ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 5 เสียงเปียโน
“จุดสีขาวเล็กๆ ตรงนี่คือเนื้องอกร้ายที่กลายเป็นมะเร็ง”
ในตอนที่หมออธิบายกับฉันแบบนั้น ฉันก็ฟังเหมือนที่หมอพูดกับฉัน
อาการมีเพียงแค่อ่อนเพลียกับปวดหัว ซึ่งมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตขนาดนั้น
บางทีอาจจะเพราะเนื้องอกมีขนาดเล็กไม่ถึงนิ้วก้อย การผ่าตัดจึงทำเนินไปได้อย่างราบรื่นและปิดงานได้อย่างรวดเร็ว
เป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อนและสามารถจบได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งมีดผ่าตัดเลยด้วยซ้ำ
นั่นเลยทำให้ฉันนึกนึกคิดว่า แค่นี้ก็จบแล้ว…ทุกอย่างน่าจะจบลงตรงนี้แท้ๆ
ทว่า ไม่กี่ปีต่อมา ก็พบว่าเนื้อร้ายนั้นลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
“เรามาเริ่มการรักษาด้วยเคมีบำบัดกันเถอะ”
คำพูดคำนั้นของคุณหมอคือจุดเริ่มต้นของนรก
เพื่อที่จะหยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งแล้วนั้น ฉันจำเป็นต้องได้รับการฉีดยาแรงเข้าไปในร่างกาย
แน่นอนว่า เซลล์มะเร็งคงจะหยุดการแพร่กระจายแล้วตายไปในที่สุด แต่นั่นก็หมายความว่าการทำงานของเซลล์ปกติก็ช้าลงไปด้วย
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ
เริ่มแรก ฉันรู้สึกคลื่นไส้แล้วแล้วก็ท้องเสีย
จากนั้น ผมก็เริ่มร่วง
ด้วยเหตุนั้น ฉันจำเป็นต้องใส่หมวกไหมพรมอยู่ตลอดเวลาแม้แต่ตอนอยู่คนเดียว
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มนอนไม่หลับ
บางทีอาจจะเพราะแบบนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา ความจำเริ่มมัวหมอง ซึ่งดูเหมือนจะเรียกว่า “เคโมเบรน”
อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือสองสามวันก่อน ฉันนึกมันไม่ออกเลย
เอ๊ะ เมื่อกี้ฉันคิดอะไรอยู่นะ? ความคิดไม่ปะติดปะต่อกันจนฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
จากนั้นความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนลางหายไปจนเลิกคิดไปเลย ราวกับกลายเป็นความว่างเปล่า และนั่งเหม่อลอยไปทั้งอย่างนั้น
แต่สักช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ความกังวลใจรุนแรงก็ได้ถาโถมเข้ามาอย่างฉับพลัน จนทำให้ฉันร้องไห้คนเดียวแทบจะทุกวัน
กล่าวคือสัญญาณของอาการซึมเศร้านั่นเอง
ทำไมต้องเป็น…ฉันที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอะไรพวกนี้ด้วยนะ
ฉันสาปแช่งต่อโชคชะตา
ฉันสาปแช่งต่อตนเอง
คิดว่าตายไปให้จบๆ ซะดีกว่า
เอาผ้าขนหนูมารัดคอซะ
กระโดดลงจากดาดฟ้าซะ
กรีดข้อมือซะ
กัดลิ้นให้ขาดซะ
ฉันคิดถึงเรื่องการตายทุกวัน
แต่…ครอบครัวของฉันกลับไม่ยอมให้ฉันคิดแบบนั้น
มีชีวิตต่อไป
คำวิงวอนนั้นเข้ามากระแทกในจิตใจของฉัน
ถ้าเป็นคุณ…คุณพอจะนึกภาพออกไหม
ภาพของคนที่อยากให้คุณอยู่มีชีวิตอยู่ต่อ มากกว่าการที่ตัวคุณเองอยากจะตายอยู่แล้ว คุณพอจะนึกออกไหมว่ามันเป็นภาพที่ทุกข์ทรมานขนาดไหน
อ้อ…อย่างงี้นี่เอง
นี่สินะคือสิ่งที่เรียกว่า “นรกทั้งเป็น”
*
หลังจากคลิปสารภาพรักถูกส่งไปให้ฟุยุสึกิ ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้รับการตอบกลับ
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ไม่เห็นหน้าเธอ ไม่ใช่เพราะรู้สึกอายหรืออึดอัดใจอะไร แต่เป็นเพราะไม่เจอกันได้จริงๆ
ไม่ใช่แค่ผมที่พบเจอปัญหานี้ นารุมิและฮายาเสะเองก็ด้วย ด้วยเหตุนั้น พวกเราจึงติดต่อกันบ่อยขึ้น
ยูโกะ 【หลังจากนั้นมีใครติดต่อโคฮารุจังได้บ้างมั้ย】
อุชิโอะ 【ไม่ได้เลย】
โซราโนะ 【ทางนี้ก็ด้วย】
แม้จะส่งข้อความไปหาเธอว่า “อยู่ไหนหรอ” แต่ก็ยังไม่ได้รับการอ่าน
พอโทรไปก็ไม่มีรับด้วย
ทั้งโทรศัพท์หรือทั้งไลน์ก็ไม่สามารถติดต่อหาเธอได้เลย
แถมยังไม่มาเรียนอีก
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความกังวลใจถาโถมเข้ามา
ฟุยุสึกิไม่ได้มาเรียนวันจันทร์คาบแรก ที่นั่งตรงระเบียงที่เคยนั่งเป็นประจำจึงกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ราวกับไม่มีคนชื่อฟุยุสึกิ โคฮารุมีตัวตนอยู่
ณ ที่นั่งระเบียงอันเงียบสนิท ผมนั่งคนเดียวมองก้อนเมฆที่กำลังลอยผ่านไปและดื่มน้ำอัดลมไปพลางๆ
น้ำอัดลมหวานๆ แผ่ซ่านไปทั่วลิ้นแล้วไหลลงคอ
หลังคาบแรกวันจันทร์จบลง พวกเรามักจะใช้เวลาไปด้วยกันตรงระเบียงนี้
ผมคิดว่าช่วงเวลานี้จะดำเนินตลอดไปแท้ๆ
เธอมักจะดื่มชานมหวานมาก ส่วนผมก็นั่งกินอาหารเที่ยงก่อนเวลาอยู่ข้างๆ เธอ พอเข้าหมดเรื่องคุย เธอก็จะหัวเราะออกมา
นึกว่าช่วงเวลานั้นจะดำเนินต่อไปแท้ๆ
“ฟุยุสึกิ เธอไปอยู่ไหนเนี่ย”
「เครื่องขายน้ำอัตโนมัติก็เป็นเหมือนรัสเซียนรูเล็ตนั่นแหละค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบแล้วก็ไม่สนใจที่จะดื่มด้วย เพราะถ้าดื่มเข้าไปคอรู้สึกเหมือนโดนเผาค่ะ」
พอคิดดูแล้วเธอบอกว่าไม่ชอบน้ำอัดลมนี่เนอะ
ผมแหงนหน้ามองก้อนเมฆที่ลอยผ่านพลางนึกถึงเรื่องนั้น
เมฆปุกปุยบนท้องฟ้าก้อนหนึ่งลอยจากขวาไปซ้ายอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นเองก็มีเสียงนกร้องที่ดังมาจากไหนสักแห่ง และเสียงหัวเราะของผู้หญิงที่เดินเล่นอยู่ลอยเข้ามาในหู
“อา…อยากได้ยินเสียงเธอจัง”
ผมพลั้งปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว พอผมรู้สึกตัวใบหน้าก็ค่อยๆ ย้อมเป็นสีแดงก่ำ ซึ่งสอดแทรกไปด้วยความเขินอายที่มากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อหลุดจากความรู้สึกเช่นนั้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดไลน์
โซราโนะ 【วันนี้จะมามหาลัยมั้ย?】
ข้อความที่ถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้รับการอ่าน นี่เราถูกเมินรึเปล่าเนี่ย หรือบางทีอาจจะถูกบล็อกไปแล้วรึเปล่านะ ความคิดลบๆ ต่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวของผม จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ หายใจลำบาก แล้วเจ็บแปล๊บๆ กลางอก
“ความรู้สึกนี่มันคืออะไร? อกหักงั้นเหรอ”
แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
รู้สึก…เหมือนมีบางอย่างที่ร้ายแรงกว่านั้นเกิดขึ้นกับเธอ
ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวขึ้นมาภายในจิตใจ
เพราะงั้นเลยอยากเจอเธอーเพื่อยืนยันกับตาตัวเองว่าเธอยังไม่หายไปไหนใช่ไหม
เพราะหากคนสำคัญในชีวิตหายไป มันก็ราวกับคนๆ ไม่เคยมีตัวตนด้วยอยู่เช่นกัน
ซึ่งนั่นก็เกิดขึ้นกับผู้เป็นพ่อของผม เขาหายไปอย่างเงียบๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ราวกับมีใครมาพูดว่า ‘ถ้าคนนี้สำคัญมากขนาดนั้นก็ขอแย่งไปแล้วกันนะ’ จากนั้นรู้สึกเหมือนกับสิ่งสำคัญที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกอยู่ในจิตใจ ถูกช่วงชิงออกไปอย่างไร้ความปรานี
นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า ชาติที่แล้วผมไปทำอะไรไว้กันนะ
“…เราคงทำบาปหนาแล้วตกนรกในชาติก่อนแน่ๆ”
สิ่งที่ผมทำได้เพียงโทษอดีตชาติและโชคชะตาーซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกำหนดเองไม่ได้ และได้เพียงรู้สึกอยากร้องไห้จนต้องก้มหน้าลง
“อรุณสวัสดิ์”
ทันใดนั้น เสียงของฮายาเสะดังขึ้นมาขณะผมกำลังดูมดบนพื้นยางมะตอย
เมื่อเงยหน้าขึ้น ฮายาเสะก็ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“ฮายาเสะ โอเครึเปล่า?”
พอเห็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ ไม่รู้เพราะแต่งหน้าไม่ดีหรือรอยคล้ำใต้ตา ตอนนี้เธอดูเหมือนแพนด้าที่กำลังป่วยหนัก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นเธอในสภาพนี้เนี่ย”
“นี่ฉันดูเหมือนคนเข้มแข็งขนาดนั้นเลยหรอ”
“ก็คนที่ทำอะไรด้วยตัวเองก่อนมักจะถูกมองว่าเป็นแบบนั้นอ่ะนะ”
“แต่จริงๆ แล้วจิตใจฉันอ่อนแอมากเลยนะ”
ฮายาเสะยืนอยู่ในท่ากะโผลกกะเผลกเหมือนคนไม่มีกระดูกสันหลัง
“ยังหาโคฮารุจังไม่เจอเลย”
บางทีฟุยุสึกิอาจจะโผล่มาแบบกะทันหัน พร้อมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันทำให้เป็นห่วงหรือเปล่า ?” ก็ได้ นี่คงเป็นปาฏิหาริย์ที่เธอหวังให้มันเกิดขึ้น แน่นอนว่าผมเข้าความรู้สึกนั้นดี
“หรือเพราะฉันส่งคลิปแปลกๆ ไปให้เธอหรือเปล่านะ”
“แปลกยังไง”
“สารภาพรักของคนอื่นอะไรประมาณนั่น”
“อ่อ หมายถึงแบบนั้นสินะ”
ฮายาเสะคงไม่ชินกับการที่คนรอบข้างหายไป ส่วนผมที่ชินกับการที่ผู้ใหญ่รอบตัวผลัดเปลี่ยนไปมา จึงก็ไม่ได้รู้สึกมากนัก
ไม่สิ ถ้าพูดแบบนั้นก็เหมือนหลอกตัวเองน่ะสิ
ต้องบอกว่า ฟุยุสึกิ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมเลย
“จะเป็นยังไงกันต่อนะ”
ผมลองชวนคุยกับฮายาเสะดู แต่เธอกลับตอบกลับมาเพียง “ไม่รู้สินะ”
“…”
“…”
ผมไปต่อกับบทสทนาไม่เป็น
“เอ่อ…ข้อสอบกลางภาคน่ะ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ข้อสอบเก่ากลางภาค มีรุ่นพี่ให้เธอมาบ้างไหม?”
“มีนะ รุ่นพี่ส่วนใหญ่ก็จะให้ข้อสอบเก่าพวกนี้มานี่แหละ”
“งั้นขอฉันถ่ายเอกสารหน่อยนะ เดี๋ยวเลี้ยงขนมเป็นการตอบแทน”
“ได้สิ”
มันควรจะเป็นเรื่องที่น่าขำเพราะของตอบแทนเล็กน้อยแท้ๆ แต่ฮายาเสะกลับเหม่อลอย ไม่สนใจอะไร
บางทีคงเป็นเพราะในหัวของเธอเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับฟุยุสึกิ ฮายาเสะจ้องมองพื้นที่มีมดกำลังเดินเรียงรายเป็นแถวผ่านไปด้วยความเหม่อลอย
ทันใดนั้นเอง
เสียงของนารุมิก็ดังมาจากไกลๆ
นารุมิวิ่งเข้ามาพร้อมโบกมือ ด้วยความที่นารุมิร่างกายบึกบึนมาตั้งแต่แรกจึงทำให้เขาดูเหมือนเป็นนักรักบี้คนหนึ่ง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันหลีกทางให้
จากนั้น นารุมิก็ยันมือไว้บนเข่าแล้วหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบลมหายใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมถึงวิ่งมา?” ฮายาเสะถาม
“ฟู่ ฟู่…วะ..วิ่งมา…จากสถานีสึกิชิมะ” นารุมิพูดมาเป็นตอนๆ
ดูเหมือนว่าเขาวิ่งมาจากสถานีสึกิชิมะ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณกิโลนึง ผมพลางคิดเล่นๆ ว่ากฎหมายจราจรน่าจะออกข้อบังคับให้คนแข็งแรงขนาดนี้วิ่งบนทางเท้าได้
ขณะที่กำลังจะพูดเล่นแบบนั้นออกไป นารุมิก็พูดประโยคอันไม่คาดคิดออกมาー
“เจอฟุยุสึกิแล้วล่ะ”
ทันทีที่นารุมิพูดจบ ผมกับฮายาเสะต่างหันมามอง
“ที่ไหน?”
“เหมือนเธอจะเดินมาจากชินโตมิโช แล้วเข้าไปในโรงพยาบาลใหญ่”
คำว่า “โรงพยาบาล” ทำให้ผมรู้สึกเสียววาบไปถึงสันหลัง
นั่นทำให้ผมนึกถึงอดีตของเธอ
เนื้อร้าย แพร่กระจาย เข้ารักษาตัว
ไม่แน่ว่าเธออาจจะป่วยอีกครั้ง หัวของผมร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที
‘อยากเจอเธอ’ ความรู้สึกนั้นได้เข้าครอบงำจิตใจผม
“ขอบใจ ฉันไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ฉันไปด้วย”
ฮายาเสะคว้าแขนเสื้อผมไว้แน่น
“นารุมิคุงจะไปไหม?”
“โทษที ตอนบ่ายฉันมีเรียนคาบภาคบังคับน่ะ”
“โอเค เข้าใจแล้ว!”
พวกเราพูดแล้วรีบวิ่งทันที
“รู้ใช่ไหมอยู่ไหน!”
ผมหันไปยื่นโทรศัพท์ให้ดู
“เปิดแมพดูได้! แต้งกิ้วมาก!”
“ระวังตัวด้วย!”
ผมวิ่งสุดกำลังจนลมหายใจขาดห้วง หยุดเดินเร็วแล้วก็กลับมาวิ่งอีกครั้ง จนรู้สึกเจ็บที่สีข้างและได้ลิ้มลองรับรู้รสชาติของเลือดในปาก ปอดเต็มไปด้วยเจ็บปวด แต่นั่นไม่สำคัญเลย ผมเพียงแค่อยากจะเจอเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
*
ชินโตมิโชเป็นหนึ่งในสถานีที่ถัดมาจากสถานีสึกิชิมะ ผมลังเลว่าจะขึ้นรถไฟไปดีไหม แต่สุดท้ายก็จบด้วยการวิ่งไป เพราะหากต้องลงบันไดเพื่อไปรอขึ้นรถไฟ การวิ่งไปเลยน่าจะเร็วกว่า
ฮายาเสะซึ่งใส่รองเท้าส้นสูง ยอมแพ้ทันทีหลังเริ่มออกวิ่ง แล้วทักขึ้นว่า “ขอโทษนะ ไปก่อนเลย” ด้วยเหตุนั้น ผมจึงมุ่งหน้าวิ่งไปด้วยตัวคนเดียว แล้วมองเห็นโรงพยาบาลใหญ่ชัดเจนจากสะพานสึคุดะ
วิ่งไปได้ประมาณสักสองกิโลก็เหนื่อยหอบเต็มที่ โรงพยาบาลดูยิ่งใหญ่ราวกับป้อมปราการด้วยการผสมผสานระหว่างตึกต่ำสูงจึงทำให้ดูหรูหราอลังการมาก
“สุดยอดไปเลย มีสวนลอยฟ้าด้วย”
สมกับเป็นโรงพยาบาลกลางเมือง
พอเข้ามาถึงชั้นหนึ่ง กลับไม่ได้กลิ่นในแบบของโรงพยาบาล แต่ได้กลิ่นหอมอโรม่าของกาแฟแทน บรรยากาศภายในหรูหราจนผมไม่อยากจะเชื่อสายตา นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟสีเขียวชื่อดังซึ่งเป็นเจ้าของกลิ่นตั้งอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีร้านอาหาร แล้วยังมีงานอาร์ตอยู่อีก เมื่อมองภาพรวมแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนโรงแรมหรูจนผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่
ถ้ามาขนาดนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ต้อนรับคงแต่งตัวเหมือนพนักงานโรงแรมเลยหรือเปล่านะ ผมคิดเล่นๆ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นแค่เคาน์เตอร์ต้อนรับเหมือนในโรงพยาบาลทั่วไป
“อะ…เอ่อ ขอโทษนะครับ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”
“คะ…ค่ะ ไม่ทราบว่ามารับการตรวจครั้งแรกหรอคะ”
ผมพูดไปอย่างหอบเหนื่อยทั้งอย่างนั้น จนพนักงานต้อนรับดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย
“ที่นี่มีคนชื่อ ฟุยุสึกิ…ฟุยุสึกิ โคฮารุ อยู่ไหมครับ?”
สีหน้าพนักงานแสดงอาการงงอย่างชัดเจน
“ขอโทษนะคะ เรื่องข้อมูลส่วนบุคคลเราไม่สามารถเปิดเผยให้ได้นะคะ”
“ขอร้องเถอะครับ ช่วงนี้ติดต่อเธอไม่ได้เลย”
ผมพยายามสุดกำลัง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่ามันเป็นคำขอที่ดูงี่เง่า แต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้ ผมอยากรู้ อยากให้บอก อยากพบกับเธอคนนั้น ฟุยุสึกิ โคฮารุ
“ถึงจะขอแบบนั้นก็เถอะนะคะ…”
แต่แล้วก็ผู้หญิงอีกคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ
เป็นรอยยิ้มที่บอกได้ชัดเลยว่าไว้รับมือสำหรับคนน่าสงสัย
“ไม่ทราบว่า มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีครับ ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”
ผมหมุนตัวกลับแล้วเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ต้อนรับ โดยที่ตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองขอโทษเรื่องอะไร
ผมรู้ดี ว่าตัวเองทำเรื่องบ้าบออะไรอยู่
ทันใดนั้นเอง
พื้นก็ได้สั่นสะเทือนวูบใหญ่
ตาผมพร่าเลือนกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าราวกับอาการขาดอากาศหายใจ และทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในล็อบบี้ พลางคิดว่านี่เราไม่ได้วิ่งจริงจังขนาดนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น “หมายเลข 107 ครับ” จากนั้นก็มีคนถูกเรียกตามหมายเลข
ผมคิดว่าถ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะมีชื่อฟุยุสึกิโพล่มาก็ได้ แต่ดุเหมือนโรงพยาบาลนี้จะไม่ใช้วิธีนี้ ทำให้ต่อให้รอจนเมื่อยก็ไม่มีทางได้ยินชื่อฟุยุสึกิถูกเรียกแน่ๆ
“ไปอยู่ที่ไหนนะ”
ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดดู LINE
ข้อความที่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ถูกอ่าน
ฟุยุสึกิ…ฟุยุสึกิ…ฟุยุสึกิ…
ในหัวมีแต่ฟุยุสึกิเต็มไปหมด
“โซราโนะคุง!”
ฮายาเสะที่มาถึงช้าก็ได้ปรากฏตัวที่ล็อบบี้
“มารถไฟหรอ?”
“เปล่า ไปเจอแท็กซี่เลยขึ้นมาน่ะ”
สีหน้าของฮายาเสะดูเคร่งเครียดมาก คงจะรีบมาจริงๆ
“แล้วเจอโคฮารุจังไหม?”
“พอถามที่เคาน์เตอร์ เขาไม่ยอมบอกน่ะ”
“จะบ้าหรอ มันก็แน่อยู่แล้วสิ! แต่ก็จริง…มันก็ควรเป็นอย่างงั้นแหละ”
ฮายาเสะทำหน้าตาเหมือนกำลังนึกคิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“ถ้างั้นเราต้องหาด้วยตัวเองแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาที่อาคารเก่าข้างๆ ถ้าเจอก็โทรบอกกันด้วยนะ”
ว่าแล้วฮายาเสะก็เดินไปทางอาคารเก่า
จากนั้นผมก็เริ่มหาฟุยุสึกิภายในโรงพยาบาล โรงพยาบาลมีทั้งหมด 12 ชั้น ผมพยายามทำตัวไม่ให้เป็นพิรุธที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเกิดถูกถามก็จะบอกว่า “มีห้องที่จะต้องไปอยู่แล้วครับ” พลางตรวจสอบห้องต่างๆ ทีละชั้น พอขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ก็ได้กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อซึ่งคงเป็นกลิ่นเฉพาะของโรงพยาบาล
ที่ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะแผนกโรคตาละมั้ง ผมนึกเช่นนั้นพลางมองหาคนที่ใช้ไม้เท้าดู แต่ก็ไม่พบใคร
ฟุยุสึกิ…ฟุยุสึกิ…ฟุยุสึกิ…
ในหัวมีแต่ฟุยุสึกิเต็มไปหมด
และยังไม่มีข้อความมาจากฮายาเสะ
ไปอยู่ไหนเนี่ย!
จิตใจผมเริ่มร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นแผนกกุมารเวชก็คิดว่า “ชั้นนี้ไม่น่าใช่แล้วล่ะ” เลยกำลังจะหันหลังกลับ แต่ทันใดนั้นเอง
“♪”
มีเสียงเปียโนดังขึ้น ท่วงทำนองนุ่มนวลกังวานไปทั่วทางเดินของโรงพยาบาล เสียงดนตรีดูคุ้นหูชวนหัวใจเต้นตึกตัก ภาพของฟุยุสึกิกำลังเล่นเปียโนลอยขึ้นมาในหัว
นี่คงเรียกว่าห้องเด็กเล่นกรึเปล่านะ ผนังเป็นวอลเปเปอร์สีฟ้าพาสเทล ส่วนพื้นปูด้วยแผ่นโฟมจิ๊กซอว์สี่เหลี่ยมนุ่มๆ สีเหลืองและเขียว มีของเล่นและหนังสือภาพจัดเรียงไว้เต็มชั้น มีเด็กราวๆ 10 คนอยู่ในห้องนั้น และยังมีมีผู้หญิง 3 คนซึ่งน่าจะเป็นแม่ของเด็กๆ จ้องมองลูกของตนด้วยความเอ็นดู นอกจากนี้ ในห้องนั้นยังมีเปียโนตั้งอยู่ และที่ขอบของคีย์บอร์ด ก็มีไม้เท้าวางพิงไว้อยู่
หัวใจเต้นแรง
ฟุยุสึกิกำลังเล่นเปียโน โดยใช้ร่างกายบรรเลงโน๊ตด้วยความไหลลื่น เส้นผมยาวสลวยพลิ้วไหวตามจังหวะ
เพลงนี้คือเพลงอะไรนะ เป็นเพลงที่ถูกเล่นบ่อยๆ ในโบสถ์
“มีสหายเลิศ♪”
เสียงร้องอันแผ่วเบาและอ่อนโยนดังขึ้น เป็นเสียงร้องที่ฟังดูเหมือนเสียงร้องของมืออาชีพ โดยมีเหล่าเด็กๆ ร้องตามไปพร้อมๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงของเธอ ความโล่งใจก็ได้แผ่ซ่านจากหัวจรดปลายเท้าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง
จะ…เจอแล้ว ค่อยยังชั่ว
ในที่สุดก็เจอ ค่อยยังชั่ว….ที่ยังอยู่ ที่ยังไม่หายไป
“ผู้ได้แบกบาปทุกข์ของเรา♪”
ฟุยุสึกิยังคงร้องเพลงด้วยเสียงอันสดใสบริสุทธิ์โดยไม่รู้ถึงการมีตัวตนของผมอยู่เลย
อะไรเนี่ย ร้องเก่งสุดๆ
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ จนมองอะไรแทบไม่เห็น น้ำตาคลอเบ้าแล้วไหลลงแก้ม จากนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารายงานฮายาเสะ
โซราโนะ【เจอแล้วนะ】
ยูโกะ 【อยู่ไหน!?】
โซราโนะ 【ห้องเด็กแผนกกุมารเวช】
ยูโกะ【ทำอะไรอยู่หรอ?】
โซราโนะ【เป็นพี่สาวร้องเพลงให้เด็กๆ ฟัง】
หลังจากนั้น ฮายาเสะก็ส่งสติกเกอร์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนมา ซึ่งผมไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ได้เลย
หลังจากได้เจอกับฮายาเสะแล้ว พวกเราก็มานั่งรอฟุยุสึกิที่ชั้นรอคิวเตรียมนัดพบแผนกกุมารเวช
การร้องเพลงของฟุยุสึกิน่าจะกินเวลาราวๆ 15 นาที เด็กๆ ตะโกนขอบคุณเสียงดัง “ขอบคุณครับ/ค่ะ” ก่อนที่ฟุยุสึกิจะโบกมือบอกลาแล้วเดินออกมา
“ไปกัน” ผมพูดกับฮายาเสะ เธอพยักหน้าและเดินตามหลัง
จะทักยังไงดีนะ ที่ผ่านมามันแค่อาทิตย์เดียวเอง แต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านมานานหลายปี หัวใจเต้นแรงตึกตัก ยากจัง ไม่รู้จะทักยังไงดี
“ฟุยุสึกิ!”
เสียงของผมทำให้ฟุยุสึกิสะดุ้ง
แต่ทว่า ท่าทางของเธอทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ
“ขอโทษนะ ฟุยุสึกิ นี่โซราโนะเองนะ อยู่ข้างหลังนี่เอง”
ผมรู้ว่าการเรียกคนมองไม่เห็นควรบอกชื่อตัวเองด้วยว่าใครเป็นคนเรียก แต่หลังจากคุ้นเคยกันแล้ว เธอก็สามารถจำเสียงของผมเองได้โดยไม่ต้องบอกชื่อ
ทว่า ครั้งนี้กลับไม่รู้ว่าเป็นผม
ความรู้สึกอันแปลกประหลาดค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความกังวล
ไม่ใช่เสียงเฟรนลี่สบายๆ ที่ตอบกลับมาว่า “อ๊ะ คาเครุคุงนี่เอง”
ฟุยุสึกิหันมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กังวลใจที่ให้ความรู้สึกเหมือนเลือดทั่วทั้งร่างกายแข็งเย็นเฉียบ ริมฝีปากแห้งผากและรู้สึกกระหายน้ำ
ผมพูดกลบเกลื่อนความกังวลด้วยน้ำเสียงติดตลก
“กำลังตามหาอยู่เลย พอจะมีเวลาให้บ้างไหมครับ คุณหนู?”
โดยปกติแล้ว ฟุยุสึกิจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มและเล่นไปตามบท อย่าง “คุณเป็นใครคะ?” หรือ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว!” พร้อมกับพูดหยอกเล่นไม่แก่นสาระ แต่คราวนี้ฟุยุสึกิกลับตอบเพียงแค่ “ค่ะ” ด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
นี่มันหมายความว่ายังไง เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป
ถัดมาจากชั้นห้องสันทนาการเด็ก ดูเหมือนจะมีสวนลอยฟ้าอยู่ ผมและฮายาเสะจึงพาฟุยุสึกิไปนั่งที่สวน
เมื่อฮายาเสะยื่นแขนให้ ฟุยุสึกิก็ทำท่าปฏิเสธแล้วจับราวเดินไปเอง
แม้จะอยู่บนตึกสูง แต่ก็ยังมีสวนลอยฟ้าที่มีต้นไม้และสนามหญ้าถูกจัดไว้อย่างสวยงาม โดยในพุ่มไม้เขียวขจีก็ได้มีดอกสึสึจิสีแดงเบ่งบานอยู่ ถัดเข้าไปข้างในก็มีซุ้มโค้งเขียวนำทางไปยังม้านั่งที่ตั้งอยู่ข้างในนั้น
ผมพาฟุยุสึกิไปนั่งยังม้านั่ง เธอสวมชุดนอนสีพาสเทล
เมื่อนั่งประจันหน้ากัน ผมรู้สึกลำบากใจที่จะพูดประโยคแรกออกมา
และในที่สุด ผมก็เก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้แล้วพูดออกมาเพียงคำว่า “ไม่ได้เจอกันนานนะ”
ส่วนฮายาเสะที่นั่งข้างๆ ฟุยุสึกิก็กุมมือของเธอแล้วพูดว่า “เป็นห่วงมากเลยนะ”
“ทำไมถึงติดต่อไม่ได้เลยล่ะ?”
ฟุยุสึกิดูเกร็งแปลกๆ บางทีอาจเพราะการจับมือแบบฉุกละหุกของฮายาเสะ
ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
จากนั้น ฟุยุสึกิก็เปิดปากพูดพร้อมกับคำพูดที่ฟังแล้วชวนสิ้นหวัง
──”คือว่า…เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรอคะ?”
เธอพูดออกมาราวกับว่านี่….เป็นการพบกันครั้งแรก
ฮายาเสะตาค้างด้วยความตกใจ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แล้วหันมามองผม
แน่นอนว่า ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
“นี่เธอพูดจริงหรอ?”
ฟุยุสึกิร้องออกมาเบาๆ ด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินน้ำเสียงข่มขู่จากคนที่เธอมองไม่เห็นใบหน้า แน่นอนว่าใครก็คงรู้สึกกลัวเป็นธรรมดา
“ขอโทษนะ”
ผมพูดเหมือนจะบอกตัวเองอีกครั้งว่า ขอโทษ
แต่ในที่สุดเราก็ได้พบกัน
อะไรเนี่ย
หัวใจเต้นแรงจนวิงเวียน ผมหลับตาแล้วแหงนหน้ามองพระอาทิตย์เหนือหัวรู้สึกมึนหัวแล้วก็รู้สึกเหมือนกรดไหลย้อนมาในเวลาเดียวกัน
“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น…ใช่ไหม?”
ผมถามซ้ำ ราวกับต้องการคำยืนยันครั้งสุดท้าย ถ้าเป็นเรื่องล้อเล่นก็ให้มันจบแค่นี้ ผมหวังให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าฟุยุสึกิกลับตอบกลับมาอย่างไม่คาดคิด
“เรื่องล้อเล่น? หมายถึงอะไรเหรอคะ?”
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“แล้วคุณเป็นใครกันแน่คะ? ดิฉันจะเรียกไปคนมานะคะ”
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เมื่อยอมรับความจริงข้อนี้ได้ ผมมองไปที่ฮายาเสะซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เธอเริ่มน้ำตาคลอ
“งั้นเหรอ”
ผมเผลอพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่เมื่อตัดใจยอมรับมันได้แล้ว มันกลับทำให้ผมรู้สึกเข้มแข็งขึ้น
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อโซราโนะ คาเครุ แล้วทางนี้คือฮายาเสะ──”
*
หลังจากที่ได้คุยกับฟุยุสึกิ ผมก็ตัดสินใจกลับไปที่หอพักก่อน
พอออกจากโรงพยาบาลก็เย็นแล้ว แม่น้ำสุมิดะใต้สะพานสึคุดะถูกย้อมเป็นสีส้ม ไฟบนสะพานเริ่มส่องแสงทั้งที่ฟ้ายังไม่มืด ผมยังคงทำหน้าตาหม่นหมองมากถึงขนาดที่ทำให้พุดเดิ้ลที่กำลังถูกเจ้าของพาเดินเล่นอยู่แถวนั้นเห่าขู่
ผมที่รู้สึกหมดหวังได้หยิบก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาแล้วปามันลงไปที่แม่น้ำจากบนสะพาน
“ฉันขอเอาด้วย” ฮายาเสะพูดทั้งน้ำตาคลอ ก่อนจะหยิบก้อนหินปาลงไปในน้ำเช่นกัน
ผมเก็บหินอีกก้อนตามฮายาเสะแล้วโยนลงไป ได้ยินเสียง “จ๋อม” ตามมาก่อนที่ระลอกคลื่นเล็กๆ จะแผ่กว้างออกไป แต่มันช่างเล็กเหลือเกิน แม้ว่าภายในใจของผมจะเต็มไปด้วยคลื่นความรู้สึกอันหนักหน่วง แต่น้ำตรงหน้ากลับสงบนิ่งไม่ไหวติง ไม่ว่าจะโยนหินลงไปมากเท่าไหร่ น้ำก็ยังคงสงบอยู่ ผมไม่อาจยอมรับท่าทีสงบนี้ได้เลย ในเมื่อฟุยุสึกิกลายเป็นแบบนั้นแล้วแท้ๆ
『ไม่อยากให้แม้แต่คลื่นกระเพื่อมเลยนะ』
คำพูดของตัวเองในอดีตผุดขึ้นมาในหัว ทำให้ผมตระหนักได้ว่าผมผูกพันกับสิ่งนี้ขนาดไหน เผลอร้อง “อาาาา!” ออกมาเสียงดัง ฮายาเสะก็โยนก้อนหินพร้อมกับตะโกนออกมาเช่นกัน
คราวนี้ ชิวาว่าที่ถูกออกพามาเดินเล่นแถวนั้นก็เห่าใส่เรา
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของชิวาว่าถามขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่า” ของเขาดูเหมือนจะเป็นการถามเช็กว่าพวกเราจะไม่เป็นอันตรายต่อเขาเสียมากกว่า นอกจากนี้ เขากำลังถือโทรศัพท์ราวกับเตรียมจะโทรแจ้งตำรวจได้ทุกเวลา
เราสองคนจึงวิ่งหนีออกมา
ฮายาเสะตามมาถึงห้องในหอพักของผม
ที่บอกว่าตามมานั้น คงจะพูดไม่ถูกสักเท่าไหร่ ความจริงคือผมเองนี่แหละที่เหมือนรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ตลอดทาง จนมาถึงหน้าหอพักนี่แหละ ถึงเห็นว่าฮายาเสะก็ตามมาด้วย
ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นกระเทียมอบอวลตลบอบอวลไปทั่วห้อง นารุมิกำลังย่างเกี๊ยวซ่าอยู่พอดี เขาหันมาแล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับกลับ กินด้วยกันไหม?” ท่าทีสบายๆ ของเขาทำให้ผมแทบจะร้องไห้ออกมา ส่วนฮายาเสะก็พูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกว่า “เหม็นโพ้ด!”
ณ กลางห้อง มีเกี๊ยวซ่าทอดวางเรียงอยู่ 50 ชิ้นบนโต๊ะกลม
“เอาล่ะ เรามาสรุปสถานการณ์กันหน่อยไหม”
นารุมิพูดพลางจิ้มเกี๊ยวซ่าลงในน้ำส้มสายชูและโชยุแล้วกินไปกับข้าว
“วันอาทิตย์หลังงานเทศกาลโรงเรียน นายจูบกับฟุยุสึกิ แล้ววันจันทร์ก็ไม่ได้เจอกันเลยใช่ไหม?”
“ใช่ แล้วฟุยุสึกิก็ไม่ได้เข้าเรียนด้วย” ผมพยักหน้าให้
“แล้วคืนวันจันทร์ ฉันก็ส่งคลิปสารภาพรักนั้นไป” ฮายาเสะกอดอกพลางพูด
หลังจากนั้น ผ่านไปเป็นอาทิตย์ก็ยังติดต่อเธอไม่ได้เลย พอได้เจอกันอีกครั้ง ฟุยุสึกิก็ทำท่าทีเหมือนสูญเสียความทรงจำ
“ต่อให้บอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน เธอก็ปฏิเสธตลอด”
“ฟุยุสึกิไม่มีโทรศัพท์เหรอ? ลองดูประวัติแชทใน LINE น่าจะรู้แล้วนี่”
ฮายาเสะอ้าปากพูด
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก็เลยขอให้เขาเอาโทรศัพท์มาให้ดู แต่มัน…”
“มันอะไร” นารุมิถาม
“หน้าจอโทรศัพท์น่ะ มันแตกจนยับเลย”
ผมพูดเสริม จากนั้นฮายาเสะพยักหน้าตอบรับ
“จอแตกซะเหมือนใยแมงมุม ‘พอใช้โทรออกได้อยู่นะคะ! แต่ทัชสกรีนใช้ยากหน่อยเท่านั้น’ เจ้าตัวว่ามาดงี้ ก็สมเป็นโคฮารุจังคนดีคนเดิมดีนั่นแหละ”
นารุมิหัวเราะเสียงดังพลางตบต้นขาตัวเอง “ฟุยุสึกิพูดแบบนั้นจริงๆ ด้วย 5555”
“ไม่ใช่เวลามาหัวเราะสักหน่อย!”
ฮายาเสะพูดเสียงสั่นพร้อมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโกรธเคือง
“ฉันเข้าใจนะ แต่ถ้าพวกเราซึมไปด้วย มันจะยิ่งแย่นะ”
“เพราะนายไม่ได้เจอฟุยุสึกิ เลยพูดแบบนี้ไง”
ฮายาเสะสะอื้นเบาๆ
“โคฮารุจังน่าสงสารออก”
“โถ่ อย่าร้องน้า”
ผมเข้าใจดีว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ ตอนที่ฟุยุสึกิพูดว่า “คุณคือใครคะ?” ด้วยใบหน้าไร้เดียงสานั้น มันช่างเป็นแผลที่ลึกซะเหลือเกิน
ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างที่เคยมีมาถูกลบออกไปหมด ทั้งที่เคยสนุกด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน หัวใจเต้นแรงด้วยกัน แล้วจะให้ไปรับความจริงที่ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง!
อะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฟุยุสึกิกลายเป็นแบบนั้นได้ยังไง
ทั้งที่มีโรคร้ายและมองไม่เห็นแท้ๆ แต่ก็ยังพยายามเข้ามหาลัย แล้วยังจะต้องเจอกับบททดสอบอันโหดร้ายนี้อีกอย่างงั้นหรอ…ถ้าเกิดมีพระเจ้าที่คอยนำพาทำให้เธอต้องเจอกับอะไรแบบนี้ คงโหดร้ายเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นไรนะ เราพยายามด้วยกันก็ได้ใช่ไหม?”
“พยายาม? จะทำอะไรล่ะ?”
“พวกเราเองก็คงทำอะไรได้บ้าง”
“ก็เลยถามนี่ไง จะทำอะไรยังไงล่ะ!”
ฮายาเสะตะโกนด้วยความโมโห
“…”
“…”
“…”
ความเงียบเข้าครอบงำ เสียงหัวเราะแหบๆ ของผู้ชายที่อยู่ในหอใกล้ๆ ดังสะท้อนมาตามทางเดิน
นารุมิลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ทำเท่าที่เราทำได้กันเถอะ” จากนั้นก็เริ่มค้นของกินในตู้เย็น
“โซราโนะ ฮายาเสะ เอาซุปมิโสะไหม?”
“เป็นแม่บ้านรึไง” ผมแซวแบบเดิมตามเคย
“มีข้าวอยู่เยอะ จะกินเพิ่มก็บอกได้เลยนะ”
“กลายเป็นแม่บ้านจริงๆ แล้วเนี่ย”
ฮายาเสะหัวเราะพรืดออกมา
“โซราโนะคุงอย่าทำฉันขำสิ”
“ร้องไห้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกน่า”
“ทำไมโซราโนะคุงถึงได้ดูสบายใจขนาดนั้นล่ะ “
“สบายใจ? เอ๊ะ สบายใจเหรอ? จะบ้าหรอ”
ผมเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง นารุมิยกมือขึ้นราวกับจะไกล่เกลี่ย
“เอาล่ะๆ กินเกี๊ยวซ่าก่อนที่มันจะเย็นเถอะนะ โอเคไหม?”
“ไม่เอา ฉันไม่อยากกินแล้ว” ฮายาเสะพูดเสียงบูดบึ้ง ผมคงพูดเกินไปจริงๆ
“จะทะเลาะกันไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ กินเกี๊ยวซ่ากันหน่อยเถอะนะ”
“แม่บ้านจริงๆ” ฮายาเสะแซวเบาๆ แล้วคีบเกี๊ยวซ่าเข้าปาก
“…อร่อย”
“ใช่ไหมล่ะ?”
นารุมิยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ฮายาเสะหันไปมองนารุมิด้วยแววตาขุ่นเคืองแต่ก็หยิบเกี๊ยวซ่ากินทีละชิ้นไม่หยุด จากที่ทำท่างอแงไม่อยากกิน แต่กลับกินเอาๆ จนน่าตกใจ
“อย่ากินหมดสิ”
“ไม่เอา ฉันอารมณ์ไม่ดีแล้วกระเพาะใหญ่ ไม่มีกับข้าวอื่นเหรอ?”
“ว่าแต่ มีไส้กรอกจากบ้านของนารุมิส่งมาด้วยนี่นะ”
พอผมมองไปที่ตู้เย็น นารุมิก็พูดเสียงดังว่า “ไม่ได้!” แล้วขยับตัวไปยืนขวางหน้าตู้เย็นแบบเกินจริงตามสไตล์คนคันไซ
“ไส้กรอกนั่นคือของโปรดฉันนะ! มันเป็นไส้กรอกแบบม้วนที่เป็นเกลียวๆ”
“อะไรน่ะ ฟังดูน่ากินชะมัด แบ่งกันหน่อยจิ”
ฮายาเสะพยายามดึงไหล่นารุมิเพื่อเปิดตู้เย็น แต่นารุมิก็ส่ายหัวพลางพูดว่า “ไม่ได้ๆ!” ผมมองทั้งสองคนแล้วหัวเราะจนท้องแข็ง
ตอนยังไม่เข้ามหาลัย ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเพื่อนแล้วได้ทำตัวสนุกสนานแบบนี้
ได้ย่างเกี๊ยวซ่า ได้นึกคิด ได้ร้องไห้ ได้ทะเลาะกัน แล้วก็คิดว่าจะทำอะไรให้ดีที่สุดด้วยตัวเอง
บางทีมันอาจเป็นความคิดที่ตื้นเขินไปก็ได้
บางทีคำตอบอาจจะยังไม่ดีพอ
แต่ว่า การได้พยายามเต็มที่กับอะไรแบบนี้ก็ไม่แย่เหมือนกัน