ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 6 ที่คั่นหนังสือสีเหลือง
- Home
- ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส
- ตอนที่ 6 ที่คั่นหนังสือสีเหลือง
หลังจากวันนั้น ก็ไม่เคยเห็นฟุยุสึกิที่มหาลัยอีกเลย
รู้เพียงแค่เธอทำกิจกรรมร้องเพลงกับเด็กๆ ที่โรงพยาบาลราวๆ บ่ายสองของทุกวัน
ผนังและทางเดินของโรงพยาบาล รวมถึงเสื้อผ้าของเจ้าหน้าที่ ล้วนเป็นสีขาว และมีกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ ด้วยเหตุนั้น ห้องเด็กเล่นภายในโรงพยาบาลนั้นทาด้วยสีพาสเทล เป็นพื้นที่แห่งเดียวที่ดูเหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่สดใสกว่าในโรงพยาบาลที่ซีดเซียวนี้
ผมมองฟุยุสึกิที่กำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนานไปพร้อมกับเล่นเปียโนผ่านกระจก
แม้จะได้เห็นภาพเด็กๆ ที่กำลังเล่นและร้องเพลงกันอย่างมีความสุข แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย
กลับทำให้หัวใจรู้สึกกระสับกระส่ายเสียซะมากกว่า
ฟุยุสึกิอยู่ในชุดนอนตลอดเวลา บางทีอาจจะเพราะเธอพักรักษาตัวอยู่ที่นี่รึเปล่านะ
ผมจะเอ่ยปากถามกับเธอไปแบบนั้นไม่ได้
เธอลืมจริงๆ หรอเนี่ย
แม้ยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่ถ้าเกิดสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น เป็นเรื่องโกหก หรือเป็นแค่การแสดง ก็ยังไม่อาจละทิ้งความเป็นไปได้ เหมือนกับคนที่กำลังคว้าเส้นฟางสุดท้าย ผมเลยลองทักไปว่า “ว่าไง” แต่กลับถูกเมินราวกับเธอไม่ได้ยิน และไม่ได้ถูกสนใจเลย มันทั้งรู้สึกแย่ ทรมาน อยากหายไป เสียใจ อยากจมดิ่งกับความรู้สึกนี้ลงไปเรื่อยๆ
แต่มันก็ยังมีเศษเสี้ยวของความรู้สึกที่อยากอยู่ใกล้ๆ ฟุยุสึกิอยู่
แปลกจังนะตัวเราเนี่ย
ตัวผมเองที่ไม่เคยคิดจะยึดติดกับอะไรเลย กลับยึดติดกับฟุยุสึกิขนาดนี้เนี่ย
*
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงพักเที่ยง
ผมสั่งเซ็ตเมนจิคัตสึ นารุมิสั่งข้าวแกงกะหรี่หมูทอดจานใหญ่ และฮายาเสะสั่งโซบะเทมปุระ พวกเราสามคนต่างพากันเดินหาที่นั่งในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คน และในที่สุด ก็ได้ที่นั่ง นั่งลงไปแล้วก็เปิดประเดิมด้วยการกัดกินคำแรกไปแต่ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ผมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ค่อยอยากอาหาร แต่ก็สั่งของหนักมาเสียแล้ว
“นี่ๆ ดูนี่สิ”
ฮายาเสะยื่นหน้าจอโทรศัพท์มาให้ดูพร้อมพูดด้วยเสียงดังท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คน
บนจอนั้นมีข้อความเขียนว่า “รับสมัครนักศึกษาจิตอาสา”
“จะไปทำจิตอาสาอีกแล้วเหรอ?”
นารุมิที่กำลังเคี้ยวข้าวแกงกะหรี่ ถามคำถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะบอกว่าฮายาเสะบ้าทำจิตอาสา
“อ่านรายละเอียดดูดีๆ สิ”
“โรงพยาบาลนั่นน่ะเหรอ?”
“ใช่! ช่วยเล่นกับเด็กๆ ในห้องเด็กเล่น อ่านนิทานหรือเล่านิทานผ่านกระดาษอะไรราวๆ นั้นน่ะ” ฮายาเสะอธิบายด้วยความตื่นเต้น
ผมรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างริบหรี่ในใจ
บางทีอาจจะได้อยู่ใกล้ฟุยุสึกิก็ได้
พอคิดอย่างนั้น กลิ่นซอสเมนจิคัตสึก็เริ่มลอยโชยทำให้รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
“งั้นก็ลองสมัครดูสิ”
“อาจจะได้คุยกับโคฮารุจังด้วยนะ”
“แต่ว่านะ”
นารุมิพูดขึ้นในขณะที่ยังกินข้าวคำโตยังไม่หมด
“ฮึมฟึมมฟึม…”
“กลืนก่อนแล้วค่อยพูดสิ”
หลังจากกลืนแล้ว นารุมิกลืนข้าวแล้วจึงพูดต่อ
“ถ้ามีเจตนาแอบแฝงแบบนั้น อาจจะไม่ผ่านสัมภาษณ์ก็ได้นะ”
นารุมิพูดมีเหตุผล
“ถ้าจะทำล่ะก็ ก็ทำให้เต็มที่โดยไม่นึกถึงโคฮารุจัง”
ฮายาเสะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่เหมือนฮายาเสะที่เคยดูอ่อนแอเหมือนแพนด้าป่วย ตอนนี้เธอมองมาด้วยใบหน้าและสายตาที่แน่วแน่
“เอาเถอะ ลองสมัครกันเถอะ ในเมื่อเจอโคฮารุจังแล้วนี่”
ผมตอบ “อืม” ด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกพุ่งพล่านหยุดไม่อยู่
ไม่ว่าเราจะพูดคุยอะไรกัน คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียว
ตราบใดที่ผมได้อยู่ใกล้ฟุยุสึกิแล้วละก็
ความรู้สึกนั้นพุ่งพล่านขึ้นมาจากใจลึกๆ แล้วค่อยๆ ท่วมท้นจนทำให้สมองเริ่มมึนงง
ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนที่จมูกและความตื่นเต้นในใจ
ด้วยเหตุนั้น ในวันถัดมา เราสามคนจึงตัดสินใจไปสมัครเข้าร่วมโครงการนักศึกษาจิตอาสาของโรงพยาบาล
*
เราสามคนผ่านการสัมภาษณ์ที่เป็นกังวลกันอยู่อย่างง่ายดาย อาจเป็นเพราะชื่อเสียงของมหาลัยและการสนับสนุนของฮายาเสะที่กระตือรือร้นกับงานอาสาสมัคร
อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านการสัมภาษณ์มาแล้วก็ไช่ว่าจะเริ่มงานได้ทันที ยังมีขั้นตอนต่างๆ เช่น กรอกเอกสาร การตรวจแอนติบอดี และการทำประกันอาสาสมัคร
นอกจากนี้ ยังมีการปฐมนิเทศซึ่งพวกเราต้องเข้ารับการอบรมเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับอาสาสมัคร โรงพยาบาลเน้นย้ำการปฏิบัติตัวที่ไม่ทำร้ายจิตใจเด็ก เช่น ห้ามพูดถึงเรื่องโรค และการล้างมือเพื่อป้องกันการติดเชื้ออยู่เสมอ
คำพูดของพยาบาลตอนปฐมนิเทศยังคงค้างคาอยู่ในใจผม
“เป็นงานที่ยาก แต่ช่วยทำต่อไปด้วยนะคะ”
ทำให้เรารู้ว่านี่ไม่ใช่งานอาสาสมัครที่หมูๆ เลย
วันแรกที่เริ่มงานอาสาสมัคร นอกจากพวกเราสามคนแล้วยังมีคุณผู้หญิงวัยกลางคนอีกสองคนซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนในละแวกนี้มาด้วย
มีเด็กทั้งหมด 13 คน บางคนแขนเจ็บ บางคนขาใส่เฝือก บางคนสวมหมวกไหมพรม เด็กมีตั้งแต่อายุประมาณ 5-9 ขวบ
พยาบาลบอกว่า การที่เด็กต้องเข้ารับการรักษาที่แผนกกุมารเวชในโรงพยาบาลใหญ่เป็นเวลานานนั้น ส่วนใหญ่ก็เพราะป่วยหนัก เพราะเหตุนั้นเอง พวกเราจึงถูกสั่งไม่ให้พูดถึงเรื่องโรค เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้พวกเขาพอลืมความทุกข์จากการนอนโรงพยาบาลได้บ้าง
เสียงหัวเราะและเสียงคุยเล่นดังก้องไปทั่วห้องเด็กเล่น
วันนี้พวกเราทำงานพับโอริกามิด้วยกัน
“โอ้ย!”
นารุมิที่ควรจะได้พับกระดาษแท้ๆ แต่ดันกลายเป็นถูกเด็กผู้ชายรุมขี่โดนเตะเล่นเสียงั้น
“ขอหนังสือพับโอริกามิหน่อย”
ฮายาเสะซึ่งถูกรายล้อมด้วยเด็กสาวน่าจะพับอะไรง่ายๆ อย่างเครื่องบินหรือนกกระเรียน แต่กลับพยายามพับดอกกุหลาบหรือดอกลิลลี่ที่ยากเกินฝีมือของตัวเองซะงั้น
เวลาที่เด็กๆ เล่น ทางโรงพยาบาลจะเรียกเวลานั้นว่า “Kids Time” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ทุกวันเพื่อไม่ให้เด็กที่ต้องนอนโรงพยาบาลจนรู้สึกเบื่อหน่าย
ก่อนที่ Kids Time จะเริ่มขึ้น พยาบาลที่ดูแลได้แนะนำให้เรารู้จักฟุยุสึกิ “เขาเป็นผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ที่นี่เช่นกันค่ะ แต่เขาจะมาเล่นเปียโนให้ฟังตอน Kids Time”
เมื่อได้ยินคำว่า “ผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่” ผมก็รู้สึกเกร็งไปทั้งตัว แม้จะพอเดาได้ แต่เมื่อได้ยินความจริงเช่นนี้ตรงๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจอยู่ไม่น้อย
พยาบาลบอกกับเธอว่าตอนนี้มีนักศึกษามาช่วยเพิ่มอีกคน ฟุยุสึกิดูตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ผมทักทายเธอไปว่า “ฝากตัวด้วยนะ” เจ้าตัวเองตอบกลับมาเบาๆ ว่า “ฝากตัวด้วยค่ะ” ฟุยุสึกิที่เคยยิ้มสดใสเมื่อตอนพบกันที่มหาลัยกับตอนนี้อย่างกับเป็นคนละคน
“เอ๊ะ ฉันจะพับได้ไหมนะ”
ฟุยุสึกิเริ่มพับกระดาษท่ามกลางกลุ่มเด็กที่มารายล้อม
ดูเหมือนเด็กๆ จะหลงใหลในน้ำเสียงนุ่มนวลของฟุยุสึกิ จึงอยากอยู่ใกล้เธอ
ฟุยุสึกิพับเครื่องบินกระดาษ อาจเป็นเพราะพับเครื่องบินได้แม้จะมองไม่เห็น ทำเสร็จหนึ่งอันก็ส่งให้เด็กๆ จากนั้นเด็กๆ ก็โยนเครื่องบินไป เด็กๆ ที่ได้เล่นพับเครื่องบินก็อยากได้อีก ทำให้ฟุยุสึกิพับตามแทบไม่ทัน
ผมที่สังเกตเห็นว่ากระดาษใกล้หมดแล้ว จึงเอากระดาษไปวางไว้ข้างๆ
คิดว่าเธอน่าจะไม่รู้เพราะมองไม่เห็น
แต่เธอกลับพูดขึ้นว่า
“…ขอบคุณนะคะ”
เธอคงใช้นิ้วนับกระดาษอยู่ก็เป็นได้ ถ้าสามารถนับเหรียญจากสัมผัสได้ ก็น่าจะนับจำนวนกระดาษที่เหลือได้เช่นกัน
ความดีใจที่เธอรับรู้ถึงความช่วยเหลือของผม ทำให้ตัวผมรู้สึกตื่นเต้นจนเผลอชวนคุย
“ให้ช่วยพับเครื่องบินกระดาษไหม ทำไม่ทันใช่ไหมล่ะ”
ทันนั้นเอง
” จิ้มทะลวงสหัสวรรษ!”
เสียงข้างหลังดังขึ้นพร้อมกับกระแสประสาทที่พุ่งจากก้นถึงศีรษะ
“โอ๊ยยยย!”
ผมร้องออกมาทันที
เมื่อผมหันไปก็มีเด็กเกรียนยืนยิ้มกวนประสาทอยู่
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะ…พี่เจ็บนะ…อย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่นล่ะ…”
“มองอะไรพี่สาวเขาน่ะ ทุเรศจริงๆ”
“มะ…ไม่ ไม่ได้มองสักหน่อย”
“มั่วๆ! รู้แล้ว! เมื้อกี้มองหน้าอกพี่สาวเขาใช่ไหมเล่า!”
เมื่อหันไปมองฟุยุสึกิ เธอก็กุมหน้าอกไว้พร้อมใบหน้าอันแดงก่ำ
“ไม่ได้มอง ไม่ได้มองจริงๆ ไม่มีทางมองหรอก!”
“ไม่เชื่อๆๆๆ~”
“อย่าแกล้งผู้ใหญ่สิ”
เด็กคงคิดว่าเป็นเรื่องสนุกจึงเอาแต่ว่า “หน้าอก!” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ววิ่งไปทั่วห้อง
“นี่ เดี๋ยวเถอะ! อย่าวิ่งนะมันอันตราย!”
แต่พอผมดุเข้าให้ เด็กยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เด็กคนอื่นๆ ก็ต่างพากันหัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มวิ่งไปพร้อมตะโกนว่า “หน้าอก หน้าอก หน้าอก!” ต่อไป
นารุมิยืนขวางหน้าเด็กแล้วพูดว่า “จับได้แล้ว” ก่อนจะจับเด็กแสบขึ้นมา
“ไม่อาววว! ลุงร้อนชะมัดดด!”
นารุมิโดนเรียกว่าลุง
เด็กแสบต่างพยายามดิ้นหนีจากอ้อมแขนของเขา ขณะที่นารุมิยืนนิ่งราวกับช็อกหลังโดนเรียกว่าลุงเข้าให้
“ถ้าวิ่งอีก ลุงกล้ามจะจับอีกนะ”
เมื่อผมพูด เด็กก็ตอบว่า “เข้าใจแล้ว” แล้วก็เชื่อฟังขึ้นมา
“ลุงกล้ามนี่มันอะไรเนี่ย”
“ถ่ายลงเน็ตน่าจะรุ่งนะ”
“งั้น ‘วิดพื้น 200 ครั้ง! วันนี้มาออกแรงไปพร้อมกับลุงกันนะ’ เป็นไง?”
“น่าเบื่ออะ”
“เอ๋~ ทำไมทำเหมือนฉันจะเล่นมุกแป้กเลยนะ”
“ก็แหงสิ”
“ว่าแต่ ไอลุงกล้ามนี่คือไร”
“เดี๋ยวสิ! มาช่วยพับกระดาษกันก่อน ค่อยทะเลาะกัน!”
ฮายาเสะโวยขึ้นมา เราจึงพร้อมใจกันตอบรับ “คร้าบ” พร้อมๆ กัน
แม่บ้านคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนกำลังดูตลกคู่เลยเนอะ”
ตอนนั้นเอง
ฟุยุสึกิก็ได้หัวเราะออกมา
เธอหัวเราะพลางไหล่สะเทือนเบาๆ
การได้เห็นฟุยุสึกิหัวเราะเป็นครั้งแรกหลังห่างหายไปจากความรู้สึกนี้นานก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจ
ราวกับได้ย้อนกลับไปในวันสบายๆ ชิวๆ บนโต๊ะนั่งเล่นริมระเบียง ความรู้สึกที่อยากปกป้องเธอ จากนั้นตาก็พร่ามัวเล็กน้อย
หลังจากเล่นกับเด็กๆ ได้ 2 ชั่วโมง ในที่สุด Kids Time ของวันนี้ก็สิ้นสุดลง พวกเราส่งเด็กๆ กลับห้องและในขณะจัดเก็บห้องเด็กเล่นนั้นก็ได้ยินอาสาสมัครคุยกัน
“วันนี้สุมิเระจังไม่มาเลยนะคะ”
“ได้ยินว่าต้องเริ่มการรักษาด้วยยาแล้วค่ะ”
“คงจะหนักเอาการสินะ”
เมื่อได้ยินบทสนทนานั้นแล้วผมก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ
*
สองสัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่เริ่มงานอาสาสมัคร
เมื่อผมพยายามคุยกับฟุยุสึกิ บทสนทนาก็ไม่ค่อยราบรื่นราวกับกำลังถูกเธอเลี่ยงอยู่เสมอ
สิ้นเดือนมิถุนายน ฤดูฝนสิ้นสุดลงเร็วกว่าปกติ และฤดูร้อนก็กำลังจะมาถึง
วันนั้นผมเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กๆ คนเดียว และในขณะเก็บของอยู่นั้น
“คุณโซราโนะ อยู่ไหมคะ?”
ฟุยุสึกิเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับผมก่อน
หัวใจแทบจะระเบิดออกมา ความตื่นเต้นทำหัวใจเต้นผมเร็วผิดปกติ แต่ก็รู้สึกสิ้นหวังกับการที่เธอเรียกผมว่า “คุณโซราโนะ” แทนที่จะเรียกด้วยชื่อเล่น “คาเครุคุง” เหมือนเมื่อก่อนในเวลาเดียวกัน
ผมพยายามทำตัวให้สงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วตอบกลับ
“หืม? อยู่ครับๆ”
“คุณโซราโนะเรื่องมหาลัยไม่เป็นไรแน่ใช่ไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรยังไงครับ?”
“เอ่อ…หมายถึงเรื่องจำนวนครั้งการเข้าเรียนน่ะค่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ไม่มีปัญหาหรอก ฮายาเสะคอยเช็กชื่อให้ผมอยู่แล้ว”
“พอดี ฉันค่อนข้างเป็นห่วงน่ะค่ะ”
ฟุยุสึกิทำหน้าเคร่งเครียด เป็นสีหน้าที่ผมไม่ค่อยเห็นมาก่อน
“ฟุยุสึกิน่ะ ไม่เป็นไรแน่เหรอ?”
“คะ? หมายถึงอะไรเหรอคะ?”
“หมายถึงเรื่องมหาลัยของฝั่งเธอ ไม่เป็นไรแน่หรอ?”
“มหาลัย?”
ฟุยุสึกิดูมึนงง ก่อนจะตอบออกมาด้วยความสงบนิ่ง
“ฉันไม่ได้ไปมหาลัยนะคะ”
ความรู้สึกเลือดสูบฉีดได้หายวับไป นี่เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึง ทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดไป
หรือว่าผมจำอะไรผิดไป? ไม่ใช่ว่าเธอจะได้เป็นนักศึกษามหาลัยหลังจากสอบเทียบผ่านหรอกเหรอ?
ทำไมสิ่งที่เกิดขึ้นดูแปลกแบบนี้?
“อย่าเปลี่ยนเรื่องเลยค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังพูดถึงเรื่องมหาลัยของคุณอยู่นะคะ”
ผมเริ่มเหนื่อย
หัวใจของผมกำลังถึงขีดจำกัด
“ฉันคิดว่าอาสาสมัครเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่ก็ไม่ควรละเลยหน้าที่หลักของตัวเอง”
ไม่อยากคิดเรื่องนี้แล้ว
“…”
“…”
เราทั้งคู่ต่างเงียบไปครู่หนึ่ง
ในช่วงเวลานั้น
“คุณโซราโนะ?”
“ครับ?”
“คิดว่าหายไปไหนซะอีก”
“ผมกำลัง ซ่อนตัวอยู่น่ะ”
ผมตอบไปในแบบที่เคยทำเป็นประจำ
ผมชอบเวลาที่ฟุยุสึกิโกรธแบบงอนๆ และน่ารักเวลาผมแกล้งเธอ
ทว่า
“อย่าล้อเล่นแบบนั้นเลยค่ะ”
เสียงของฟุยุสึกินั้นกลับดูเย็นชา
“ฟังกันอยู่ไหมคะ?” เธอพูดอย่างไม่พอใจเหมือนจงใจตอกย้ำ ความคิดผมเริ่มชะงักลง
ไม่อยากคิดอะไรแล้ว
“เรื่องมหาลัยของผมน่ะจะยังไงก็ช่าง ไม่ต้องสนใจหรอก”
เสียงผมดังขึ้น ผมรู้ว่าอาสาสมัครคนอื่นๆ หันมามองผม
แต่ แต่ว่า
ผมไม่สนแล้ว
ผมเหนื่อยไม่ไหวแล้ว
ทุกคนจะลืมกันไปหมด รวมถึงความพยายามที่ผมเคยฝ่าฟันมาด้วย
แล้วยิ่งพอได้เห็นฟุยุสึกิในสภาพแบบนี้ จะให้ผมทำยังไงต่อไป?
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
ฟุยุสึกิพูดด้วยเสียงที่ดูเป็นกังวล ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้แล้วแตะไหล่ผม ในแสงที่ค่อยๆ หมองลง มือของเธอก็ได้มาสัมผัสผม
แต่ผมก็ปัดมือของเธอออก
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ไม่เป็นไร!
ผมเกือบจะตะโกนคำๆ นั้นออกมา
“ออกไปคุยข้างนอกกันดีไหมคะ?”
ฟุยุสึกิยิ้มแบบฝืนๆ แล้วพูดขึ้น
เมื่อผมหันไปมองรอบๆ ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผม ราวกับว่าผมกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว
“ขอโทษนะครับ”
ผมไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร
แต่ผมก็ขอโทษออกไป
ผมเดินออกจากห้องเด็กเล่นแล้วมุ่งหน้าไปยังสวนลอยฟ้าพร้อมกับฟุยุสึกิ
ฟุยุสึกิจับแขนผมและราวจับพาผมไปยังสวน ผมรู้สึกว่ามือของเธอเย็นกว่าทุกที
เมื่อเท้าก้าวเข้าไปยังสวน ก็รู้สึกถึงอากาศชื้นของต้นฤดูร้อนจนหายใจติดขัด
ฟุยุสึกิเดินตามราวจับ แล้วนั่งลงบนม้านั่งปลายทางเดิน
หลังจากพักเหนื่อยได้สักพัก เธอก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเริ่มพูด
“มาเรียบเรียงกันเถอะนะคะ”
“เรียบเรียง?”
“ฉันเคยเรียนที่มหาลัยเดียวกับคุณใช่ไหมคะ?”
“ใช่”
“แล้วฉันกับคุณรู้จักกัน คุณมองว่าฉันเหมือนคนที่ความทรงจำหายไปอย่างกระทันหัน”
“ใช่”
ฟุยุสึกิมองตรงมาที่ผม หรือควรจะบอกว่าเธอหันหน้ามาตามเสียงของผมดี
“นั่นเลยทำให้คุณรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป”
แต่ฟุยุสึกิสวนกลับก่อน
“แล้วคุณอยากให้ฉันทำยังไงล่ะคะ? อยากให้ฉันจำได้เหมือนเดิมหรือเปล่า?”
“ก็…”
“ถ้าพูดตรงๆ แล้ว ฉันว่ามันเป็นการรบกวนค่ะ”
“รบกวน?”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ผมมึนงง
คำว่ารบกวนนี่หมายความว่ายังไง? การจำเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้จะเป็นการรบกวนเธอเหรอ?
สิ่งที่ผมทะนุถนอมไว้ สำหรับฟุยุสึกิคงจะไม่มีค่าอะไรเลยสินะ
หัวใจเต้นแรงเหมือนกำลังจะระเบิด ความปวดไปทั่วตัว ได้ยินเสียงดังตรงหูจนทำให้ปวดหัวมากกว่าเดิม เสียงจั๊กจั่นที่ดังจากต้นไม้รอบสวนเพิ่มความวุ่นวายให้กับความนึกคิด
อะไร นี่มันอะไร ผมรวบรวมความคิดไม่ได้
แต่แล้วจู่ๆ ฟุยุสึกิก็ยิ้มแย้มเต็มใบหน้าแล้วพูดเสียงด้วยความเยือกเย็นว่า
“ฉันเหลือเวลาอยู่ได้อีกแค่ครึ่งปีค่ะ”
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“ตอนนี้มะเร็งแพร่ไปที่ตับแล้ว อีกไม่นานฉันก็จะตาย”
ฟุยุสึกิพูดคำว่า “ตาย” ออกมาได้ง่ายดายเหลือเกิน
“ถ้ารู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะตาย แล้วต้องจำเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา มันคงจะเจ็บปวดใช่ไหมล่ะคะ คุณโซราโนะเองก็ควรเลิกมาสนใจคนที่ใกล้ตายแล้วอย่างฉันด้วยค่ะ”
──เพราะมันจะกลายเป็นการเสียเวลาเปล่า
ฟุยุสึกิพูดเรื่องเศร้าออกมาอย่างไม่ลังเล
น้ำตาเริ่มไหลจนทำให้มองอะไรพร่าไปหมด หยดน้ำอุ่นไหลผ่านอาบแก้ม
“อย่างงั้นเองเหรอ” น้ำตาผมหยุดไม่ได้ “อย่างงั้นเองเหรอ”
แม้ว่าจะเช็ดแล้วเช็ดอีก น้ำตาก็ไม่หยุดไหล
“ขอโทษนะ ทำแต่เรื่องแปลกๆ มากวนเธอ ขอโทษจริงๆ นะ”
“เอ่อ… คุณโอเคไหมคะ?”
ผมไม่อยากให้ฟุยุสึกิรู้ว่าผมกำลังร้องไห้อยู่ ผมจึงพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างเต็มที่
“เธอจะตายจริงๆ เหรอ?”
“นั่นสินะคะ ก็พอจะรู้ตัวอยู่ค่ะ”
เธอยอมรับมันอย่างง่ายดาย
“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วนะคะ” ฟุยุสึกิพูดพร้อมรอยยิ้ม
นั่นเป็นจำนวนที่เธอเตรียมใจไว้แล้ว หรือเพราะยอมแพ้กันแน่?
“การทำเคมีบำบัดเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จริงๆ ร่างกายฉันไม่ค่อยไหว อีกสักสองอาทิตย์ก็คงออกจากโรงพยาบาลไม่ได้แล้ว”
──เพราะฉะนั้น
“ลืมฉันไปเถอะค่ะ”
──ขอให้ลืมฉันไป
เธอพูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
“เข้าใจแล้ว”
อย่างนี้เองสินะ
หัวใจของผมแตกเป็นเสี่ยงๆ
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างแตกออกจากลึกๆ ภายในร่างกาย
ผมรู้ตัวว่าตัวเองเสียงสั่น
“ขอโทษนะ ที่ตามตื๊อเธอมากเกินไป”
ผมขอโทษไปโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร
น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ยิ่งผมรักฟุยุสึกิมากเท่าไร ความรู้สึกนั้นก็ถูกผลักไสออกไปมากเท่านั้น น้ำตาไหลพรั่งพรู หาผ้าเช็ดหน้าไม่ได้ เลยได้แต่ใช้ฝ่ามือเช็ดจนใบหน้าของผมเปื้อนน้ำตาจนยุ่งเหยิง
*
ฟุยุสึกิทิ้งผมไว้แล้วกลับเข้าห้องของตัวเองโดยเกาะราวบันไดไปตลอดทาง
ผมที่กำลังร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น และพยายามสงบสติอารมณ์โดยนั่งพักที่ม้านั่งในสวนลอยฟ้า
“เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นหรืออะไรทำนองนั้นของคุณฟุยุสึกิหรือเปล่า?”
หมอวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวทักผมขึ้น
หมอดูหนุ่มกระฉับกระเฉง แต่รอบดวงตานั้นคล้ำลึกจนดูเหนื่อยล้า
ผมคงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ
“ฉันเป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณฟุยุสึกิน่ะ”
เขาพูดพร้อมยกมือทั้งสองขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“อ่อครับ”
เมื่อรู้ตัวตนของเขา ผมก็ก้มหัวเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นหมอกลับจุดบุหรี่ขึ้น
ผมตกใจ พี่เล่นสูบในที่สาธารณะเลยหรอ
“บอกไว้ก่อนนะ ที่นี่เป็นพื้นที่สูบบุหรี่ เธอต่างหากที่อยู่ไม่ถูกที่”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่คุณรู้จักควันบุหรี่มือสองไหม มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
ถึงจะมีเรื่องของฟุยุสึกิในหัว แต่ผมก็เสียใจที่เผลอพูดออกไปด้วยท่าทางที่ค่อนข้างก้าวร้าว
“งั้นช่วยกลั้นหายใจสักพักได้ไหม” หมอพูดพร้อมยิ้มบางๆ อย่างขบขัน
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ แต่เพราะคุณเป็นหมอเจ้าของไข้ของฟุยุสึกิ ก็น่าจะรู้ว่าบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดนะ”
“ฉันตรวจทุกเดือนอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพบเร็วก็รักษาได้เองแหละ”
ผมรู้สึกว่าหมอที่กำลังพ่นควันบุหรี่ชิวๆ เป็นคนคุยง่าย ผมจึงเปิดปากถาม
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
“หืม? เรื่องความทรงจำของคุณฟุยุสึกิน่ะเหรอ?”
หมอตอบราวกับรู้ทันความคิดผม
“ใช่ครับ จริงๆ แล้วความจำเสื่อมขึ้นมาได้เองหรอครับ?”
หมอพ่นควันสีม่วงอ่อนๆ ออกไปในอากาศ
“ถ้ามะเร็งเกิดขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับความทรงจำของสมอง ก็มีโอกาสอยู่บ้าง แต่ในกรณีของคุณฟุยุสึกิ มะเร็งแพร่ไปที่ตับตามปกติ การสูญเสียความจำไม่น่าจะเกิดขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไม…”
“เป็นไปได้ว่า พอเริ่มการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด อาจทำให้ความทรงจำสับสนได้ บางทีอาจจำเรื่องเมื่อวานไม่ได้ หรือรู้สึกมึนๆ นั่นเรียกว่า คีโมเบรน ยาบางชนิดทำให้เกิดผลแบบนั้นได้น่ะ”
“งั้นครั้งนี้ก็…”
“แต่กรณีของคุณฟุยุสึกิ อาจจะไม่ใช่อาการของคีโมเบรนหรอก”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“ฉันไม่คิดว่าเป็นเพราะโรคหรือยานะ น่าจะมาจากอะไรบางอย่างทางจิตใจ ราวกับปิดล็อกความทรงจำของตัวเองไว้”
“ปิดล็อก…”
“ถ้ากระตุ้นความจำบางอย่างก็อาจจะเกิดขึ้น…อยากลองดูไหม?”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมเพิ่งถูกคุณฟุยุสึกิปฏิเสธไปเมื่อกี้นี้เอง”
หมอถอนหายใจพร้อมพ่นควันออกมา
“เอาเป็นว่าถ้ารู้สึกอยากทำก็พอ เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องทำให้มะเร็งเล็กลง”
“งั้นขอถามอีกอย่างครับ”
“อะไรล่ะ?”
“มะเร็งของฟุยุสึกิ รักษาหายไหมครับ?”
หมอดับบุหรี่แล้วมองมาที่ผม
“เอาเป็นว่าประมาณ 5%”
“หมายถึงความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเหรอครับ?”
“โอกาสที่ปีนี้จะยังมีชีวิตอยู่คือ 5% ส่วนอัตรารอด 5 ปีจากนี้แทบเป็นไปไม่ได้”
หมออธิบายรายละเอียดของมะเร็งให้ผมฟัง
แต่ไม่เข้าหัวเลยสักนิด
โอกาสที่จะอยู่รอดถึงสิ้นปีนี้มีแค่ 5% และคงไม่รอดไปถึง 5 ปี
แสงชีวิตของฟุยุสึกิดูเหมือนจะริบหรี่จนเกือบจะดับมอดไป
เพราะแบบนี้เองหรอที่ทำให้เธอบอกให้ผมลืมเธอไป
ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาบีบหัวใจผม
ก่อนจากไป หมอก็กล่าวด้วยแววตามุ่งมั่นว่า “เดี๋ยวฉันจะรักษาให้หายเอง”
*
ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาแล้ว 3 วัน
ผมไม่สามารถหยุดทำงานอาสาสมัครได้ในทันที เลยให้ฮายาเสะไปแทน
การเจอหน้าฟุยุสึกิเริ่มเป็นเรื่องที่ทรมานขึ้นทุกที
เพียงแค่เห็นหน้าฟุยุสึกิ ก็เจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหวแล้ว
หลังคาบสี่ได้จบลง ผมก็ไปนั่งเหม่ออยู่ที่ระเบียงที่คุ้นเคย แสงแดดส่องมาจนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ผิวหนัง ผมนั่งนิ่ง ปล่อยให้แสงแดดแผดเผาไปเรื่อยๆ พลางมองทอดออกไปไกลๆ เห็นก้อนเมฆฝนที่ตั้งเค้า นึกภาพว่าใต้ก้อนเมฆนั้นคงกำลังมีพายุฝนฟ้าคะนองใกล้ ๆ บริเวณท้องฟ้าสดใส คิดแล้วก็รู้สึกถึงปรัชญาของชีวิตไปอีกแบบ บางทีอาจจะเพราะเพิ่งเรียนวิชาปรัชญามาเมื่อครู่ก็ได้
“ไหวไหม?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เป็นชายผอมที่ไว้เครารุงรัง—ผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าชมรมดอกไม้ไฟนั่นเอง
“รุ่นพี่อะไรสักอย่าง”
“จำไม่ค่อยได้หรอ เสียใจจัง นี่โคโตมุงิเองนะ”
“ขอโทษครับ”
รุ่นพี่มาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะ อีกมือนึงถือถังน้ำ และไหล่สะพายคันเบ็ด บ่งบอกถึงการจะไปตกปลาในเร็วๆ นี้ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า มหาลัยนี้มีอิสระมากเกินไปแล้ว
“แล้วเด็กผู้หญิงมองไม่เห็นคนนั้นล่ะ?”
พอถูกถามถึงฟุยุสึกิ หางตาผมก็รื้นไปด้วยน้ำตา หยุดพูดถึงเธอเถอะ
“ตอนนี้เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลครับ อาการไม่ค่อยดีเท่าไร”
“อ้าว ถ้าเป็นแฟนก็ควรไปอยู่ข้างๆ เธอนะ”
“เราไม่ได้เป็นแฟนกันครับ”
“อ่าว ไม่ได้คบกันหรอกเหรอ”
“โดนปฏิเสธมาแล้วครับ”
ไม่ไหว อย่าพูดอะไรแบบนี้สิ ผมจะร้องไห้จริงๆ แล้วนะ
“เวลาลำบากแบบนี้ คงต้องไปดูดอกไม้ไฟแล้วล่ะ”
รุ่นพี่พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ผมที่กำลังซึมเศร้าอยู่เลยรู้สึกหงุดหงิดไปกับน้ำเสียงนั้น ตอนที่เขาพูดอย่างสนุกสนานว่า “อีกสองอาทิตย์จะมีเทศกาลดอกไม้ไฟแล้วนะ” ผมก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ
“ว่าแต่ ขอเล่าเรื่องนิดนึงนะ”
รุ่นพี่ทำหน้าเหมือนมีเรื่องให้ทุกข์ใจ
ผมพูดไปอย่างไม่ตั้งใจด้วยเสียงที่แข็งกระด้าง
“มีอะไรหรอครับ”
“คือ ตอนงานเทศกาลมหาลัยคราวก่อน ดอกไม้ไฟถูกยกเลิกไปใช่ไหมล่ะ? เรื่องนั้นก็ทำให้มีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
แม้เขาจะบอกว่ามีปัญหา แต่กลับไม่เห็นจะมีท่าทีทุกข์ร้อนเร่งรีบอะไร
รุ่นพี่เริ่มเล่าอย่างไม่หยุด แม้ผมไม่ได้ถาม
“ค่าธรรมเนียมการยกเลิกดอกไม้ไฟน่ะ นักทำดอกไม้ไฟที่รู้จักกับฉันบอกว่าให้ทางมหาลัยซื้อดอกไม้ไฟทั้งหมดที่ทำเสร็จแล้วไป แต่ฝ่ายจัดงานตอบกลับว่าจะจ่ายแค่ค่าติดตั้งเท่านั้น เพราะดอกไม้ไฟสามารถนำไปใช้ในงานอื่นได้ พวกเขาเลยตกลงกันไม่ได้น่ะ”
เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรกับผมเลยจริง ๆ แต่ผมก็พยักหน้าไปตามที่รุ่นพี่เล่า
“มหาลัยอนุญาตให้จุดดอกไม้ไฟได้ด้วยเหรอครับ”
ผมตอบกลับไปโดยตั้งใจเพื่อให้แลเป็นบทสนทนาที่ไม่สำคัญ แต่รุ่นพี่กลับทำหน้าดีใจที่มีคนฟัง แล้วเริ่มเล่าวิธีการขออนุญาตกับกระบวนการต่างๆ ที่จำเป็นในการจุดดอกไม้ไฟ ผมรู้สึกเสียใจที่ทำให้เขาพูดไม่หยุด
ฟังไปครึ่งๆ กลางๆ แต่ก็จับใจความได้ว่า การจุดดอกไม้ไฟต้องยื่นเอกสารกับทางจังหวัดแล้วผ่านการตรวจสอบจากหน่วยดับเพลิง มันไม่ใช่ของหมูๆ เลย
แต่รุ่นพี่พูดต่อด้วยความกระตือรือร้นว่า จริงๆ แล้วก็มีทางลัดนะ
“ถ้าเป็นดอกไม้ไฟเบอร์ 2 50 นัด เบอร์ 3 15 นัด และเบอร์ 4 10 นัด พร้อมกับโชว์ดอกไม้ไฟน้ำตกไนแอการา จะใช้เวลาแค่ประมาณ 3 นาที รวมทั้งหมด 75 นัด ถ้ากำหนดจำนวนดอกไม้ไฟแค่นี้จะจุดได้โดยไม่ต้องขออนุญาตนะ”
“อ่อ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ”
แม้ผมจะตอบไปลอยๆ แต่รุ่นพี่ก็ดูดีใจที่ได้รับการตอบกลับ
ดูเขาเหมือนจะชอบใจผม จึงชวนไปตกปลาด้วยสายตาไร้เดียงสา ซึ่งการอยู่กับเขาในสภาพจิตใจแบบนี้เป็นเรื่องลำบากมาก
“ช่วงนี้น่าจะตกปลาซาบะเล็กได้เยอะนะ แม่ครัวที่โรงอาหารจะได้ทอดให้ด้วย”
ถึงกระนั้น เขายังคงพูดไม่หยุด ที่ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจมีเพียง “อืม” หรือ “ครับ” แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดพูดเลย
──หยุดเถอะะะะ
ในขณะที่ผมคิดจะพูดแบบนั้นเอง
“อ้อ จริงสิ”
รุ่นพี่โคโตมุงิเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า ควักหาอะไรกุกกักอยู่ในกระเป๋ากางเกง กล่องอุปกรณ์ตกปลา และกระเป๋าสะพาย
“งั้นผมกลับไปเขียนรายงานก่อนนะครับ”
ผมชักหงุดหงิดขึ้นมา และในจังหวะกำลังจะลุกขึ้นยืนนั้นเอง
“เจอแล้วๆ นี่ใช่ของแฟนเธอรึเปล่า?”
สิ่งที่รุ่นพี่หยิบออกมาจากกระเป๋าทำให้ผมจำได้ขึ้นใจทันที
แค่เห็นมัน ตาผมก็โตขึ้นจนรู้ตัวได้เอง
หัวใจที่เหมือนไร้ชีวิตชีวาก็เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ
มันคือที่คั่นหนังสือที่มีตัวอักษรนูนๆ สลักไว้
ที่คั่นหนังสือสีเหลืองที่ผมนึกว่าหายไปแล้วนั่นเอง
『ฉันอยากให้คาเครุคุงลองอ่านดูจริงๆ นะคะ』
ใบหน้าของฟุยุสึกิที่พูดแบบนั้นผุดขึ้นในหัวของผม
“ไปเจออันนี้ที่ไหนมาหรอครับ”
มือของผมสั่นขณะเอื้อมไปรับที่คั่นหนังสือนั้น
“ฉันเจอมันหล่นอยู่หน้าตึกชมรม พอเห็นว่าเป็นที่คั่นหนังสือแบบอักษรเบรลล์เลยคิดว่าน่าจะเป็นของแฟนเธอ กะจะเอามาให้ตอนเจอหน้า แต่ในเมื่อเธอนอนโรงพยาบาลอยู่ งั้นฉันฝากไว้กับเธอก็แล้วกันนะ”
ผมควรจะขอบคุณปาฏิหาริย์นี้ยังไงดี
กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็โผเข้ากอดรุ่นพี่โคโตมุงิ
“ขอบคุณมากครับ! ขอบคุณจริงๆ ครับ!”
“โอ๊ย! เจ็บๆ”
ผมรับที่คั่นหนังสือจากรุ่นพี่แล้วดูมันอย่างตั้งใจ
มันคือที่คั่นหนังสือของฟุยุสึกิแน่ๆ
ขอบและด้านข้างมีรอยถลอกเป็นจุดๆ
ที่คั่นหนังสือของฟุยุสึกิกลับมาแล้ว
ที่คั่นหนังสือของฟุยุสึกิกลับมาหาผมแล้ว
ผมอยากจะร้องไห้
แค่สัมผัสมัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักก็เอ่อล้นออกมา
“ขอโทษครับ!”
ผมเผลอตะโกนออกมา
“ผมต้องไปทำธุระเดี๋ยวนี้ครับ!!”
แม้จะไม่มีเหตุผลอะไร แต่ผมรู้สึกว่าถ้าอ่านที่คั่นหนังสือนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่ๆ
รุ่นพี่ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง ยกคันเบ็ดขึ้นพร้อมพูดว่า “สู้ๆ นะ!”
จากนั้น ผมก็วิ่งตรงไปยังห้องสมุดของมหาลัย
ห้องสมุดอันเงียบเชียบ ขณะวิ่งผ่านหน้าเคาน์เตอร์ก็มีเจ้าหน้าที่ตะโกนว่า “กรุณาอย่าวิ่งในห้องสมุดนะคะ!”
ผมหยุดหายใจหอบแฮ่ก แล้วค้นหาพจนานุกรมอักษรเบลล์
ผมไม่เคยพจนานุกรมแบบนี้มาก่อน ทำให้หาไม่เจอ
ด้วยเหตุนั้น ผมเลยใช้คอมพิวเตอร์ของห้องสมุดค้นหาชั้นวางแทน
『รายการสิ่งที่อยากทำก่อนตายอย่างนั้นเหรอ』
อยากรู้จังว่าข้างในเขียนว่าอะไรบ้าง
『ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะตายเมื่อไหร่』
ถ้อยคำของเธออาจจะไม่ได้พูดเล่นเลยก็ได้
ฟุยุสึกิอาจจะกำลังสู้กับความกลัวนั้นอยู่
สิ่งที่ฟุยุสึกิอยากทำมาตลอด บางทีอาจจะเขียนอยู่ในนี้
ผมคิดอย่างนั้นจากใจจริง
กลิ่นหนังสือลอยออกมาขณะที่ผมพลิกหน้าพจนานุกรมเล่มหนาไปมา
เปิดไปเรื่อยๆ ค้นหาวิธีการอ่าน แล้วค่อยๆ ถอดรหัสทีละตัวอักษร
กว่าจะถอดรหัสประโยคทั้งสามได้ก็ใช้ไปประมาณเวลา 3 ชั่วโมง
──ประโยคแรก
ไปกินเลี้ยง เข้าเป็นสมาชิกชมรม
ผมเริ่มร้องไห้โฮ ร่างกายสั่นสะท้านและเสียงสะอื้นดังออกมา
สอบเทียบได้ เข้าเรียนมหาลัย เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่…
ผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามจะทำตามฝันตามที่คั่นหนังสือนี้
──ประโยคที่สอง
หาเพื่อน ไปซื้อของ
เธอหาเพื่อนได้แล้ว ไปซื้อของมาด้วยกัน
และมีผมอยู่ข้างๆ เมื่อนึกถึงเวลานั้น ผมก็รู้สึกทั้งดีใจและเจ็บปวด
──ประโยคที่สาม
จุดดอกไม้ไฟ ตกหลุมรัก
เมื่อถอดรหัสเสร็จ ผมก็ฟุบลงร่ำไห้
ในห้องสมุดไร้ผู้คน จึงร้องไห้ได้อย่างเต็มที่
“ยังทำไม่สำเร็จเลยนี่นา”
เพราะแบบนี้เธอเลยอยากไปซื้อดอกไม้ไฟ
เพราะแบบนี้เธออยากเข้าชมรม
“ยังทำไม่สำเร็จเลยนี่นา”
ผมรู้สึกเจ็บปวดพลางน้ำตาที่ไหลรินไม่หยุด
“ใช่แล้ว”
ผมพึมพำเบาๆ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
『 ถ้าเราจุดดอกไม้ไฟกันเองได้ มันคงจะกลายเป็นวันที่พิเศษเอามากๆ แล้วมันเป็นความทรงจำที่จะอยู่ไปชั่วชีวิตเลยล่ะค่ะ 』
คำพูดของฟุยุสึกิผุดขึ้นมาในหัว
ทำไมเราไม่ทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงล่ะ
จุดดอกไม้ไฟที่เธออยากทำสักครั้งให้เธอสิ
แม้ผมจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ต่อ
『ไม่มีใครรู้ว่าเราจะตายไปเมื่อไหร่』
ใช่แล้ว
แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องยอมแพ้เลย
──ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมแพ้
ผมพึมพำเหมือนจะบอกตัวเอง
พอออกจากห้องสมุด ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีส้มแสด
ก้อนเมฆฝนที่เห็นไกลๆ ก็ได้จางหายไปแล้ว
ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ ไม่พบร่องรอยของฝนที่ตกลงมา
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดโทรออก