งั้นเหรอ เป็นอย่างนั้นเองสินะ ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไม อัชเบิร์น กัสโทเรียถึงได้มอบสมยานามจักรพรรดิดาบให้ นั่นคือสิ่งที่ตัวฉันไม่มี กล่าวคือ พรสวรรค์ในการใช้ดาบนั่นเอง หรือเรียกอีกอย่างคือ มีเซนท์ในด้านดาบอย่างท่วมท้นก็ว่าได้ ถ้าเหวี่ยงดาบไปเรื่อยๆก็จะเข้าใจเอง ว่านั่นน่ะต่างกับตัวฉัน ชายคนนี้หลงรักดาบเป็นอย่างมาก
ท้ายที่สุดซิกนีลก็หลั่งน้ำตา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าสงสาร เพราะสำหรับตัวซิกนีลแล้ววิชาดาบก็เปรียบเสมือนคุณค่าของตัวเอง
“ช่วยหยุดเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ได้แล้ว ไม่ได้มีเวลาให้นายมากขนาดนั้น ดูเหมือนต้องคิดให้ดีอีกรอบสินะว่าทำไม อัชเบิร์น กัสโทเรีย ถึงได้ฝากฝังชื่อจักรพรรดิดาบให้กับนาย”
ฉันกล่าวกับซิกนีลที่ร้องไห้ราวกับเด็กและหันหน้าไปยังชายหัวเทาไร้ผม—เอนส์
“พาจักรพรรดิดาบกลับจักรวรรดิไปซะ เห็นแก่จักรพรรดิดาบ ครั้งนี้ฉันจะมองข้ามเรื่องที่พวกแกทำไป”
นี่คืออีโก้ของฉันเอง แต่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเหมือนกันแล้วก็จะขอยึดติดกับมันให้ถึงที่สุดด้วย
“นักอัญเชิญที่เอาชนะจักรพรรดิได้ดาบด้วยดาบงั้นรึ อันตราย แกมันอันตรายเกินไป”
เอนส์กัดฟันกราม ตัวแข็งทื่อ และตื่นตัวตลอดเวลา แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นความยุ่งยากในอีกความหมายหนึ่ง
“อันตรายแล้วจะทำยังไงล่ะ?บอกไว้ก่อน ที่ฉันยอบรับน่ะมีแค่ซิกนีล ที่ยอมปล่อยตัวตนชั้นต่ำอย่างพวกแกไปก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว”
“อวดดี! แต่ก็ เข้าใจแล้วล่ะ ว่าเดิมทีแล้วตัวตนอย่างแกก็ไม่มีใครหน้าไหนจะทำให้เชื่องได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ฆ่าซะตรงนี้ ไม่สิ แกต้องเป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิของพวกฉันแน่ เพราะงั้นก็ต้องขอให้แกตายมันซะตรงนี้แหละ!”
เอนส์ กระโดดไปข้างหลังพร้อมกับเริ่มร่ายเวทย์ จากนั้นวงแหวนเวทย์ก็ปรากฏขึ้น อสูรผิวแดงทั้งตัวปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ร่างกายกำยำมีเขาสองข้างงอกออกจากหน้าผาก ปรากฏตัวออกมาจากวงแหวนเวทย์
ด้วยระดับความร้อนที่สูง แม้ว่ามารตัวนั้นจะลอยตัวอยู่บนอากาศแต่ผิวดินกลับเดือดพล่าน
『ตอบรับการอัญเชิญ แล้วต้องการอะไรจากข้า?』
“ฆ่ามนุษย์ตรงนั้นซะ!”
มารไฟกอดอก เหลียวมามองฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วจากนั้นก็หันไปมองฟาฟเนียร์กับแอสทารอส
『พวกมนุษย์สามตัวนั่นก็ดีพอตัว แต่คิดว่าแค่นั้นจะพอเป็นค่าตอบแทนงั้นรึ?』
พร้อมกับใช้แค่สายหันไปทางเอนส์
คำพูดนั้นทำให้แอสทารอสขบฟันกรามและทำสีหน้าน่าสะพรึงกลัวกับฟาฟที่เหม่อลอยเหมือนไม่ได้คิดอะไร
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเจ้านั่นไม่ได้เลยซักนิด ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ว่ากระจอกกว่าพวกมนุษย์แมลงอีกไม่ใช่เหรอ
แต่ว่าแปลก มันควรจะเป็นราชาวิญญาณไพ่ลับของหกขุนพล แน่นอน ในดันเจี้ยนนั่นก็มีพวกอสูรประเภทปลอมแปลงความแข็งแกร่งอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถึงจะหายากแต่ก็ใช่ว่าจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เข้าใจคำพูดที่เจ้านั่นพูดในตอนนี้เลยซักนิด จากคำพูดของมันเมื่อกี้ที่เหมือนกับว่าตัวเองสามารถวัดค่าความแข็งแกร่งของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ
ณ จุดนี้ ด้วยผลของ【ถุงมือผนึกเทพ】ทำให้สเตตัสของตัวฉันเฉลี่ยอยู่ที่100 ส่วนของ แอสทารอสกับฟาฟเองก็เหมือนกัน ด้วยการติดตั้งไอเทมอำพรางทำให้สเตตัสถูกเฉลี่ยไว้ที่100กันทั้งคู่ เหตุผลก็ง่ายๆ แทนที่จะถูกระแวดระวังเกินความจำเป็นทำตัวให้คนอื่นไม่ระแวงมันจะส่งผลดีกว่ายังไงล่ะ ทั้งที่เป็นแบบนั้นเจ้านั่นกลับพูดว่าพวกฉันดีพอตัว
สเตตัสแค่100เนี้ยนะ? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า——
“เข้าใจแล้ว ฉันยกมานาของลูกน้องให้ แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอสำหรับค่าตอบแทนแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ก-กรุณารอเดี๋ยวครับ!”
ลูกน้องคนหนึ่งของเอนส์ ร้องขอให้เปลี่ยนใจอย่างสิ้นหวัง
“ยอมรับมันซะ เพื่อประโยชน์ของประเทศ”
เอนส์กล่าวคำสั่งตาย ตัดลูกน้องทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
“แอสทารอส ไอเทมของพวกเรายังทำงานอยู่รึเปล่า?”
“แน่นอน อย่างน้อยเหล่าคนเขลาพวกนี้ก็ไม่มีทางมองพลังของพวกข้าน้อยออกแน่”
ฟุฮ่าฮ่า!งั้นเหรอ! เป็นอย่างนั้นเองสินะ!ชายที่ชื่อเอนส์นั่นไม่ใช่หกขุนพลแต่อย่างใด เป็นแค่ผู้ติดตามของจักรพรรดิดาบเท่านั้น เห็นท่าทีหยิงยโสนั่น ก็เข้าใจผิดนึกว่าเป็นหกขุนพลไปซะได้ แล้วเจ้าอสูรไฟนั่น(?)ก็ไม่ใช่ราชาวิญญาณที่ไหน เป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น ถึงว่ากลิ่นสาบปลาซิวปลาสร้อยหึ่งเชียว ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดสเตตัสของพวกฉันอยู่กันแค่100 ยังมองว่าเก่งพอตัวอีก จริงด้วยสิ แหล่งข้อมูลก็มาจากทหารของจักรวรรดินินะ เจ้านั่นไม่มีทางยอมแบ่งข้อมูลให้ง่ายๆอยู่แล้ว แต่เดิมก็มีข้อสงสัยร้ายแรงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว ฉันมันโง่เองที่รับข้อมูลอย่างซื่อตรงโดยไม่ไตร่ตรองก่อน
ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ นั่นน่ะไม่ใช่ราชาวิญญาณแต่เป็นแค่วิญญาณร้ายเองสินะ นั่นสินะ เป็นถึงราชาวิญญาณของโลก จะเรียกร้องแค่มานาของมนุษย์ได้ยังไง
“ค่าตอบแทนอะไรนั่นไม่จำเป็นหรอก เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่ปล่อยให้แกหนีอยู่แล้ว”
ฉันชี้ปลายหอกไปทางอสูรเพลิง
『ไม่ปล่อยให้ข้าหนีงั้นรึ? ได้ใจใหญ่เลยนะ เจ้ามนุษย์?』
อสูรเพลิงยกมุมปากขึ้นพร้อมกับมองมาที่ฉันและกล่าวถามออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแต่ดวงตากลับตรงกันข้าม หงุดหงิดน่าดูเลยสินะ
“หืม แน่นอน ถ้าปล่อยให้วิญญาณร้ายอย่างแกไป รังแต่จะส่งผลเสียเปล่าๆ ต้องกำจัดทิ้งซะตรงนี้แหละ”
『บอกว่าข้าผู้นี้คือวิญญาณร้าย?』
เจ้านั่นประกาศออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา โกรธน่าดูเลยนะ อืมอืม ใช้ได้นิ ยังไงก็แล้วแต่ ถึงจะบอกว่าไม่ปล่อยให้หนีแต่ก็ไม่ได้จะทำอะไรเป็นพิเศษ
“โฮ้ หรือไม่ใช่ ถ้างั้นเป็นตัวอะไรล่ะ สัตว์ประหลาด?ไมสิ เจ้าปีศาจไฟขั้นบนสุดของดันเจี้ยนเฉพาะกิจนั่นก็สัมผัสถึงแรงกดดันไม่ได้เหมือนกัน ว่าแล้วเชียว ยังไงก็เป็นแค่ วิญญาณร้ายนั่นแหละ?”
ก็เหมือนกับพวกอสูรสีดำที่กำจัดไปเมื่อกี้ ใครมันจะไปแยกแยะพวกแมลงมีปีกที่บินหึ่งๆอยู่รอบตัวได้กันล่ะ
『ข้าผู้นี้คือราชาวิญญาณอิฟริต!!』
“ครับๆ นั่นสินะ คุณวิญญาณร้ายก็พูดแบบนั้นกันหมดนั่นแหละ คงอยากได้รับการยอมรับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่สินะ?”
ฉันไม่เคยเจอวิญญาณร้ายตัวจริงก็เลยไม่มีพลังในการโน้วน้าวใจล่ะนะ
ในที่สุดวิญญาณร้ายที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณก็มีเส้นเลือดปูดขึ้นตรงหว่างคิ้วและทั้งร่างสั่นเทิ้ม
『ย่อมได้! แค่ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาค่าตอบแทน แต่จะฉีกร่างของเจ้าพวกนี้เป็นชิ้นๆ เพื่อลดความเดือดพล่าน——』
“จ้า-จ้า- ไม่ต้องการอะไรแบบนั้นหรอก แล้วก็ นั่นน่ะไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณร้ายจะทำได้อยู่แล้ว รังแต่จะทำให้อึดอัด——“
เจ้าตัวที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณสูดลมหายใจเข้าและพ่นเปลวเพลิงแผดเผาระหว่างที่ฉันยังพูดไม่จบ แต่ไหนแต่ไร ไฟกับการเผา สำหรับฉันที่มีความสามารถในการดูดซับธาตุเดียวกันแล้ว ก็คือรางวัลดีๆนี่เอง แล้วอีกอย่างพวกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับก็ได้รับผลของดูดซับธาตุเดียวกันเหมือนกัน
『ท-ทำไมถึงยังปลอดภัย!?』
ดูเหมือนจะตกใจน่าดูเลยสินะที่ไม่ได้ผล ตาของมันเบิกกว้างพร้อมกับกล่าวถามเรื่องที่สำหรับฉันแล้วยังไงก็ชั่ง
“ไฟย่างไก่ของแกเผาฉันไม่ได้หรอก”
『บ้าน่า
ไฟของราชาวิญญาณอิฟริตผู้นี้เชียวนะ
มนุษย์อย่างแกควรถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกด้วยซ้ำ
』
ยังจะพูดแบบนั้นอีกเราะ ไอ้เจ้าที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณนี่! จะว่าไปก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกันนิ อ๊ะ จริงสิ อสูรที่เรียกตัวเองว่าเทพแห่งความชั่วร้าย กิริเมขระนั่นไง ตอนอัญเชิญออกจาก【หนังสือภาพปราบปราม】ช่วงแรกก็มีต่อต้านอยู่บ้าง แต่ด้วยผลของการดัดนิสัยอย่างจริงจังตอนนี้เลยดีขึ้นมามากแล้วล่ะ
เป็นพวกชอบเรียกตัวเองเหมือนกันด้วยสิ ฝากให้เจ้านั่นฝึกให้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ
พร้อมกับดึงเอา
【หนังสือภาพปราบปราม】ออกมาจากไอเทมบ็อกและเปิดไปยังหน้ากีริเมขระ
“ไฟของแกไม่ได้ผล!เจ้านั่นไม่ใช่เล่นๆแล้ว! อิฟริต ทุ่มหมดหน้าตักไปเลย!”
เมื่อรู้ว่าไฟใช้ไม่ได้ผล เอนส์ก็ขึ้นเสียงอย่างลนลาน ฉันไม่สนและ【ปลดปล่อย】
『ข-เข้าใจแล้ว เปลวเพลิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า เอ๊ะ……ฮี้?』
เสียงโง่เง่าหลุดออกจากปากวิญญาณร้ายที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณ เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ ตัวตนที่เรียกตัวเองว่าเทพแห่งความชั่วร้ายจมูกยาวเดินสองขาตัวใหญ่ยักษ์กำลังคุกเข่าอยู่
『โอ้! ด้วยความเลื่อมใสอันยิ่งใหญ่นายเหนือหัวแห่งข้า! ชั่งเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนักที่ครานี้เรียกแมลงขยะเช่นข้าน้อยผู้นี้ออกมา!』
กีริเมขระคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับก้มหน้าลง เอาเถอะ เรียนรู้มากเกินไปจนเรียกตัวเองว่าแมลงขยะไปซะแล้ว
“ไปให้ความรู้วิญญาณร้ายตรงนั้นทีสิ เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอย่างบอกว่าตัวเองเป็นราชาวิญญาณอยู่ได้น่ารำคาญ”
กีริเมขระหันตาทั้งสามไปยังเจ้าที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณที่ตอนนี้กำลังปากพงาบๆราวปลาเกยตื้นอยู่ ด้วยท่าทางแค่นั้นของกีริเมขระ เจ้านั่นก็ตัวกระตุกและสั่นไปทั้งตัวราวกับลูกกระต่าย
『เป็นแค่……วิญญาณร้าย บังอาจปฏิเสธวาจาของนายเหนือหัวแห่งข้า ชั่งสามหาวอะไรเยื่องนี้! ชั่งไร้มายาทยิ่งนัก !ยกโทษให้ไม่ได้! ยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด! ปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด——!!』
นั่นน่ะโกรธอยู่สินะ กีริเมขระพ่นคำพูดยาวอย่างกับประโยคเรียงความออกมาและดวงตาทั้งสามก็ถูกย้อมเป็นสีแดงพร้อมกับคำรามขึ้นฟ้า พุ่งตัวไปหาเจ้าลูกแกะที่กำลังตัวสั่น ดูเหมือนจะหมดกำลังใจในการต่อสู้ไปแล้วสินะ
เอาล่ะ มาสรุปกัน เป็นชัยชนะอย่างท่วมท้นของกีริเมขระ ไม่ต้องพูดถึงนั่นน่ะไม่ใช่การประลองด้วยซ้ำ
ห่อหุ้มด้วยเมฆสีดำรูปโดมเพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีและจัดหนักจัดเต็มใส่วิญญาณร้ายที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณ แล้วก็ไอ้จัดเต็มนั่นค่อนข้างส่งผลเสียต่อมนุษย์ธรรมดา ทำให้พวกลูกน้องของโรสที่จิตใจไม่มั่นคงหมดสติกันเป็นไปแถบๆ
『แกเป็นหนอนแมลง ใช่ไหม?』
กีริเมขระคว้าหัวปีศาจเพลิงและกล่าวถาม
『ครับ กระผมผู้นี้เป็นหนอนแมลงผู้ต่ำต้อยกว่าหนอนแมลงครับ』
เจ้าตัวที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณร้องไห้ราวกับร้องขอการให้อภัย กีริเมขระพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและคุกเข่าต่อหน้าฉัน
『หนอนแมลงตัวนี้ โปรดทิ้งไว้ในความดูแลของแมลงขยะผู้นี้ได้รึไม่ขอรับ?ข้าน้อยปรารถนาที่จะสั่งสอนมันต่อขอรับ』
ปล่อยให้กีริเมระสินะ โดยส่วนตัวแล้ว ก็อยากกำจัดวิญญาณร้ายสวะกินคนนี่โดยเร็วอยู่หรอก แต่ ก็จริงอาจจะส่งผลในการขยายประสิทธิภาพของ【หนังสือภาพปราบปราม】ก็ได้
“เข้าใจแล้ว ไปบดขยี้ความกล้าเน่าๆนั่นให้สิ้นซากซะ”
กีริเมขระคว้าหลังหัวของวิญญาณร้ายที่เรียกตัวเองว่าราชาวิญญาณที่กรีดร้องอย่างสุดเสียงและหายไปใน【หนังสือภาพปราบปราม】พอลองตรวจสอบ【หนังสือภาพปราบปราม】ดู ก็ปรากฏหัวข้อใหม่ของกีรีเมขระว่ายืนยันการเป็น【เครือญาติ】กับ อิฟริต เรียบร้อย
แม้แต่ชื่อก็เหมือนราชาวิญญาณงั้นเหรอ ให้ตายสิ ชื่อเหมือนกันทั้งทีให้ความแข็งแกร่งมันเท่ากันหน่อยไม่ได้รึไง มีเหมือนกันสินะ เจ้าพวกที่ชอบตั้งชื่อให้ดูแข็งแกร่งเพระมันเท่น่ะ
ที่เหลือก็แค่ ผู้ติดตามของจักรพรรดิดาบ เจ้าหัวล้านผ้าคลุมแดงนั่นไม่คิดเลยว่าปลาซิวปลาสร้อยแบบนั้นจะปลอมแปลงชื่อหกขุนพล ถูกหลอกเข้าให้ซะเต็มเปาเลยสินะตัวฉัน
“ด-ด-เดี๋ยว ช่วยรอเดี๋ยว ไม่สิ กรุณารอก่อนครับ! รับรองว่าข้า——”
เอนส์คุกเข่าทั้งสองข้างลงพื้นและขอร้องอย่างสิ้นหวัง
“ไม่จำเป็น แกทำเกินไปแล้ว”
ฉันใช้หอกไม้ตัดคอมันจนปลิวเพื่อขัดคำพูดนั้น จากนั้นก็หันไปมองพวกผ้าคลุมดำที่ตัวสั่นขาอ่อนจนยืนไม่อยู่
“พาจักรพรรดิดาบกลับจักรวรรดิไปซะ นั่นแหละคืองานของพวกแก ถ้าไม่อย่างนั้น——“
ขณะเดียวกับชี้หอกไม้ใส่พวกมัน ผู้ช่วยผู้บัญชาการกอดซิกนีลที่กำลังสิ้นหวังพร้อมกับวิ่งหน้าตั้ง จากนั้นพวกผ้าคลุมดำก็วิ่งหนีตามไปอย่างไม่คิดชีวิต
MANGA DISCUSSION