ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 4220 ให้โอกาสเขาในการกลับตัว
คำถามของเย่เฉินทำให้หยวนจื่อซูลนลานอยู่บ้าง เขายากจะซ่อนความประหม่าเอาไว้และพูดว่า “คุณเย่ คุณอย่าโกรธเลย…ถ้าคุณยังรู้สึกไม่สะใจ ผมจะตบให้ฟันเขาหลุดสักกี่ซี่…ถ้ายังไม่พออีก ไม่พออีกละก็ผมก็จะหักขาของเขาซะ! จะต้องทำให้คุณพอใจแน่!”
เย่เฉินโบกมือและพูดเสียงเรียบว่า “ไม่จำเป็น ตอนเที่ยวเขาหาเรื่องฉัน ฉันปล่อยให้เขาคุกเข่าในร้านอาหารจนถึงตอนนี้ไปแล้ว ตอนนี้ เขาก็น่าจะรู้ความผิดพลาดของตัวเองแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ จางชวนก็รีบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างจริงจัง “คุณเย่ ผมรู้ความผิดแล้วจริงๆ! ได้โปรดคุณช่วยละเว้นด้วย…”
เย่เฉินพยักหน้าและเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันจะไม่ถือสาเอาความกับนายต่อไปอีก”
จางชวนได้ยินดังนี้ก็ซาบซึ้งสุดขีดและรีบคุกเข่าโขกคำนับลงบนพื้นและตะโกนว่า “ขอบคุณเย่สำหรับความเมตตา! ขอบคุณ!”
เย่เฉินพูดเสียงเรียบ “นายไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันเร็วขนาดนี้ ฉันจะไม่เอาความนายอีกก็จริง แต่ฉันจะไม่ช่วยให้นายกู้คืนพลังวิชากลับมา นั่นเพราะนี่คือสิ่งที่นายต้องจ่ายสำหรับความผิดพลาดของนาย”
การแสดงออกที่ตื่นเต้นในตอนแรกของจางชวนเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที
เขาถึงกับร้องไห้และอ้อนวอนออกมา “คุณเย่ ตั้งแต่เด็กผมก็ฝากตัวเป็นศิษย์เข้าสำนักเพื่อฝึกฝนวิชาบู๊ หลังจากฝึกฝนอย่างยากลำบากมาหลายสิบปีถึงค่อยประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเช่นวันนี้ หากคุณไม่สามารถกู้คืนพลังวิชาของผมได้ ยางนั้นผมก็อยู่ไม่สู้ตายแล้ว…”
หยวนจื่อซูซึ่งอยู่อีกด้านเองก็รีบโค้งคำนับและพูดว่า “คุณเย่ แม้ว่าศิษย์น้องจะมีนิสัยมุทะลุไปบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาฝึกฝนหนักมาหลายปีอย่างยากลำบาก ผมหวังว่าคุณจะเห็นแก่ที่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรใหญ่โตนัก ให้โอกาสเขาได้กลับตัวใหม่อีกครั้ง”
เย่เฉินโบกมือแล้วพูดว่า “ถ้าจะพูดเรื่องลำบาก ทุกคนก็ลำบากทั้งนั้น นายคิดว่ามันง่ายสำหรับเฟ่ยฮ่าวหยางที่จะมีชีวิตอยู่หรือไง? 20 ปีมานี้เขาเองก็ผ่านการกินข้าวมาทุกมื้อๆถึงจะโตขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือไง? หรือว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่จะยกโทษให้เขาได้เหมือนกัน”
หยวนจื่อซูพูดไม่ออก
จางชวนแทบจะทรุดไปทันที สำหรับเขาแล้ว หากไม่สามารถฟื้นฟูพลังวิชาได้ ชีวิตที่เหลือของเขาก็แทบจะเท่ากับสูญเปล่าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หยวนจื่อซูไม่กล้าที่จะขอร้องเย่เฉินแทนเขา ท้ายที่สุดแล้ว หยวนจื่อซูเองก็ไม่มีมิตรภาพอะไรกับเย่เฉิน คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักสำคัญต่อหน้าเย่เฉิน
ในเวลานี้ จู่ๆเย่เฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขามองไปที่หยวนจื่อซูและเอ่ยปากถามว่า “ก่อนหน้านี้มีผู้ชายแซ่ลั่วเองก็น่าจะมาจากสำนักของพวกนายเหมือนกันใช่ไหม?”
หยวนจื่อซูตกใจและโพล่งออกมา “เป็นลั่วเจียเฉิงของตระกูลลั่วหรือ? ก่อนหน้านี้เขาหายตัวไปในจินหลิง หรือว่าเขาอยู่ในมือของคุณเย่งั้นหรือครับ?!”
เฟ่ยเข่อซินที่อยู่ด้านหนึ่งไม่มีท่าทีใดๆเปลี่ยนไป นั่นเพราะเธอเดาได้นานแล้วว่าลั่วเจียเฉิงต้องอยู่ในมือของเย่เฉิน และเหตุผลที่เธอไม่พูดถึงเรื่องนี้กับเย่เฉินก็เพราะเธอยังไม่เจอโอกาสเหมาะสมที่จะพูดได้
ในเวลานี้เย่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “เขาอยู่ในมือฉันจริงๆ ถ้าฉันจำไม่ผิด ความแข็งแกร่งของเขาต่ำกว่านายเล็กน้อย แต่ก็แข็งแกร่งกว่าจางชวนเล็กน้อยเช่นกัน”
หยวนจื่อซูพยักหน้าด้วยความตกใจและกล่าวว่า “ถูกต้องครับ…ศิษย์น้องลั่วเป็นนักบู๊หกดาว เดิมทีเขาจะต้องรับหน้าที่รับใช้ตระกูลเฟ่ยต่อจากผม แต่ไม่รู้ว่าเขาไปทำให้คุณเย่ขุ่นเคืองด้วยเหตุใด?”
เย่เฉินยิ้มน้อยๆ “ไม่ถึงกับมาทำให้ฉันขุ่นเคือง แต่ตอนนั้นคุณหนูเฟ่ยพยายามอย่างยิ่งที่จะตรวจสอบฉันในจินหลิง ฉันเห็นว่าบอดี้การ์ดรอบตัวเธอกำลังขัดขวางฉัน ก็เลยเชิญให้เขาไปอยู่ในฟาร์มสุนัขของฉันสักสองสามวัน”
การแสดงออกของหยวนจื่อซูในเวลานี้ขมขื่นเป็นพิเศษ
แม้ว่าที่สำนักของเขาจะมีลูกศิษย์หลายคน แต่ก็มียอดฝีมือเพียงไม่กี่คนที่สามารถลงมือปฏิบัติจริงได้
เขาคนหนึ่ง ลั่วเจียเฉิงคนหนึ่ง บวกกับจางชวนอีกคน ก็แทบจะถือเป็นยอดฝีมือเหนือยอดฝีมือกว่าครึ่งของสำนักไปแล้ว