หลังจากนั้นก็ทำการส่งตัวพวกแฟรคตันให้กับ บัลเซเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด พวกมันเห็นด้วยทุกคน แน่นอนอยู่แล้วก็ไม่ปล่อยให้พวกมันได้เปิดปากคัดค้านซักคำนินะ
ตอนนี้ อยู่ในช่วงพักพวกฉันเลยกินเข้าเย็นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
“อือ—อาหารของนายท่านอร่อยกว่าตั้งเยอะเจ้าค่ะ……”
ฉันตบหัวฟาฟเบาๆระหว่างที่เธอกำลังเคี้ยวอาหารในปาก
“จู้จี้จุกจิกมันไม่ดีนะ เพื่อเป็นการขอบคุณคนทำ กินอย่าให้เหลือล่ะ แล้วก็เคี้ยวให้มันดีๆหน่อย”
พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“รับทราบเจ้าค่ะ!”
ฟาฟ ร่าเริงขึ้นทันทีพร้อมกับยกมือขวาที่ถือซ่อมอยู่ขึ้นฟ้าและเริ่มกินต่อ ถึงแม้จะบ่น แต่โดยพื้นฐานแล้วฟาฟเป็นพวกตะกละ ขอแค่ได้กินเธอก็มีความสุขแล้ว
“เป็นพี่น้องที่ดูสนิทกันจังเลยนะคะ พวกคุณทั้งสองน่ะ?”
โรสวางศอกลงบนโต๊ะและมองมาที่พวกเราด้วยความรู้สึกเรียบง่าย
จะเรียกพี่น้องมันก็ยังไงอยู่ เพราะสำหรับฉันแล้วคิดว่าเป็นพ่อกับลูกสาวด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่ายังไง ฟาฟก็ไม่รู้ว่าสังคมมนุษย์มันคืออะไร ทำให้ต้องเริ่มสอนเธอตั้งแต่หนึ่ง
แล้วอีกอย่าง ตั้งแต่ตอนนั้นที่โรสถูกอารโนลด์คาดคั้นซะยกใหญ่ ทำให้วันถัดมาความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มดีขึ้นแล้ว เอาเถอะ กลับกันพวกอัศวินคุ้มกันของเธอเอาแต่หดหู่อย่างกับโลกกำลังจะแตกยังไงอย่างงั้นแหละ หลังจากนั้นก็ตกลงกับพวกโรสว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันซักระยะหนึ่ง โดยมีข้อแม้อยู่สามข้อ
หนึ่งคือ ห้ามสอดส่องเรื่องของทางนี้เป็นอันขาด
สองคือ อย่าออกคำสั่งหรือแทรกแซงการกระทำของทางนี้แม้แต่นิดเดียว
และสาม ตำแหน่งราชองครักษ์ของโรสเป็นเพียงตัวแทนชั่วคราวเท่านั้น จนกว่าจะมีมาตรการจัดหาผู้เหมาะสมมาแทนที่ได้
ตั้งแต่นั้นมา โรสก็ได้ปฏิบัติตามกฎอย่างน้อยสองข้ออย่างเคร่งครัด คือห้ามสอดแนมกับห้ามรบกวน
“ยิ่งไปกว่านั้น ดีแล้วเหรอ ดูเหมือนยัยนั่นจะจิตตกอย่างสมบูรณ์แบบเลยนะนั่น?”
อัศวินที่ชื่อแอนนา คงจะอดกลั้นจากการที่โดนโรสปฏิเสธพอตัว เพราะตั้งแต่นั้นมาเธอก็แยกตัวออกไปกินข้าวคนเดียว อีกะแค่พรของพระเจ้าที่มีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้จะยังไงก็ชั่งแท้ๆ เป็นเด็กที่เข้าใจยากจริงๆ
“อย่าห่วงไปเลยค่ะ ความสัมพันธ์ของฉันกับแอนนาไม่ใช่สิ่งที่เปราะบางขนาดนั้น เมื่อก่อนก็เคยทะเลาะกับเธอในลักษณะนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ ดูเหมือนครั้งนี้ท่าจะยาวค่ะ”
อย่างงี้นี่เองถึงว่า ดูพวกอาร์โนลด์กับอัศวินคนอื่นไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษ อาจจะเพราะเป็นแบบนั้น
“งั้นเหรอ แล้ว?เรื่องที่จะบอกฉันล่ะ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ไม่ถึงกับต้องให้อัศวินพวกนั้นคัดค้านหรอก ยังไงก็ไม่คิดจะร่วมโต๊ะอาหารกับเธออยู่แล้ว รู้สึกว่าอาหารจะอร่อยขึ้นถ้าได้กินด้วยกันกับฟาฟแล้วก็พวกบ้าๆบอๆในหนังสือภาพน่ะนะ
ณ จุดนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเฟนกับเก้าหางจะอาลาวาดถ้าสัมผัสได้ถึงความเป็นสัตรูจากอัศวินของโรสที่มีต่อฉัน ก็เลยให้ทั้งสองใช้ชีวิตในหนังสือภาพไปก่อน แอสต้าก็ดูเหมือนจะเกลียดพวกอัศวินของราชอาณาจักรด้วย ก็ลองชวนให้มากินด้วยกันแล้วล่ะ แต่ก็ถูกปฏิเสธ
อ๊ะ แอสต้า ก็คือแอสทารอสนั่นแหละ ชื่อมันยาวเหมือนฟาฟเนียร์ ก็เลยย่อให้สั้นลง
“คุณกลายเป็นราชองครักษ์ของฉันแล้ว เป็นอย่างนั้นสินะคะ?”
เธอยิ้มหน้าบานพร้อมกับกล่าวถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ก็บอกแล้วไง ว่าแค่มาตรการชั่วคราวจนกว่าจะเจอผู้เหมาะสม”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะเป็นราชองครักษ์ของฉันไปจนกว่าจะทำการคัดเลือกผู้เหมะสมค่ะ”
พร้อมกับพยักหน้าหลายครั้งโดยมีรอยยิ้มที่เหมือนกับสมดังใจหวัง นี่เธอเข้าใจแน่นะ พอดูสภาพของยัยนี่แล้วก็พลอยทำให้รู้สึกเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้ เอาเถอะ สิ่งที่ฉันต้องทำก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือการตามหาผู้เหมาะสมและให้มาคุ้มกันโรสในฐานะราชองครักษ์แทน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจจากการทำหน้าที่นี้
“แล้ว?”
พอกระตุ้นให้พูด โรสกระแอมทีนึงและเปลี่ยนสีหน้ามาจริงจัง
“มีเรื่องที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอกคุณในฐานะราชองครักษ์อยู่ค่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ?ฉันไม่ชอบอ้อมค้อม มีอะไรก็พูดมาตรงๆ แน่นอน ต้องเข้าใจง่ายได้ใจความด้วย”
โรสพูด ค่าค่า พร้อมกับยังไหล่ ยัยนี่ดูเหมือนจะเริ่มไม่ค่อยเกรงใจกันขึ้นเรื่อยๆรึเปล่า?
“ถึงจะยังเป็นแค่ข่าวลือ แต่มีความเป็นไปได้ว่าศึกชิงบัลลังก์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ”
ศึกชิงบัลลังก์สินะ ตามความเข้าใจก็คือ เพื่อแสวงหาราชาองค์ต่อไปรัฐบาลของราชอาณาจักรอเมเลีย จะมอบหมายบดทดสอบให้แก่เหล่าองค์ชายองค์หญิงและปล่อยให้พวกเขาห้ำหั่นกัน
อืม เริ่มจะเข้าใจสถาณการณ์ตรงหน้าขึ้นมาแล้วสิ
“เรื่องที่ครั้งนี้เธอเกือบถูกขายให้จักรวรรดิ สาเหตุก็มาจากเรื่องนั้นเองสินะ?”
“ค่ะ เกรงว่าที่กิลเบิร์ตสั่งให้ขุมกำลังของตัวเองเคลื่อนไหว สาเหตุอาจมาจาก กังวลว่าฉันจะแต่งตั้งให้เรน่าเป็นราชองครักษ์ นั่นแหละค่ะ”
“เพราะกลัวการขยายอำนาจของโรสแมรี่ที่ได้ตัวผู้ถือครองกิฟท์ นักบุญดาบมาเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์สินะ”
“ไม่ค่ะ เรื่องกิฟท์นักบุญดาบน่ะแน่นอนอยู่แล้ว แต่สาเหตุหลักๆน่าจะมาจากตัวของเรน่าเองค่ะ เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่แกนนำของราชอาณาจักและขุนนางชั้นสูงค่ะ”
เรน่าเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางชั้นสูงงั้นเหรอ ดูเหมือนจะห่างไกลจากความทรงจำของไค ไฮเนมันในอดีตมากเลยนะนั่น
ก็ยัยนั่นน่ะ เป็นตัวแทนของคำว่าสามัญชนยิ่งกว่าตัวฉันในอดีตอีก แต่ถ้าหากเรน่าเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางชั้นสูงล่ะก็ ความจริงข้อหนึ่งก็กระจ่างขึ้นมาทันที
“งั้นเองสินะ หรือก็คือ ไม่ว่าทางไหนเรน่าก็ตกอยู่ในอันตรายอยู่ดีสินะ”
ตามคาด โรสพยักหน้า
เธอเคยบอกว่าเรน่าเป็นเพื่อนสนิท จากความจำของไค ไฮเนมัน ในอดีตก็ไม่คิดว่าเธอจะโกหกหรอก แต่กลับรู้สึกขัดแย้งว่าทำไมถึงพยายามแต่งตั้งให้เรน่าเป็นราชองครักษ์กันล่ะ หรือว่า อาจจะเป็นเพราะเพื่อปกป้องตัวเรน่าเอง เพราะตราบใดที่โรสซึ่งถูกเจ้าโง่กิลเบิร์ต
มองว่าเป็นตัวอันตรายยังมีตัวตนอยู่ในราชอาณาจักรเรน่าก็จะถูกมองข้าม เรื่องที่โรสกับเรน่าสนิทกันคงเป็นที่รู้กันดี เรื่องนั้นไม่ผิดแน่ ถ้าอย่างนั้น การที่ให้มาเป็นราชองครักษ์ของโรสก็เพื่อลดความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากเงามืดและทำให้เจ้าพวกนั้นเคลื่อนไหวลำบากขึ้นด้วยงั้นเหรอ
และจากคำประกาศของโรสเมื่อกี้ อย่างน้อยตราบใดที่ฉันยังอยู่ข้างๆเธอ เรน่าก็จะไม่ตกเป็นเป้าหมาย คงหมายถึงแบบนั้นละมั้ง แต่วิธีการที่โรสเลือกใช้ในครั้งนี้ต่ำซะยิ่งกว่าต่ำอีก จนไม่น่ายกย่องเลยซักนิด
“ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็คือแฟรคตันงั้นเหรอ?”
โรสกัดริมฝีปากและส่ายหน้า
“แฟรคตันอย่างมากก็เป็นได้แค่ผู้กระทำผิดค่ะ มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องศึกชิงบัลลังก์ ทำให้เบาะแสที่จะสาวไปถึงตัวพวกกิลเบิร์ตยังเบาบางอยู่ค่ะ”
คามคาด เธอให้คำตอบในเชิงลบ
“ก็คงเป็นอย่างนั้น”
เจ้าพวกนั้นถึงกับต่อรองกับจักรวรรดิและประสบความสำเร็จทำให้การขายโรสออกไปเกิดขึ้นจริง ครั้งนี้ที่เธอรอดมาได้ก็เพราะดวงทั้งนั้นและเรื่องบังเอิญไม่มีทางเกิดขึ้นติดต่อกัน พวกมันเจ้าเลห์ในเรื่องชั่วร้ายและอย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดทิ้งหลังฐานไว้ให้สาวตัวถึงได้ง่ายๆแน่
“ไม่ว่าทางใดทางนึง ตราบใดที่ไอ้เจ้าศึกชิงบัลลังก์นั่นยังไม่เริ่มพวกเราก็ยังเคลื่อนไหวไม่ได้สินะ?”
“ตามนั้นเลยค่ะ ตอนนี้พวกเราจะมุ่งเน้นไปที่การขยายอำนาจเพื่อเตรียมรับมือกับศึกชิงบัลลังก์ที่กำลังจะเกิดค่ะ”
“รับทราบ”
การขยายอำนาจที่โรสพูดถึงก็แค่วิธีง่ายๆไม่ซับซ้อนอย่างการขอความร่วมมือจากขุนนางและเหล่าพ่อค้าที่มั่งคั่ง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีเหตุผลให้ฉันต้องเสนอหน้า และเธอก็น่าจะรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน
“ถ้างั้น พวกฉันขอตัว”
พร้อมกับแบกฟาฟที่กินจนพุงกางและเผลอหลับไปขึ้นหลัง แต่พอจะเดินกลับห้อง—
“ไค”
เสียงเรียกของโรสทำให้ต้องหยุดและหันข้ามไหล่ไปมอง
“หือ?อะไรอีกล่ะ?”
พร้อมกับตอบกลับด้วยความสงสัย
โรสลุกขึ้นจากที่นั่งก้มหัวโค้งคำนับ และ—
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณจริงๆนะคะที่ยอมรับตำแหน่งราชองครักษ์”
เป็นคำพูดที่ไม่นึกเลยว่าจะออกมาจากปากคนของราชวงศ์
พอถึงห้อง ฉันวางฟาฟให้นอนลงบนเตียงของเธอและลูบหัวเล็กนั้นทันใดนั้นเธอก็หลับสนิททันที
จากนั้นฉันก็มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสเล็กๆไร้ผู้คนด้านหลังหอพัก
อยากอยู่คนเดียวแล้วคิดอะไรซักหน่อย
ฉันไม่ได้อ่อนหัดถึงขนาดไม่เข้าใจตัวเอง ไม่ว่าจะเหตุผลใด ถ้าหากไม่รู้จักตัวเองก็คงปฏิเสธหัวชนฝาเรื่องเป็นราชองครักษ์ตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เป็นสถาณการณ์ยุ่งยากที่สุดอย่างศึกชิงบัลลังก์ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงโรสที่อ่อนประสบการณ์จะตกอยู่ในอันตรายแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่คิดว่าถึงขั้นที่ทำให้หวั่นไหวจนถึงขนาดให้ยืมพลังของตัวเองในตอนนี้หรอก ทั้งที่เป็นแบบนั้น ฉันกลับยอมเป็นราชองครักษ์ให้โรสโดยมีเงื่อนไข พอมาลองคิดดูอีกทีมันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ
กรณีของเรน่าก็เหมือนกัน หากเรน่าตกอยู่ในอันตรายก็พร้อมที่จะคุ้มกันและพาเธอกับครอบครัวลี้ภัยไปยังต่างประเทศก็ได้แท้ๆ โลกมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอ ถ้าเป็นฉันในตอนนี้ล่ะก็เรื่องแค่นั้นทำได้แน่
ทั้งที่เป็นแบบนั้น เหตุผลที่ไม่ทำแบบนั้นก็น่าจะมาจาก—
“นี่ฉันยึดติดกับยัยนั่นมากเกินไปรึเปล่านะ?”
นี่ก็อาจจะเป็นความรู้สึกของไค ไฮเนมันในอดีตเหมือนกันสินะ แม้ว่าตัวจริงจะเปลี่ยนไปแค่ไหนแต่ความทรงจำก็ยังคงอยู่ดังเดิม ความรู้สึกนั้นขับเคลื่อนโดยใช้ความทรงจำและประสบการณ์อันแสนบริสุทธ์มากมายเป็นเชื้อเพลิง บางทีการให้โรสยืมพลังอาจมาจากความต้องการของไค ไฮเนมันในอดีต ที่ส่งมอบของที่เหมือนกับบททดสอบแบบนี้มาให้ฉันในตอนนี้ก็ได้
เอาเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไหน เรื่องที่ฉันคือไค ไฮเนมัน ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ถึงยังไงก็ไม่มีเรื่องให้ทำเป็นพิเศษด้วยสิ จนกว่าจะเจอราชองครักษ์คนใหม่ของโรส ระหว่างนั้นจะเล่นด้วยกับเรื่องเด็กเล่นพรรค์นี้ไปก่อนจะเป็นไรไป”
เมื่อพูดคำที่ดูลึกซึ้งแบบนั้นออกมาจากปากอีกครั้ง ก็ทำให้ยอมรับในตัวเองได้อย่างง่ายดาย
ฉันน่ะเป็นคนเห็นแก่ตัว ตราบใดที่ตัวเองยอมรับซะอย่างที่เหลือจะเป็นยังไงก็ชั่ง
“เจ้านาย!”
ทันใดนั้น ก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักเล็กน้อยที่ปรากฎขึ้นบนหัว พอใช้มือทั้งสองจับลงมาดู ก็พบกับลูกหมาป่าสีดำจ้องมองด้วยดวงตากลมโตและส่ายหางไปมา
และลูบหัวเล็กๆนั้นเบาๆ
“อืม เฟน เบื่อรึเปล่า?”
“ท่านสามี!”
พริบตาต่อมาหญิงสาวผมเงินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าและโผลเข้ากอดฉัน พร้อมกับพวกสไลม์เข้าเกาะติดที่เท้า
“โทษทีนะที่ปล่อยปะละเลยพวกแกไป”
ใช่แล้วล่ะ ถึงจะได้ความทรงจำของตัวเองในอดีตกลับมาแต่ตัวฉันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่อย่างเดียว เป้าหมายก็คือการใช้ชีวิตตามใจชอบบนโลกใบนี้ไปพร้อมกับเจ้าพวกนี้ และ หากมีสิ่งใดมาขัดขวางจุดประสงค์นั้น ฉันก็จะบดขยี้มันให้สิ้นซาก มันก็แค่นั้น
*จบเนื้อเรื่องหลักบทหนึ่งแล้ว ตอนต่อไปขอขึ้นบทสองเลยแล้วกัน
MANGA DISCUSSION