ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 8 หยุดฤดูร้อน
ฟุยุสึกิสวมหมวกไหมพรมสีเหลือง วันนี้ดูเหมือนหน้าตาจะสดใสกว่าปกติ
เจ้าตัวบอกว่าคงจะเริ่มชินกับยาแล้ว อาการข้างเคียงเลยเบาลง พอพูดคุยเรื่องเด็กๆ ในช่วง Kids Time ฟุยุสึกิก็เริ่มง่วงนอนแล้วหลับตาลง
เธอหายใจเบาๆ โดยไม่ส่งเสียงอะไร
ที่ริมหน้าต่างมีดอกไม้ไม่คุ้นตาประดับไว้อยู่ เป็นดอกไม้ที่มีดอกสีขาวติดอยู่บนก้านหนา เมื่อเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นหวานหอมก็ลอยโชยมา
“คุณโซราโนะ?”
“หืม?”
“นึกว่าหายไปไหนซะแล้วค่ะ”
“ก็อยู่ตรงนี้ไง”
“เล่นเงียบแบบนี้ ก็น่ากลัวเหมือนกันนะคะว่าจะโดนแกล้งรึเปล่าเนี่ย”
“คิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนล่ะ”
“เป็นคนที่เซ้าซี้แล้วก็ไม่ยอมแพ้”
“เอ่อ…”
ในขณะที่ผมทำท่าเหมมือนไหล่ตกกำลังจะยอมแพ้ ฟุยุสึกิกลับยิ้มอย่างมีความสุข
“ยา…” ฟุยุสึกิพูดเบาๆ “เหมือนยาจะได้ผล รู้สึกว่ามันเล็กลงนิดหน่อยค่ะ”
สักพักหนึ่ง ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมทั่วห้องราวกับทุกสิ่งได้หยุดนิ่ง
ผมพูดอะไรไม่ออกกับข่าวที่ไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นเรื่องดีแบบนี้ จึงได้แต่มองฟุยุสึกิอยู่นิ่งๆ
“จะ…จริงเหรอ”
ผมเผลอพูดออกมาเสียงดัง
“ดีใจด้วยนะ”
คำว่า “ดีใจด้วยนะ” นี้ ไม่ใช่แค่สำหรับฟุยุสึกิ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองก็ได้รับเช่นกัน
แต่ใช่ว่าความรู้สึกนั้นมันจะถูกลบล้างไปเสียหมด
“อื้ม ดีใจจริงๆ ค่ะ”
“ก็พยายามมานี่นะ”
น้ำตาไหลออกจากหางตาของฟุยุสึกิ
พอเธอพูด ขอทิชชู่หน่อย ผมก็ส่งให้
แม้ว่าจะทำตัวเข้มแข็งมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเธอก็ยังกลัวอยู่
ผมจึงเปลี่ยนเรื่องจากคุยเรื่องป่วย แล้วหันไปคุยเรื่องดอกไม้ในแจกันนั้นแทน
“ดอกไม้สีขาวที่วางอยู่นี่หอมดีนะ”
“ชื่อว่าดอกฮามะยู ค่ะ คงจะเป็นคุณแม่ที่เอามาวางไว้ให้ เพราะเป็นดอกไม้ที่ฉันชอบค่ะ”
“เห”
“อ๊ะ อีกแล้วนะคะ คำว่า ‘เห’ เนี่ย”
“หืม?”
“ไม่สิ สงสัยจะเป็นคำติดปากสินะคะ”
“งั้นเหรอ”
“ใช่สิคะ พูดบ่อยจนฉันจำได้เลยนะคะ”
พอผมพูด “เห” ออกไป ฟุยุสึกิก็หัวเราะเบา ๆ
จะว่าไป ผมก็พูดคำนี้บ่อยจริงๆ นั่นแหละ
“ว่าไปแล้ว ดอกไม้ดอกนี้เธอก็ใช้เป็นไอคอน LINE ด้วยนี่นะ”
เมื่อผมพูด ฟุยุสึกิไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและทำหน้าเศร้าสร้อยที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก
*
ในวันถัดมา
เมื่อไปเยี่ยมฟุยุสึกิที่ห้อง ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ผ้าห่มบนเตียงสีขาวถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านผ้าม่านลูกไม้สีขาวที่หน้าต่างเข้ามาในห้อง
บรรยากาศให้ความรู้สึกเหงาๆ อย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
ผมเริ่มเดินเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ออกจากห้องแล้วเริ่มตามหาฟุยุสึกิ ฟุยุสึกิ ฟุยุสึกิ เธอหายไปไหนกันนะ
และแล้ว ผมก็พบเธอที่ตรงหัวมุมของทางเดิน เธอกำลังเดินไปข้างหน้าพร้อมพิงราวจับที่อยู่ต่ำกว่าระดับเอว
“ฟุยุสึกิ! เกิดอะไรขึ้นหรอ?”
“อ๊ะ คุณโซราโนะเหรอคะ?”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน! แล้วเธอจะไปไหน?”
“ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ แค่ฉันนอนติดเตียงมานานจนกล้ามเนื้อลีบไปแล้ว เลยต้องเดินบ้าง ไม่อย่างนั้นโรคมันจะชนะเราได้น่ะคะ”
ฟุยุสึกิยังคงเดินตามราวจับ แล้วค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว พร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ เมื่อเธอเดินผ่านระหว่างห้องที่ไร้ราวจับ เธอก็พยายามคลำหาผนังของห้องแล้วเดินต่อไปอย่างสุดความสามารถ
“หมอบอกว่าเธอทำแบบนี้ได้เหรอ อย่าฝืนมากไปเลยนะ”
“ก็…”
ฟุยุสึกิหันมาทางผม พร้อมเอนหลังพิงราวจับ
แม้ว่าจะมีเหงื่อผุดที่หน้าผาก แต่เธอก็ยังไม่หยุดยิ้ม
เธอยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วพูดขึ้น
“ก็วันงานดอกไม้ไฟ ถ้าเดินเองไม่ได้มันน่าเสียดายใช่ไหมล่ะคะ ฉันเลยตั้งใจว่าจะพยายามจนถึงวันนั้นค่ะ”
เธอยิ้มพร้อมกับทำหน้าเหมือนล้อเล่น
“ช่วยให้กำลังใจฉันหน่อยสิคะ”
“เดี๋ยวขากลับจะช่วยพยุงกลับนะ”
“งั้นขอแขนซ้ายได้ไหมคะ”
ฟุยุสึกิเอื้อมมือคลำในอากาศจนจับแขนซ้ายของผมไว้ แล้วค่อยๆ ก้าวเดินอย่างช้าๆ ทีละก้าว
เราเดินวนรอบทางเดินแล้วกลับไปยังห้องของเธอ
“ฉันจะไม่ยอมแพ้ค่ะ”
ฟุยุสึกิพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่เธอมองตรงไปยังปลายทางเดินด้วยสายตาที่มองไม่เห็น
ในวันถัดมา
อาการของเธอก็ได้ทรุดลง และหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ พยาบาลก็สั่งห้ามเข้าเยี่ยมชั่วคราว
*
โดยทั่วไปแล้ว วันหยุดฤดูร้อนของนักศึกษามหาลัยมักจะเป็นช่วงเวลาที่ว่างเปล่า ถ้าไม่เติมเต็มด้วยการกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวหรือทำงานพิเศษก็มักจะว่างจนไม่มีอะไรทำ
ปกติผมอาศัยอยู่กับนารุมิ แต่พอรูมเมทไม่อยู่ ห้องที่เงียบสงบก็ดูว่างเปล่าและผิดแปลกขึ้นมา เพราะไม่มีแอร์จึงเหงื่อออก ตัวเหนียวเหนอะ ความร้อนทำให้หงุดหงิดง่ายขึ้น แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่สบายใจก็คืออาการของฟุยุสึกิ
เบื่อ แต่ก็ไม่ได้อยากทำงานอะไรเลย
จะไปเยี่ยมฟุยุสึกิก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ให้เยี่ยม
ว่าตามตรงแล้วผมไม่มีอะไรทำเลย
ไม่อยากกลับบ้านเกิด ไม่ได้มีเพื่อนไปเที่ยวด้วย และที่สำคัญคือไม่มีตัง
พอผมติดต่อไปหาฮายาเสะ เธอบอกว่ากำลังไปที่บริษัทผลิตดอกไม้ไฟ ผมเลยตัดสินใจตามไปด้วย
หลังจากต่อรถไฟไปยังบริษัทผลิตดอกไม้ไฟก็ได้เจอรุ่นพี่โคโตมุงิที่กำลังทำงานพิเศษอยู่ ตั้งแต่เขาเจอที่คั่นหนังสือของฟุยุสึกิแล้วให้ผมมา ผมรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณเขาอยู่สักครั้งเหมือนกัน พอรุ่นพี่ทักว่า “มาช่วยกันหน่อยโซราโนะคุง” ผมก็ตอบตกลงอย่างไม่รีรอ
รุ่นพี่ยกลูกดอกไม้ไฟขนาดประมาณลูกแตงโมเล็กๆ หลายลูกไว้อยู่ระดับอกด้วยความสนุกสนานแล้วพูดว่า “เดี๋ยวเราจะย้ายไปตรงนู้นกันนะ”
ดูเหมือนว่าจะต้องนำลูกดอกไม้ไฟไปตากกลางแดดให้แห้ง พวกเราจึงต้องขนย้ายจากโซนเก็บความเย็นมายังด้านนอก
ส่วนทางด้านฮายาเสะก็ยืนเชียร์อยู่ในร่มว่า “สู้ๆ นะ”
พอผมบอกว่า “พักกันหน่อยเถอะครับ” รุ่นพี่ก็ชี้ไปที่หน้าต่างเล็กๆ ของบริษัทผลิตดอกไม้ไฟ ราวกับรุ่นพี่ชวนให้ไปดูด้วยกัน
“ตอนนี้กำลังแปะกระดาษที่ลูกดอกไม้ไฟกันอยู่” รุ่นพี่พูดขึ้น
คนงานกำลังแปะกระดาษที่หนากว่ากระดาษไว้ขอพรเล็กน้อยลงบนลูกดอกไม้ไฟที่ขนาดเท่ากับลูกซอฟต์บอล แต่ละคนจะมีผ้าขนหนูคล้องไว้อยู่ที่คอ สำหรับใช้เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผาก
“การแปะกระดาษคืออะไรครับ?”
“เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำดอกไม้ไฟน่ะ เราจะเอาดอกไม้ไฟครึ่งลูกที่อัดดินปืนไว้สองลูกประกบเข้าหากันแล้วแปะด้วยเทปกระดาษเพื่อที่จะให้ติดกันง่ายๆ หลังจากนั้นก็ติดกับเทปกาวกระดาษคราฟท์ ทำแบบนั้นอีกหลายๆ ชั้น แล้วตอนสุดท้ายมันก็จะได้ออกมาเป็นเหมือนตัวอักษร 米”
“เหนื่อยน่าดูเลยนะครับ”
“มันคืองานใช้แรงน่ะ พอแปะกระดาษเสร็จแล้วก็จะต้องกลิ้งลูกดอกไม้ไฟกับแผ่นกระดานเพื่อไล่อากาศออกแล้วก็เอาไปตากแดดให้แห้ง พอแห้งแล้วก็ติดเทปกาวกระดาษคราฟท์อีกรอบ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ แบบนี้เพื่อให้ความดันภายในระเบิดออกมาเป็นวงกลมที่สวยงาม”
ผมมองดูพวกเขาที่กำลังแปะกระดาษลงบนลูกดอกไม้ไฟซ้ำไปมาอย่างสม่ำเสมอจนพูดได้แค่ “เหนื่อยน่าดู” ด้วยน้ำเสียงพื้นๆ
“ที่เราต้องแปะหลายชั้นแบบนี้ก็เพื่อสร้างแรงในการระเบิด นั่นล่ะเหตุผลที่ทุกคนชอบดอกไม้ไฟกัน”
“หมายความว่าไงครับ?”
เมื่อผมถาม รุ่นพี่ยิ้มให้แล้วพูดขึ้น
“ทุกคนย่อมมีสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจใช่ไหมล่ะ ใครๆ ก็ชอบดอกไม้ไฟก็เพราะมีเสียงดัง ‘ปัง!’ ตอนละเปิด เพราะมันดัง ปัง นี่แหละ ทุกคนเลยอาจจะเห็นตัวเองในดอกไม้ไฟที่ระเบิดเลยมองขึ้นไปหามันยังไงล่ะ”
*
ในคืนนั้น ระหว่างที่ผมกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงในหอพัก ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ที่ไม่ได้คุยกันมาสักพักใหญ่แล้ว
เมื่อได้ยินเสียงของแม่ แม้จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แต่กลับรู้สึกเหมือนเพิ่งคุยกันไปเมื่อวาน พวกเราคุยกันเรื่องการเรียนและชีวิตในหอ จากนั้นแม่ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงโล่งอกโล่งใจ แล้วทัก
“ลูกไม่กลับบ้านมาบ้างเหรอ?”
“ยังอะ… ยังไม่มีแผนเลย”
“มีแฟนแล้วใช่ไหมเนี่ย”
“ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ”
แม่พูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่นว่า “ก็อยู่มาตั้งสามเดือนแล้ว น่าจะมีแฟนสักคนสองคนได้แล้วสิ โตเกียวไม่เหมือนที่นี่นะ สาวเยอะจะตายไป”
“แล้วแม่ยังอยู่กับลุงดีใช่ไหม?”
“ดีสิ”
มีคนๆ หนึ่งอาศัยอยู่กับแม่ ผมได้เจอกับคนๆ นั้นสมัยผมเรียนจบม.6 ซึ่งคนๆ นั่นคือคุณลุงที่ทั้งใจดีและอ่อนโยน เพราะผมไม่อยากไปขัดจังหวะความสุขของพวกเขาจึงรู้สึกเกรงใจที่จะกลับบ้านขึ้นมา
“เอ่อ…ขอถามอะไรที่ฟังดูแปลกๆ หน่อยนะ”
“อะไรล่ะ?”
“ถ้าคุณลุงป่วยจนต้องเข้าโรงบาลขึ้นมา แม่จะทำยังไงหรอ?”
“ก็คงไปเยี่ยมทุกวันล่ะมั้ง”
“แต่เขาป่วยหนักมากนะ”
“ก็จะจับมือเขาไว้จนถึงวันสุดท้าย”
แม่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายโดยไม่ต้องไปถามเหตุผลเพิ่มเติมอะไร
“แม่นี่เข้มแข็งจัง”
“ไม่ว่าใครพอกลายเป็นแม่คนแล้วก็จะเข้มแข็งขึ้นมาเองนั่นแหละ”
“ไม่มีวิธีง่ายกว่านี้บ้างหรอ”
“ไม่ต้องเข้มแข็งขนาดนั้นก็ได้ ไม่รู้แม่จะพูดแบบนี้ดีรึเปล่า แต่แม่คิดว่าลูกโตมาเป็นเด็กที่อ่อนโยนมากเลยนะ”
“โถ่ แม่ อย่าพูดแบบนั้นสิ”
ผมรู้สึกเขินอายจนหูร้อนผ่าว
“ที่เว้นระยะห่างกับคนอื่นอยู่เพราะลูกยัง(อยู่ในวัย)ใสๆ อยู่สินะ”
“พอเถอะน่า แม่”
“เพียงแค่อยากอยู่ค้างใครสักคน มันก็ไม่สำคัญหรอกนะว่าจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอหน่ะ”
──ไปอยู่ข้างเขาเยอะๆ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“ขอบคุณครับ”
ผมพูดขอบคุณออกมาโดยไม่รู้ตัว
แม่จบบทสนทนาด้วยการพูดทิ้งท้ายว่า “เดี๋ยวจะส่งเงินไปให้นะ” ก่อนจะวางสายไป ราวกับรู้ว่าผมอยากพูดเรื่องเงินแต่ไม่กล้าบอกตรงๆ
ผมนอนลงบนเตียงและจ้องมองเพดาน
อยู่ๆ ก็รู้สึกคิดถึงฟุยุสึกิขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสียงจักจั่นพร้อมสายลมอุ่นๆ พัดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่
*
หลังจากทางโรงพยาบาลเปิดให้เยี่ยมได้ตามปกติ ผมก็เข้าไปเยี่ยมเธอทุกวัน
ตั้งแต่เข้าเดือนสิงหาคมมา อากาศก็ร้อนขึ้นทุกวัน
ดวงอาทิตย์บนฟ้าส่องแสงขาวจ้าราวกับจะเผาผืนดินให้มอดไหม้ ถนนร้อนระอุจนสะท้อนความร้อนกลับมาที่เท้าอย่างรุนแรง แสงแดดเผาทั้งท่อนบนและท่อนล่าง กลายเป็นว่าเสื้อยืดนั้นได้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อหลังจากเดินไปได้ห้านาที ถึงกระนั้น ผมก็ยังเดินหน้าในระยะทางสองกิโลเมตรไปยังโรงพยาบาล แม้ความร้อนจะราวกับทำให้ตัวละลายได้ก็ตาม
ดูเหมือนมะเร็งจะก้อนเล็กลง ฟุยุสึกิจึงพยายามฟื้นฟูร่างกายอย่างกระตือรือร้น
ความรู้สึกที่ได้ก้าวเข้าสู่โรงพยาบาลซึ่งมีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำหลังจากผ่านแดนนรกแผดเผามานั้น ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ผมพยายามระงับความตื่นเต้นที่อยากเจอเธอนั้นไว้โดยใช้แผ่นเช็ดระงับกลิ่นเช็ดเหงื่อที่ไหลเป็นทางดั่งสายน้ำก่อนจะเดินตรงไปยังห้องของเธอ
“โซราโนะครับ”
“ขอบคุณที่มาเยี่ยมตลอดนะคะ”
“วันนี้ไปเดินเล่นกันไหม”
ผมบอกตำแหน่งรองเท้าแตะให้ฟุยุสึกิที่กำลังหย่อนเท้าลงจากเตียง จากนั้นเธอก็จับแขนซ้ายของผมเพื่อพยุงตัว
สัมผัสเย็นๆ ของมือเธอที่สัมผัสมาอย่างแผ่วเบา น้ำหนักตัวของเธอที่ถ่ายมา
เราค่อยๆ เดินออกจากห้องอย่างช้าๆ
ฟุยุสึกิเดินเกาะแขนซ้ายของผมไป
เธอพยายามเต็มที่โดยไม่พูดอะไรเลย ไม่มีคำพูดใดๆ แต่สิ่งที่สัมผัสผ่านแขนนั้นกลับมีมากมาย
เวลาที่เธอทรงตัวไม่ได้มือของเธอก็จะจับแน่นขึ้น พอตอนที่เธอพอเดินเองได้เองแรงจับก็จะอ่อนลง เธอมองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
เส้นทางที่ควรใช้เวลาประมาณ 3 นาทีสำหรับการไปสวนลอยฟ้า กลายเป็น 10 นาที เรานั่งพักครู่หนึ่งที่สวนลอยฟ้าก่อนจะกลับห้อง โดยการเดินเล่นแบบนี้ เธอพยายามจะทำเป็นกิจวัตร แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของเธอด้วย
“ถึงแล้วนะ”
ที่สวนลอยฟ้ามีตู้ขายน้ำวางอยู่ใต้ร่มเงา ข้างหน้าตู้มีโต๊ะและเก้าอี้พลาสติกวางไว้อยู่ จึงให้ความรู้สึกเหมือนระเบียงที่มหาลัย
“อยากดื่มอะไรไหม”
“ฉันซื้อเองได้ค่ะ”
“เก่งจริงนะ เจ้าแม่ตู้กดน้ำ”
“หยุดเรียกแบบนั้นเถอะค่ะ”
ผมพาฟุยุสึกิไปยังตู้กดน้ำ ฟุยุสึกิหัวเราะพลางนับเหรียญด้วยปลายนิ้ว
ตู้กดน้ำในสวนลอยฟ้าเหมือนกับตู้กดน้ำในมหาลัย เพียงแต่ตำแหน่งปุ่มกดนั้นต่างกันเล็กน้อย ผมจึงบอกตำแหน่งของชานมและปุ่มปรับน้ำตาลให้ฟุยุสึกิรู้
ฟุยุสึกิเลือกชานมหวานมากเหมือนเคย
แม้จะสูญเสียความทรงจำไป แต่ดูเหมือนรสนิยมนี้จะไม่เปลี่ยนไป
ผมพาฟุยุสึกินั่งลงที่เก้าอี้ จากนั้นก็วางแก้วชานมไว้ด้านหน้า ฟุยุสึกิจับแก้วเบาๆ ด้วยมือทั้งสอง แล้วดื่มอย่างอ่อนโยน
“อร่อยไหม”
“ชานมหวานๆ อร่อยที่สุดค่ะ”
“เดี๋ยวฟันผุเอานะ”
“ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยฟันผุเลยค่ะ”
“เขาว่ากันว่าคนที่ไม่มีเชื้อฟันผุในปากจะไม่ฟันผุไปตลอดชีวิตเลย แต่ดูเหมือนจะติดกันได้ทางจูบนะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ แปลว่าต้องมีความกล้าอย่างมากเลยนะคะถึงจะทำได้”
ฟุยุสึกิยิ้มให้ ผมมองเธอที่ค่อยๆ จิบชานมอย่างช้าๆ ความทรงจำในวันที่เราเคยจูบกันย้อนกลับมา
วันนั้น ฟุยุสึกิคงต้องใช้ “ความกล้าอย่างมาก” เพื่อมาจูบผมใช่ไหม
ผมอยากถามเธอ
แต่ถ้าเธอจำอะไรไม่ได้ การถามไปคงไม่มีความหมายอะไร
ทั้งหงุดหงิด ทั้งทรมาน ทั้งเขินอาย ความรู้สึกเหล่านั้นท่วมท้นอยู่ในใจ
ภาพใบหน้าของฟุยุสึกิที่โน้มเข้ามาจูบในตอนนั้นผุดขึ้นในหัว
ผมผู้ที่เขินจนทำอะไรม่ถูก รีบกระดกน้ำในแก้วให้หมด พอหมดแล้วก็กัดน้ำแข็งก้อนเล็กๆ เคี้ยวกรอบๆ เล่นต่อ
ถอนหายใจ แล้วมองขึ้นท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่มองเห็นนั้นเป็นท้องฟ้าที่มีสีฟ้าเข้มสดใส พอลองมองจากที่ร่ม ตาได้พร่ามัวลง และนั่นก็ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าท้องฟ้านั้นดูสดใสมากกว่าเดิม
ท้องฟ้าไร้เมฆ สายลมจากตึกพัดมาลูบไล้แก้ม
ฟุยุสึกิดื่มเครื่องดื่มเย็นราวกับดื่มของร้อน จ้องมองมาตรงๆ ภาพฟุยุสึกิจับแก้วสองมือด้วยสายตาเหม่อลอยชวนนั้นทำให้ผมรู้สึกเอ็นดู
“คุณโซราโนะคะ?”
“หืม?”
“นึกว่าจะหายไปไหนซะแล้วค่ะ”
“ผมกำลังซ่อนตัวอยู่ยังไงล่ะ”
“แกล้งกันได้นะคะ”
ผมมองฟุยุสึกิที่กำลังหัวเราะ แล้วก็คิดว่าถ้าช่วงเวลาแบบนี้คงอยู่ต่อไปได้ก็คงดี
*
“ไม่ลำบากบ้างหรอคะ”
วันหนึ่ง ฟุยุสึกิที่ดูเหมือนจะไม่สบายเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเพลียขณะพิงตัวลงบนเตียง
“มองก็ไม่เห็น สุขภาพก็ไม่ดี ใช้เวลาไปกับคนสุขภาพดี มองเห็นได้ ก็ได้แท้ๆ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
วันนี้ดูเหมือนอารมณ์ของฟุยุสึกิจะไม่ค่อยดี
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ฟุยุสึกิถึงได้เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ก้อนมะเร็งเล็กลงแล้ว แต่หมอบอกว่ามันอาจจะกระจายไปที่อื่นได้”
น้ำเสียงของฟุยุสึกิราบเรียบราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น
ท่อนแขนที่มีสายน้ำเกลือเสียบไว้ ทำให้คำพูดออกมาช้าและเจ็บปวด
“…มะ”
──ไม่เป็นไรใช่ไหม?
ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม
“ล้อเล่นค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“ล้อเล่นค่ะ ล้อเล่น”
ฟุยุสึกิที่มองไปยังเพดาน ยิ้มขึ้นเล็กน้อยเพียงมุมปาก
“ทั้งๆ ที่บอกว่าจะสู้ไปด้วยกันจนกว่าจะได้เห็นดอกไม้ไฟแท้ๆ แต่กลับมาทำให้บรรยากาศเศร้าแบบนี้ เอาล่ะ ถือว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดแล้วกันนะคะ”
“ไม่มีต้องฝืนขนาดนั้นก็ได้นะ”
“คุณหมอบอกว่า”
ฟุยุสึกิยิ้มทั้งน้ำตา
“มะเร็งกลัวรอยยิ้มค่ะ”
──เพราะงั้นต้องยิ้มเข้าไว้ พอดีขึ้นแล้วก็จะได้ฝึกเดินใหม่อีกครั้ง
ฟุยุสึกิพูดจบก็หัวเราะ
เมื่อผมเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าที่ซูบซีดของเธอ ความรู้สึกก็จุกขึ้นในอก
ผมใช้โอกาสที่เธอมองไม่เห็นเอามือกุมอกตัวเองไว้ แม้ว่าจะอยากพูดออกไปว่า “หายไวๆ นะ” หรือ “ไม่เป็นไรนะ” แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้เลย
“แล้วก็ ฉันจะย้ายไปโรงพยาบาลที่ฮอกไกโดเดือนตุลานี้ค่ะ”
ข่าวที่ยังไม่ทันเตรียมใจทำผมอุทานออกมาเบาๆ “เอ๊ะ?”
“จริงๆ ก็ยังลังเลอยู่ว่าจะย้ายดีไหม แต่โรงพยาบาลที่นั่นーซึ่งเป็นโรงพยาบาลในเครือ มีเครื่องรักษามะเร็งด้วยเครื่องโปรตอน หมอก็เลยแนะนำให้ไปที่นั่นค่ะ”
ฟุยุสึกิพูดต่อเบาๆ พลางไอเบาๆ
“แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าก้อนมะเร็งจะเล็กลงด้วยยาก่อนไปฮอกไกโดหรือเปล่าค่ะ”
“เป็นกำลังใจให้นะ”
“อย่าตามไปถึงฮอกไกโดเลยนะคะ”
ฟุยุสึกิยิ้มบางๆ ก่อนน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนหมอน
“วันงานดอกไม้ไฟกำหนดแล้วนะ”
“เมื่อไหร่คะ?”
“วันเสาร์สัปดาห์ที่ 4 ของเดือนกันยา เพราะงั้น ก่อนจะถึงวันนั้นเราจะสู้ไปด้วยกันนะ สู้กับมะเร็งไปด้วยกัน”
“จะพยายามค่ะ” ฟุยุสึกิค่อยๆ เอ่ยอย่างตั้งใจ
“แล้วก็ ฉันมีเรื่องอยากขอค่ะ”
“เอาสิ”
“เอ๊ะ?”
“หืม?”
“ไม่คิดจะถามเหรอคะว่าอยากขออะไร?”
“เรื่องที่ฉันพอจะทำได้ล่ะสิ”
ผมเองก็อยากจะทำทุกอย่างให้เธอ ฟุยุสึกิยิ้มบางๆ และพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะคะ”
จากนั้น เธอก็ยื่นหนังสือเล่มสีขาวที่วางอยู่ข้างหมอนมาให้ช้าๆ
“ช่วยอ่านหนังสือให้ฉันฟังหน่อยค่ะ”
มันคือหนังสือที่ฟุยุสึกิอ่านประจำ
“ฉันอ่านอักษรเบรลล์ไม่ได้นะ”
“ฝึกสิคะ”
“พูดอะไรเกินตัวนะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไอออกมา
“บันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์ สินะ? เดี๋ยวฉันจะไปหามาให้”
ฟุยุสึกิค่อยๆ กล่าวขอบคุณ แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาแล้วหลับลง
หลังจากนั้น ทุกครั้งเวลาเยี่ยม ผมก็จะอ่านหนังสือให้เธอฟังจนกลายเป็นกิจวัตร ไม่ว่าอาการของเธอจะดีขึ้นหรือแย่ลง แต่ผมก็ยังมาหาบ่อยๆ
และในวันที่อ่านบันทึกลับของแอนน์ แฟร้งค์ ไปได้ครึ่งเล่ม
“คุณโซราโนะ เสียงแหบไปนะคะ เป็นหวัดหน้าร้อนหรือเปล่า?”
“อ่านทุกวันแบบนี้ เสียงจะไม่แหบได้ไงกันเล่า”
ฟุยุสึกิหัวเราะเบาๆ
ทันใดนั้น ฟุยุสึกิก็ไอรุนแรงจนคุมไม่ได้
เสียงลมหายใจดังขึ้นในลำคอ ผมกดปุ่มเรียกพยาบาลและคอยบอกเธอว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะ แต่เสียงกดปุ่มเรียกพยาบาลยังคงก้องอยู่ในหู
*
ฟุยุสึกิเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูเป็นเวลาสองอาทิตย์ พอเธอออกมาจากห้องไอซียูก็เป็นเดือนกันยายนแล้ว กล่าวคือช่วงหยุดฤดูร้อนก็จบลงพอดี
“ฉันจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้ดูดอกไม้ไฟ”
ใกล้ๆ กับหมอนของฟุยุสึกิมีนกกระเรียนกระดาษพันตัวถูกวางประดับตกแต่งไว้ ซึ่งดูเหมือนนารุมิพับนกกระเรียนเหล่านั้นขณะอยู่บนเรือ และดูเหมือนว่าคนในภาควิชาเดียวกันก็ช่วยกันพับจนได้ครบถึงสามชุด*
ข่าวการรักษาตัวของฟุยุสึกิแพร่กระจายไปทั่วมหาลัย ทุกคนที่รู้จักฟุยุสึกิต่างส่งกำลังใจให้
ซึ่งตัวฟุยุสึกินั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในรั้วมหาลัย ผู้คนต่างลือกันว่าเป็นนางฟ้าแห่งระเบียงเอย สาวสวยกระโดดโลดเต้นเอย
โดยในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็เป็นช่วงที่มหาลัยกำลังจัดการสอบเทอมแรก ด้วยเหตุนั้น ผมจึงพยายามสอบผ่านให้ได้
แต่สุดท้ายก็พลาดหน่วยกิตในบางวิชาเลือก
ไม่เป็นไร หน่วยกิตยังพอมีหนทางแก้ได้ สำคัญกว่านั้นคือเรื่องฟุยุสึกิ
เพราะอาทิตย์ถัดมาจะมีการจัดงานดอกไม้ไฟเด็กนั่นเอง
* หนึ่งชุดมีนกหนึ่งพันตัว