ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5550 นักพรตฉางชิง(3)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5550 นักพรตฉางชิง(3)
ในเวลาเดียวกัน
ที่ชานเมืองเย่นจิง วัดฉางหยุน
ในฐานะวัดเต๋าที่ประวัติยาวนานที่สุดในประเทศ วัดฉางหยุนสามารถเรียกได้ว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าในยุคปัจจุบัน
วัดเต๋าเต็มไปด้วยตะเกียงและธูป ลูกศิษย์ทั้งหมดของเย่นจิงที่เลื่อมใสศรัทธาลัทธิเต๋า ก็มักจะมาเซ่นไหว้บูชาที่นี่
วัดฉางหยุนมีเจ้าสำนักและเจ้าอาวาส นอกจากนั้น ยังมีลูกศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกันอีกจำนวนมาก รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 300 คน
เจ้าอาวาสของลัทธิเต๋า กับเจ้าอาวาสของศาสนาพุทธถึงแม้จะเรียกเหมือนกัน แต่หน้าที่แตกต่างกันมาก เจ้าอาวาสของศาสนาพุทธเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงสุดในวัดและรับผิดชอบกิจการของวัด ในขณะที่เจ้าอาวาสของลัทธิเต๋ามีหน้าที่หลักในการเทศนาพระคัมภีร์ เหมือนกับศาสตราจารย์ที่อาวุโสที่สุด แต่คนที่มีอำนาจสูงที่สุดในลัทธิเต๋าก็คือเจ้าสำนัก
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งที่สวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า เงยหน้าเพ่งมองอยู่ที่ประตูวัดวัดฉางหยุนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปในวัด
ทั้งวัดฉางหยุน แบ่งเป็นหน้า กลาง หลัง สามเขต แต่ที่เปิดให้ผู้ศรัทธาแสวงบุญมีแค่ลานข้างหน้าเท่านั้น ที่นี่มีสำนักตั้งอยู่หลายสำนัก โดยเฉพาะวิหารซานชิงที่อยู่ตรงกลาง ที่บูชาบรรพอาจารย์ซานชิงของลัทธิเต๋า
เขตตรงกลางและข้างหลัง ก็คือเขตพื้นที่ภายในของวัดฉางหยุน เจ้าอาวาส ลูกศิษย์ต่างก็ใช้ชีวิตและศึกษาลัทธิเต๋าอยู่ที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นเย่เฉิน ท่านเอิร์ลฉางเซิ่ง หรือจะผู้มีพระคุณที่ลึกลับไม่อาจคาดเดา รวมถึงเมิ่งฉางเชิงในภาพวาดคนนั้น พวกเขาต่างก็ต้องควบคุมปราณทิพย์ ที่ฝึกทั้งหมดต่างก็เป็นการสืบทอดของลัทธิเต๋า
ดังนั้น เรื่องแรกที่ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งก้าวเข้ามาในวัดฉางหยุน ก็คือมาในวิหารซานชิง หลังจากที่ไปจุดธูปคำนับเทพเจ้าสูงสุดทั้งสามองค์ของลัทธิเต๋าแล้ว ก็มีนักพรตตัวน้อยคนหนึ่งมาข้าง ๆ เอ่ยปากกล่าว : “สหายเต๋าท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านจะจาริกแสวงบุญอยู่ที่นี่หรือไม่ จะอยู่สักกี่วัน ?”
นักพรตตัวน้อยเห็นท่านเอิร์ลฉางเซิ่งท่าทางไม่ธรรมดา และก็มีบุคลิกเทพเซียนที่ประเสริฐเลิศล้ำ ในแบบที่ในนิยายเท่านั้นถึงจะมี อดไม่ได้ที่จะตกใจ กล่าวถามอย่างเคารพ : “ขอถามอนุญาตถามท่านพรตมาจากวัดเต๋าไหนหรือ ? มีเอกสารรับรองหรือไม่ ?”
ตามประเพณีภายในศาสนา นักพรตที่ออกจากวัดเต๋าของตนเองมาข้างนอก สามารถเข้าจำในวัดเต๋าของท้องถิ่นเป็นเวลาสั้น ๆ ได้ แต่ต้องตรวจสอบตัวตนของนักพรต เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเอาเปรียบ
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งเมื่อได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มเล็กน้อยกล่าว : “หลายปีมานี้ฉันฝึกตนอยู่โพ้นทะเลมาตลอด ไม่ได้มาที่หัวเซี่ยหลายปีแล้ว เลยไม่มีเอกสารรับรองอะไร”
นักพรตตัวน้อยพูดด้วยความลำบากใจ : “ท่านพรต ตามกฎ ถ้าท่านอยากจะเข้าจำในวัด ก็จะต้องมีเอกสารรับร้องที่ถูกต้อง ยืนยันว่าท่านเป็นนักพรตถึงจะเข้าจำวัดได้ ไม่อย่างนั้น ผู้น้อยคงให้อยู่ไม่ได้…”
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งไม่ได้โกรธ ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยปากถาม : “เจ้าสำนักของพวกนายชื่ออะไรเหรอ ? ตำแหน่งนักพรตคืออะไรน่ะ ?
นักพรตน้อยกล่าวด้วยใบหน้านับถือ : “ตำแหน่งนักพรตเจ้าสำนักของพวกเรานักพรตอิสระชิงซู”
“ชิงซู ?” ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งยิ้มเล็กน้อย : “หรือว่าจะเป็นเด็กน้อยคนนั้นที่เสวียนจีจื่อเก็บมาเลี้ยง ?”
นักพรตตัวน้อยได้ยินก็สะดุ้ง !
เจ้าสำนักนักพรตอิสระชิงซูปีนี้ก็อายุ 70 ปีแล้ว ประสบการณ์ในชีวิตของเขา ในประเทศมีชื่อเสียงมากในวัดเต๋า เขาเพิ่งจะเกิดก็ถูกทอดทิ้งที่นอกประตูวัดฉางหยุน ได้เจ้าสำนักเสวียนจีจื่อในปีนั้นรับเลี้ยง ก่อนหน้านี้หลายสิบปี ก็ร่ำเรียนวิชาเต๋าอยู่ข้างกายเสวียนจีจื่อมาตลอด ต่อมาก็รับช่วงต่อเป็นเจ้าสำนัก พูดได้ว่า อุทิศตัวให้กับลัทธิเต๋าทั้งชีวิต เป็นอาจารย์ที่แท้จริงของสมัยนี้
อาจารย์ที่ประสบการณ์สิตปัญญาอาวุโสเช่นนี้ กลับถูกท่านเอิร์ลฉางเซิ่งเรียกว่าเด็กน้อยในตอนนั้น นักพรตตัวน้อยต้องสะดุ้งเป็นธรรมดา เขาอดไม่ได้ที่จะถามท่านเอิร์ลฉางเซิ่ง : “ท่านพรตท่านนี้ ท่านรู้จักเจ้าสำนักของพวกเราด้วยเหรอครับ ?”
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งพูดอย่างไม่ยี่หระ : “ฉันไม่ใช่แค่รู้จักเขา เขาตอนเด็ก ฉันยังเคยอุ้มเลย”
“ห๊ะ ? !” ทันใดนั้นนักพรตตัวน้อยตะลึงงันปากค้างตาค้าง !
เขาไม่หยุดพูดพึมพำ : “ท่านพรตเจ้าสำนักของพวกเราอายุ 70 แกว่าแล้วนะ ท่านอุ้มเขาตอนเขาเด็ก อย่างนั้นท่านก็อายุไม่ต่ำกว่า 90 แล้วเหรอครับ ? แต่ผมดูคุณ เหมือนกับแค่ 60 ปีอยู่เลย…”
ท่านเอิร์ลฉางเซิ่งยิ้มกล่าว : “ฉันพูดกับนายไม่ชัดเจน นายไปรายงานเขาได้ บอกว่านักพรตฉางชิงอยากจะพบเขา”
“นักพรตฉางชิง…” นักพรตตัวน้อยพูดพึมพำ ถึงแม้ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนักพรตนี่มาก่อน แต่เห็นท่าทางความรู้ความสามารถที่ไม่อาจคาดเดา ก็ไม่กล้าดูแคลน เลยพูดว่า : “เชิญท่านพรตตามผมมาที่ห้องรับแขก ผมจะไปรายงานกับอาจารย์ และค่อยให้อาจารย์ไปรายงานกับเจ้าสำนัก !”