ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5654 การเดินทางหลบหนี(2)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5654 การเดินทางหลบหนี(2)
เย่เฉินได้ยินถึงตรงนี้ ก็ตกใจจนพูดไม่ออกไปเลย
เดิมทีนึกว่า การหลบหนีหลายปีมานี้ของหลินหว่านเอ๋อร์ อาจจะใช้ชีวิตอยู่ที่ห่างไกลความเจริญมาโดยตลอด เพื่อหลบการไล่ฆ่า กลับนึกไม่ถึงว่า เธอถึงกับเดินทางในสถานที่ที่รุนแรงที่สุดของโลกอยู่ตลอด
ถึงขนาดที่ว่า ในกระบวนการที่ตัวเธอเองกำลังหลบหนี ยังอยากทุ่มเทความสามารถให้หัวเซี่ย ข้อนี้เหมือนกับหลินจู๋ว์หลูเป็นอย่างมาก เป็นพ่อลูกกันไม่มีผิดอย่างที่คาดไว้
คราวนี้ หลินหว่านเอ๋อร์พูดต่อว่า : “ดิฉันเพิ่งมาถึงเกาะฮ่องกาง ก็ได้รับการติดต่อกับแก๊งซิ่งหัว ผ่านความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ แต่ตอนที่ดิฉันเตรียมที่จะพบกับพวกเขา ก็โดนซุ่มโจมตีจากทหารหน่วยกล้าตายองค์กรพั่วชิงเข้า รอดจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิดจึงจะหนีออกจากปากเสือ”
เย่เฉินถามเธอ : “ตอนนั้นมีคนเผยความลับ ?”
“ใช่แล้วค่ะ” หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า พูดจากใจ : “ในตอนนั้นดิฉันไม่ทราบ คนของอู๋เฟยเยี่ยนได้เริ่มแทรกซึมถึงแก๊งซิ่งหัวตั้งนานแล้ว”
ว่าแล้ว หลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดอีกว่า : “หลังจากรอดชีวิตจากความตายในครั้งนั้น ดิฉันจึงตระหนักได้ว่า อู๋เฟยเยี่ยนได้เริ่มแทรกซึมและวางหมากตั้งแต่เอเชียจนถึงแต่ละที่ทั่วโลกแล้ว จึงไปอเมริกาใต้ที่ค่อนข้างล้าหลัง”
“คืนก่อนสงครามโลกครั้งแรก ดิฉันได้ยินมาว่าประกาศสละบัลลังก์ ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยสามวัน จึงเสี่ยงอันตรายกลับมาที่หัวเซี่ยอีกครั้ง”
“หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่เย่นจิงได้สักระยะหนึ่ง ดิฉันก็ไปท่องเที่ยวทางเหนืออยู่ชั่วเวลาหนึ่ง จนถึงประเทศญี่ปุ่นเปิดฉากอุบัติการณ์มุกเดนที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
“หลังจากอุบัติการณ์มุกเดนดิฉันก็รู้สึกว่าสถานการณ์ทางเหนือเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน จึงกลับมาที่เย่นจิงอีกครั้ง”
“หลังจากปี1937เหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล ฟาสซิสต์ของประเทศญี่ปุ่นรุกรานหัวเซี่ยรอบด้าน ดิฉันเป็นเพียงผู้หญิงบอกบาง กำลังน้อยนิด บวกกับตอนนั้นยังมีพวกเด็กที่ต้องดูแล ช่วงเวลาวุ่นวายจากภัยสงครามไม่สามารถพาพวกเขาไปหลบไฟสงครามในประเทศได้ ทำได้แต่พาพวกเขาไปสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง จนถึงสงครามโลกครั้งที่สองจบจึงจะออกไป”
เย่เฉินถามด้วยความตกใจไม่หยุด : “คุณหลบหนีมาโดยตลอด ทำไมถึงได้มีพวกเด็กที่ต้องดูแลล่ะ ?”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดเอาจริงเอาจัง : “ดิฉันเดินทางหลบหนีไปทุกที่ ตัวคนเดียวลำบากจริง ๆ บางครั้งไม่ทันระวังก็ล้มขาหัก ไม่มีแม้กระทั่งคนที่สามารถให้น้ำดื่มสักอึก ดังนั้นต่อมา ดิฉันจึงเริ่มทยอยรับเลี้ยงพวกทารกกำพร้าที่ถูกคนทิ้งและเด็กกำพร้าที่ไร้ที่อยู่เอาไว้ ดิฉันเลี้ยงดูพวกเขาไว้ที่ข้างกาย สอนให้พวกเขารู้จักตัวอักษร และเรียนหนังสือ”
“คนที่อุปนิสัยดี ในเด็กพวกนี้ ตอนที่ดิฉันเปลี่ยนที่ ก็จะพาพวกเขาไปด้วย คนที่อุปนิสัยไม่ดี ก่อนหน้าที่ดิฉันจะออกจากท้องที่ ก็จะทิ้งเงินให้พวกเขา หาคนที่เหมาะสมฝากฝังเอาไว้”
“ส่วนคนที่ดิฉันเห็นว่าอุปนิสัยไม่มีปัญหาและเก็บไว้ข้างกายพวกนั้น ดิฉันจะเลือกเวลาที่เหมาะสม บอกความลับที่ดิฉันอายุยืนไม่แก่ชราให้พวกเขา อย่างไรซะดิฉันก็เลี้ยงพวกเขาตั้งแต่เล็กจนเติบโต ต่อให้ดิฉันไม่พูด พวกเขาก็จะเกิดความสงสัยเนื่องด้วยใบหน้าของดิฉันไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ดิฉันเดินทางทั่วโลกมาหลายปี โอกาสต่าง ๆ ก็ได้ทรัพย์สมบัติมาไม่น้อย และได้สะสมอสังหาริมทรัพย์ไว้ทีละเล็กทีละน้อยในที่แต่ละที่ทั่วโลกไว้ไม่น้อย ดังนั้นเด็กที่ผ่านการทดสอบพวกนี้ รอหลังจากพวกเขาบรรลุนิติภาวะ ดิฉันจะให้ทรัพย์สมบัติและโอกาสแก่พวกเขา ถึงขนาดที่จะมอบธุรกิจบางอย่างให้พวกเขาตรวจเช็ค นานวันเข้า ก็นับว่าเป็นดอกไม้ที่บานไปทั่วทุกระหองระแหงแล้ว”
เย่เฉินถามด้วยความประหลาดใจ : “พวกเขาเป็นลูกบุญธรรมของคุณหมดเลย ?”
“ไม่นับว่าเป็นหรอกค่ะ” หลินหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วบอก : “ดิฉันไม่อยากเสียเศร้าใจเกินไปตอนที่พวกเขาจากไป เลยไม่ลืมที่จะสร้างเขตแดนทางความรู้สึกให้ชัดเจนกับพวกเขามาโดยตลอด ดิฉันให้พวกเขาเรียกดิฉันว่าคุณมาตั้งแต่เล็ก บางคนพอพูดเป็นก็เริ่มเรียกดิฉันว่าคุณ และจนถึงอายุที่ใกล้จะลงโลงแล้ว ก็ยังคงเรียกดิฉันว่าคุณอยู่ดี”