กระบี่จักรพรรดิ
จิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม ตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นสามชั่วยาม เงาร่างของเขาก็หายไปจากสถานที่สัมผัสรับรู้
ในเสี้ยวพริบตาที่ลืมตา ในดวงตาของสวี่ชิงก็มีเงากระบี่พร่างพรายกะพริบแล้วหายวับไป
ในใจของเขายังหลงเหลือความตื่นตะลึง นานถึงจะสูดลมหายใจลึก สัมผัสรับรู้ทะเลความรู้สึกตัวเอง
ที่นั่น เขามองเห็นกระบี่จักรพรรดิกำลังกะพริบประกายแสงเจิดจ้าอย่างชัดเจน
กระบี่จักรพรรดิ สัมผัสรับรู้สำเร็จ!