ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5860 ภารกิจลุล่วง (2)
เย่โจงฉวนก็ดึงสติกลับมาได้เช่นกัน ก่อนจะรีบพูดว่า: “ใช่ ๆ เฉินเอ๋อ หนูไม่กลับเย่นจิงสักที ได้ยินมาว่าคืนนี้หนูเดินทางมากะทันหัน ปู่เลยให้คนเตรียมข้าวปลาอาหารไว้ เดี๋ยวสักพักหนูอยู่เป็นเพื่อนปู่สักแก้วสองแก้วนะ”
“ได้เลยครับ”เย่เฉินพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูด: “งั้นเราก็เข้าไปกินไปด้วยพูดคุยกันไปด้วยดีกว่าครับ”
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์หลังเก่าที่เคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงวัยเด็ก เย่เฉินก็รู้สึกทั้งคุณเคยและแปลกหน้า
มาตรแม้นว่าสภาพของคฤหาสน์จะเป็นเหมือนเก่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่ครั้นเย่เฉินพักอาศัยอยู่ที่นี่ คฤหาสน์หลังนี้กลับคึกคักเสียงดังเอะอะมาก
เมื่อปีนั้น ในตระกูลเย่คุณพ่อของเย่เฉิน ฉางอิงมีชื่อเสียงโด่งดังมาก
แม้เย่โจงฉวนจะยังไม่ได้ถ่ายทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลให้เขาอย่างเป็นทางการ แต่เขาในเวลานั้นก็เป็นผู้ควบคุมตระกูลเย่ที่แท้จริงแล้ว
ภายใต้การนำพาของเขา ตระกูลเย่มีขวัญกำลังใจที่ฮึกเหิม ทั้งตระกูลเย่ก็ถูกเขาขับเคลื่อนด้วย ทำให้รักใคร่สมานฉันท์กันมาก
ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นเย่ฉางโคงหรือเย่ฉางหมิ่น ต่างก็ยินดีเป็นผู้สนับสนุนอยู่ข้างกายฉางอิง เนื่องจากพวกเขารู้อยู่ว่าการเป็นตัวประกอบอยู่ข้างกายฉางอิง บอกผลและผลประโยชน์ที่ได้รับมันดีกว่าการทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาก ๆ
ดังนั้นทุกคนจึงมีความสุขและผ่อนคลายกันมาก แค่รอฉางอิงจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ทว่าตั้งแต่ฉางอิงเสียชีวิตเป็นต้นไป ตระกูลเย่ก็สูญเสียกุญแจสำคัญที่ทำให้คนทั้งตระกูลสมานฉันท์กัน ทุกคนเริ่มไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เย่ฉางโคงคาดหวังว่าสักวันตนจะสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อ ส่วนเย่ฉางหมิ่นและคนอื่น ๆ กลับเฝ้าหวังที่จะแยกตัวออกมาจากตระใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนของตัวเองเอาไว้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลเย่ก็ไม่มีความสามัคคีสมานฉันท์ และภาพฉากที่ดูเจริญรุ่งเรืองอย่างปีนั้นอีกต่อไป
ช่วงไม่กี่ปีถ้าผ่านมานี้ จากการที่วิลล่าตระกูลเย่ถูกก่อสร้างขึ้นมา สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลเย่ก็แทบจะย้ายออกไปจากคฤหาสน์หลังเก่าหลังนี้แล้ว เหลือแค่คนบางส่วนที่คอยดูแลรักษาอยู่ที่นี่ ดังนั้นปัจจุบันมันจึงดูเงียบเหงาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขามาถึงห้องอาหาร ซึ่งบนโต๊ะถูกว่างเต็มไปด้วยข้าวปลาอาหารที่หลากหลายแล้ว
เย่โจงฉวนเชิญชวนให้เย่เฉินและหลินหว่านเอ๋อร์นั่ง ถังซื่อไห่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เปิดเหล้าขาวขวดหนึ่ง เทให้ปู่หลานทั้งสองคนละแก้ว จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านหลังเย่โจงฉวนอย่างเคารพนอบน้อม
เย่เฉินมองหน้าเขาแล้วเอ่ยปากพูด: “พ่อบ้านถังก็มากินหน่อยสิครับ”
ถังซื่อไห่รีบตอบกลับ: “ขอบคุณคุณชายมากครับ คุณและคุณท่านไม่ได้เจอกันมานาน จะได้ใช้โอกาสนี้พูดคุยและดื่มกันดี ๆ สักแก้ว กระผมไม่รบกวนแล้วล่ะครับ! มิหนำซ้ำกระผมเป็นคนรับใช้ การร่วมรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกับคุณและคุณท่านมันเป็นการทำลายกฎมารยาท”
เย่เฉินโบกมือไปมา: “พ่อบ้านถังไม่จำเป็นต้องระมัดระวังขนาดนี้หรอกครับ ผมจำได้ว่าตอนยังเด็ก พ่อผมก็ชวนคุณดื่มเป็นประจำเหมือนกัน คุณเป็นคนช่วยชีวิตผมเอาไว้ ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็ต้องขอบคุณคุณเช่นกันที่คอยดูแลผมอยู่ห่าง ๆ และผมก็อยากหาโอกาสคารวะเหล้าคุณหนึ่งแก้วพอดี วันนี้คุณอย่าเกรงใจกันเลยนะครับ”
ถังซื่อไห่พูดอย่างเคารพยำเกรง: “คุณชายอย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ เมื่อ 20 ปีก่อน สาเหตุที่กระผมสามารถพาคุณหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ ทั้งยังซ่อนคุณไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงจนเติบใหญ่ขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้น ล้วนเป็นการจัดแจงของคุณพ่อคุณชายฉางอิงของคุณ กระผมแค่ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณชายฉางอิงเท่านั้นแหละครับ……”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดต่อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ: “กระทั่งตอนนี้ กระผมพูดได้แค่ว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้ทำภารกิจอันหนักอึ้งล้มเหลว มันก็เท่านี้เองครับ……”
หัวใจเย่เฉินสั่นไหวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากถามเขา: “พ่อบ้านถัง คุณบอกว่าเมื่อปีนั้นการที่คุณพาผมหนีไป ทั้งยังจัดแจงให้ผมอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นการจัดแจงของพ่อผมเหรอ?”
“ใช่ครับ!”ถังซื่อไห่พูดโพล่งออกมา: “รวมไปถึงคนทั้งทีมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็ล้วนเป็นคนที่คุณพ่อคุณคัดเลือกแล้วทำการบ่มเพาะโดยเฉพาะเลยครับ ผู้อำนวยการจางก็เป็นลูกน้องมากความสามารถคนหนึ่งของพ่อคุณเช่นกันครับ”
เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างทอดถอนใจ: “ดูท่าพ่อคาดการณ์ได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าสักวันองค์กรพั่วชิงจะบุกฆ่าเข้ามา……”
พอพูดจบ เย่เฉินก็ใช้นิ้วชี้ไปทางที่ว่างที่อยู่ข้างกายแล้วพูดกับถังซื่อไห่: “พ่อบ้านถัง มานั่งกินด้วยกันหน่อยเถอะครับ ผมจะดื่มกับคุณสักแก้วสองแก้ว”
ถังซื่อไห่ยังคิดที่จะบ่ายเบี่ยง เย่โจงฉวนที่อยู่ข้าง ๆ จึงเอ่ยปากพูด: “ซื่อไห่ ที่นี่ไม่มีคนนอกอะไร นายไม่ต้องระมัดระวังขนาดนี้ เฉินเอ๋อเจริญเติบโตขึ้นมาได้พร้อมมีการสนับสนุนอยู่อย่างห่าง ๆ จากนาย นายจึงต้องน้อมรับการคารวะเหล้าจากเขาอยู่แล้ว”
ถังซื่อไห่เห็นว่าทั้งปู่และหลานต่างให้ตัวเองนั่ง ดังนั้นเขาจึงไม่บ่ายเบี่ยงอีก นั่งลงข้างกายเย่เฉินอย่างเคารพนอบน้อม
เย่เฉินได้กลิ่นธูปจาง ๆ ตอนนั้นจึงมองหน้าถังซื่อไห่พลางถามอย่างเรื่อยเปื่อย: “วันนี้พ่อบ้านถังไปวัดมาเหรอครับ?”