ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5813 คุณชายไม่ได้เด็ดขาด! (2)
ด้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5813
หลินหว่านเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะแล้วพูดว่า:“คุณชายคิดอะไรอยู่คะ? อย่าเพิ่งพูดถึงว่าตำนานของเซียนอิสระจะมีอยู่จริงหรือไม่จริง ถึงต่อให้เป็นเรื่องจริง เขาก็ได้บันทึกไว้ในตำนานแล้วว่า มีคนน้อยคนนักที่จะสามารถใช้อาวุธยุทธนาการได้ในช่วงระหว่างที่กำลังเอาชนะการพ้นบาป ยากที่จะหาได้สักหนึ่งคนในจำนวนหนึ่งร้อยคน อัตราความสำเร็จยังต่ำกว่าการพ้นบาปสำเร็จเสียอีก กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนจำนวน 102 คนพ้นบาป ในจำนวนนี้มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่พ้นบาปได้สำเร็จ อีกอย่างในหนึ่งร้อยคนนั้น มี 99 คนที่ถูกฟ้าผ่าขาดออกเป็นสองซีก มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่โชคดีใช้อาวุธยุทธนาการพ้นบาปได้”
พูดๆอยู่ หลินหว่านเอ๋อร์ก็ยังพูดอีกว่า:“ในเมื่อคุณชายนำเอาการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาเทียบกัน งั้นข้าน้อยก็จะนำเอานักบำเพ็ญตนทั้งหมดของการพ้นบาปมาเปรียบเทียบเป็นนักเรียนผู้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยของแต่ละรุ่น เพื่อให้ได้บรรลุไปสู่ขั้นเซียน โดยพื้นฐานแล้วก็เทียบได้กับการสอบเข้าในมหาวิทยาลัยชิงฮว๋า มหาวิทยาลัยเย่นจิง หรือไม่ก็มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ตราบใดนักเรียนผู้เข้าสอบที่ไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังเหล่านี้ได้ ตามหลักการแล้วทั้งหมดก็จะถูกคัดออกและไล่ออกจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อเข้าสู่สังคมโดยตรง และตลอดชีวิตนี้ก็จะไม่มีโอกาสกลับมาเหยียบเข้าสู่เขตรั้วโรงเรียนได้อีก”
“ส่วนเซียนอิสระ ก็คือคนโชคร้ายเหล่านั้นที่สอบได้คะแนนยังขาดแค่ 0.1 คะแนนก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อเสียงโด่งดังเหล่านั้นได้ หลังจากที่เขากลายเป็นเซียนอิสระแล้ว ถึงแม้ว่าชีวิตนี้จะสูญเสียโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยไป แต่เขามีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งก็คือได้รับอนุญาตให้เรียนต่อได้”
“แต่ทว่า เขาจำเป็นต้องเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 4 ไปจนกระทั่งมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 แต่หลังจากที่เรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 แล้ว เขาก็จำเป็นต้องหยุดอยู่ที่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 ไปตลอดชีวิต จนกระทั่งแก่ชรา เรียนจนแก่เฒ่า จะเป็นเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 ไปตลอดชีวิต”
“คุณชายสามารถลองคิดแทนดูว่า ถ้าคนคนหนึ่ง พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุสิบแปด จากนั้นเริ่มต้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 4 ไปจนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 ใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ซ้ำชั้นอยู่ที่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 อยู่อย่างนั้นไปจนกระทั่งอายุร้อยปี เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็จะมีแต่กลุ่มคนหนุ่มสาว พวกเขาบ้างก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจากไป บ้างก็เข้าสู่สังคมไปเลย ซึ่งก็จะไม่ได้พบเจอกันอีก มีเพียงเขาที่ยังคงอยู่ตรงนี้โดยไม่จากไปไหน เซียนอิสระก็คงจะมีความรู้สึกประมาณนี้แหละค่ะ”
เย่เฉินอึ้งเล็กน้อย ยกนิ้วให้กับหลินหว่านเอ๋อร์ แล้วถอนหายใจพูดว่า: “คุณหลินนี่ช่างมีพรสวรรค์สติปัญญาเฉียบแหลมจริงๆ ฟังคุณพูดแบบนี้ เบื้องต้นผมก็ได้รู้แล้วว่า เซียนอิสระคืออะไร”
พูดๆ อยู่ เย่เฉินก็หันมองไปที่ต้นกล้าพืชอีกครั้ง แล้วถามเธอว่า: “คุณหลินแน่ใจว่านี่คือมารดาแห่งชาผูเอ่อร์?”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง: “แน่ใจค่ะ! กลิ่นของเธอเหมือนกับมารดาแห่งชาผูเอ่อร์ทุกอย่าง บวกกับเรื่องบังเอิญมากมายเมื่อสักครู่ ข้าน้อยจึงสามารถสรุปได้ว่า นี่คือมารดาแห่งชาผูเอ่อร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย บ่นพึมพำว่า: “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นก็เท่ากับว่ามารดาแห่งชาผูเอ่อร์กลายเป็นเซียนอิสระของต้นไม้แล้วล่ะสิ?”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดแบบไม่ต้องคิดว่า: “ความหมายก็ประมาณนี้แหละค่ะ เพียงแต่เซียนอิสระก็เป็นแค่ตำนานเรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยเคยได้ยินมาเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีโอกาสได้หาข้อพิสูจน์ ดังนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแค่การคาดคะเนของข้าน้อยเท่านั้น”
เย่เฉินพยักหน้า นั่งยองลงด้านข้างของเธอ มองดูต้นกล้าอ่อนนั้น แล้วพูดพึมพำอย่างเพลิดเพลินว่า: “ต้นกล้าอ่อนนี้มองดูแล้วก็ธรรมดาๆ นะ ไม่มีอะไรพิเศษเลย ก็มีเพียงแค่กลิ่นหอมชาแรงๆ เท่านั้น แต่สัมผัสถึงจิตวิญญาณไม่ได้เลยสักนิด”
หลินหว่านเอ๋อร์เห็นเขามีเกิดความสงสัย จึงพูดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจมากว่า: “คุณชายคะ ที่ข้าน้อยพูดมาทุกคำล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น ข้าน้อยเชื่อว่า เธอจะต้องใช่มารดาแห่งชาผูเอ่อร์อย่างแน่นอนค่ะ!”
“ชิ……” เย่เฉินแสยะยิ้ม ในขณะที่พยักหน้าก็บ่นพำพึมไปด้วยว่า: “ยังมีเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้อยู่อีกเหรอ ช่างน่าเหลือเชื่อและเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ”
พูดๆ อยู่เขาก็ถามหลินหว่านเอ๋อร์ด้วยความสงสัยว่า: “เมื่อสักครู่คุณบอกว่าเธอเติบโตเร็วมาก ทำไม่ตอนนี้ไม่โตแล้วล่ะ?”
หลินหว่านเอ๋อร์เองก็เต็มไปด้วยงุนงง: “ตอบคุณชาย ข้าน้อยไม่รู้…..”
เย่เฉินใช้มือจับคางเอาไว้ มองดูต้นกล้าอ่อนนั้นแล้วถอนหายใจพูดขึ้นว่า: “น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ”
พูดจบ เขาก็สูดดมกลิ่นหอมของชาอันสดชื่นและยื่นมือไปเด็ดใบอ่อนจากต้นมาใบหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก ในขณะที่นำเข้าไปในปากก็พูดพึมพำไปด้วยว่า: “ให้ฉันลองชิมดูซิว่า ต้นชาสุดยอดแบบนี้จะมีรสชาติยังไง!”
หลินหว่านเอ๋อร์เห็นเขาเด็ดใบชาอ่อนมาใบหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียดายจนร้องตะโกนเสียงดังออกมาว่า: “คุณชายไม่ได้เด็ดขาด!”
คำว่า “คะ” เสียงสุดท้ายของหลินหว่านเอ๋อร์ยังไม่ทันพูดจบ มือของเย่เฉินก็รีบเด็ดใบชาออกมาใบหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้วนำเข้าไปปากเลยทันที และพูดอย่างจริงจังว่า: “สนุกคนเดียวหรือจะสู่สนุกกันหลายคน คุณก็ลองชิมดูสิ คุณดื่มใบชาของเธอมามากมายแล้ว คุณจะต้องคุ้นเคยกับรสชาติเธออย่างแน่นอน ลองชิมดูว่ายังเป็นรสชาตินั้นอยู่หรือเปล่า”
หลินหว่านเอ๋อร์แทบจะร้องไห้แล้ว พูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า: “ถึงต่อให้คุณชายกินข้าน้อยไป ก็ดีเสียยิ่งกว่ากินใบอ่อนของเธอ! เธอรอมากว่าสามร้อยปีจนวันนี้โผล่ขึ้นพ้นดินออกมา มีใบอ่อนทั้งหมดก็แค่สิบกว่าใบนั้น แถมยังถูกคุณชายเด็ดไปสองใบ ช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว…..”
“ไม่เป็นไรหรอก” เย่เฉินพูดอย่างจริงจังว่า: “คุณดูสิเธอดูมีชีวิตชีวามากขนาดนี้ ใบที่ถูกเด็ดไปก็ยังจะแตกออกมาใหม่ในไม่ช้าอย่างแน่นอน ถือว่าคุณกับผมช่วยเธอเล็มใบก็แล้วกัน เขาว่ากันว่า ต้นไม้ไม่ตัดแต่งกิ่งใบเธอไม่โตนะ”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดอย่างคับข้องใจว่า: “คุณชาย เธอเพิ่งจะแตกหน่อออกมา จะว่าไปก็ไม่ควรจะเล็มใบเธอเร็วแบบนี้……”
เย่เฉินเห็นขอบตาเธอแดงก่ำ จึงยื่นใบไม้สองใบให้กับตรงหน้าของเธออย่างทำอะไรไม่ได้ และพูดว่า: “คุณดูสิ ไหนๆ ผมก็เด็ดออกมาแล้ว จะติดกลับเข้าไปให้เธอก็ไม่ได้ อย่างมากผมก็เด็ดแค่สองใบนี้เท่านั้น ไม่เด็ด มากกว่านี้ แบบนี้โอเคไหม?”
หลินหว่านเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างไม่พอใจ พูดพึมพำออกมาด้วยความโกรธว่า: “งั้นคุณชายชิมไปคนเดียวเถอะค่ะ ข้าน้อยทำใจไม่ได้….”