ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส - ตอนที่ 2.2 ที่นั่งด้านนอก
เช้าวันจันทร์ในสัปดาห์ต่อมา หลังคาบเรียนแรกจบ ฟุยุสึกิได้ทำไม้เท้าหล่นอีกครั้ง
ผมหวังลึกๆในใจว่าจะมีใครสังเกตเห็น แต่สุดท้ายเเล้วก็ไม่มีใครสนใจ ปล่อยผ่านไปผมคงรู้สึกผิด จึงเข้าไปทักว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม” ฟุยุสึกิกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
หลังจากนั้น พวกเราก็เลยมานั่งฆ่าเวลาที่ระเบียงอีกครั้ง
ฟุยุสึกิยังคงกินชานมหวานมากเหมือนเคย ขณะที่เราคุยกันเรื่อยเปื่อยสัพเพเหระจนกระทั่งไม่มีอะไรจะพูด เราก็นั่งกันเงียบๆ เธอเองก็ดูสบายใจ ผมจึงปล่อยใจเเละนั่งเงียบไปด้วย
สายลมเย็นพัดมา เสียงใบไม้เสียดสีกันฟังดูผ่อนคลาย ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ทําเอาผมพลางหาวออกมา แต่ก็พยายามกลั้นเสียงเอาไว้
เเต่ทันใดนั้นเอง
“อรุณสวัสดิ์~”
ฮายาเสะเดินมาพร้อมโบกมือ
“อ๊ะ ยูโกะจัง” ฟุยุสึกิหันหน้าไปทางต้นเสียง
“แค่ได้ยินเสียงเมื่อกี้ก็รู้ว่าเป็นฮายาเสะแล้วเหรอ”
ผมประหลาดใจ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงแยกไม่ออกแน่ๆ
“เสียงของยูโกะจังน่ารัก เลยจำง่ายน่ะ”
“งี้นี่เอง”
ผมเคยได้ยินว่าพอสูญเสียการมองเห็นไปแล้วประสาทการรับฟังจะเฉียบคมขึ้น ซึ่งก็ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
“คาบสองอาจารย์มีธุระเลยยกคลาสน่ะ ว่าเเต่…เมื้อกี้คุยอะไรกันหรอ”
ผมที่กำลังจะบอกว่า ‘ไม่มีอะไร’ เเต่ฟุยุสึกิก็ได้ชิงตอบก่อน
“คุยกันว่าเสียงของยูโกะจังจำง่ายน่ะ”
“เอ๋ จริงเหรอ”
ฮายาเสะเข้ามานั่งระหว่างผมกับฟุยุสึกิ โดยเธอหันหลังให้ผมและหันหน้าไปหาฟุยุสึกิ
“แปลว่าประสาทการฟังจะเฉียบคมขึ้นถ้าเกิดมองอะไรไม่เห็นสินะ”
ฮายาเสะเปิดปากถามตรงๆ ในสิ่งที่ผมลังเลจะถาม
“เอ๊ะ ฉันว่าไม่เกี่ยวนะ”
“งั้นหรอ? แต่ฉันเคยได้ยินมาว่าคนมองไม่เห็นจะเเยกเเยะจากเสียงสะท้อนได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนน่ะ”
“ฟุๆ ทำไม่ได้หรอกเเบบนั้นน่ะ”
ฟุยุสึกิหัวเราะพร้อมกับโบกมือปฏิเสธ
“อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเล่นเปียโนมาตลอด เลยเเยกเสียงได้ดีกว่าคนอื่นละมั้ง”
“โคฮารุจังเคยเล่นเปียโนนี่เอง ถ้างั้นฉันขอรบกวนอะไรหน่อยสิ…”
ระหว่างที่ฮายาเสะกับฟุยุสึกิคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมก็นั่งเเหงนหน้ามองท้องฟ้า มองดูเมฆที่ลอยไปเรื่อยๆ พลางคิดว่า ถ้าได้นอนบนเมฆก้อนนั้นจะสบายขนาดไหนกันนะ
แสงแดดอ่อนๆ ทำเอารู้สึกอยากนอน ผมมองไปทั้งสองที่กําลังคุยกันอย่างสนุกสนาน และคิดว่าคงได้เวลากลับเเล้ว
“งั้นฉันขอกลับหอพักก่อนนะ”
ทันทีที่ผมพูดเช่นนั้น ฮายาเสะก็เข้ามารั้งไว้
“อ๊ะ โซราโนะคุง ช่วยนำทางไปศาลาอนุสรณ์ได้ไหม?”
“นำทางเหรอ?”
“ก็ที่เราคุยกันไว้ไง” ฮายาเสะย่นคิ้วเเล้วพูดต่อ
“งานเเสดงดนตรีแจ๊สสดในงานมหาลัยจะใช้เปียโนที่อยู่ในศาลาอนุสรณ์ซึ่งอยู่ในเขตหอพักน่ะ เเล้วอย่างที่นายรู้ฉันเป็นสมาชิกคณะกรรมการจัดงานในครั้งนี้เลยต้องเข้าไปเช็คสภาพเปียโนน่ะ โคฮารุจังเองก็บอกว่าจะช่วยเช็กเสียงให้อีกแรง”
นี่เป็นครั้งเเรกเลยที่ผมได้รู้ว่า ฮายาเสะเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการจัดงานของมหาลัย อย่างไรก็ตาม ผมที่เกิดอาการสงสัยก็ถามกลับไปว่า
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันล่ะ”
“ก็นายกําลังจะกลับหอพักไม่ใช่เหรอ” ฮายาเสะทําหน้างุนงงแล้วตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย
“แล้ว ‘กลับหอพัก’ กับ ‘นำทาง’ มันเกี่ยวกันตรงไหน…”
“ก็ในเขตหอพักมีกฎอยู่ว่า ‘ห้ามให้คนนอกเข้า’ ไง เพราะงั้นช่วยหน่อยนะ~”
ถ้าปฏิเสธคงดูแย่ ผมจึงยอมตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่นัก
กลับไปนอนดีกว่า น่าจะนอนได้สักสองชั่วโมง
ผมพลางคิดเช่นนั้น ขณะที่กําลังเดินออกจากรั้วมหาลัยผ่านประตูหลังซึ่งเชื่อมไปยังพื้นที่หอพักพร้อมกับสองสาว ทันใดนั้นโทรศัพท์ของฮายาเสะก็ได้ดังขึ้น ดูจากสีหน้าท่าทีของเธอแล้ว ดูเหมือนคนถือสายจะเป็นรุ่นพี่
ฮายาเสะคุยโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ได้เปิดปากพูดออกมา “ขอโทษนะ ฉันต้องกลับไปประชุมเรื่องการจัดงานที่มหาลัยก่อน” เเล้วหันหน้าไปทางมหาลัย ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไป เธอก็เข้ามาจับมือฟุยุสึกิ “ขอโทษนะโคฮารุจัง ฝากเช็คเปียโนแทนหน่อยนะ” จากนั้นก็หันหน้ามาทางผม “โซราโนะคุง รบกวนด้วยนะ!” พร้อมกับโบกมืออย่างร่าเริง
ใจผมอยากจะตะโกนออกมาว่า “เดี๋ยวก่อน!” แต่จะรั้งในช่วงเวลาเเบบนั้นคงดูไม่ดี จึงได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ แล้วพาฟุยุสึกิไปยังจุดหมาย
ผมเดินนำทางเเละเตือนเธอเป็นครั้งคราวว่า ตรงนี้มีบันไดนะ ตรงนี้ทางระดับนะ ไปทางซ้าย ไปทางขวานะ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฟุยุสึกิก็ใช้ไม้เท้าตรวจเช็คสิ่งกีดขวางข้างหน้าขณะเดิน ผมรู้สึกลังเลว่าควรจะยื่นมือเข้าไปช่วยเธอรึเปล่า แต่สุดท้ายเเล้วผมก็ยังไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วย
เเละเเล้ว เปียโนที่ถูกวางไว้ในห้องที่มีฝุ่นหนาก็ได้อยู่ตรงหน้า
ห้องใหญ่ในศาลาอนุสรณ์อันเงียบงันที่มีแสงแดดสาดส่องผ่านเข้ามาเป็นระยะๆ เมื่อเเสงเเดดไปถูกกับฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศก็ทําให้ห้องส่องเป็นประกายระยิบระยับ
โดยที่มุมห้องมีแกรนด์เปียโนสีเงาดำตั้งอยู่ ซึ่งถูกปกคลุมด้วยฝุ่นบางๆ
ผมพาฟุยุสึกิไปยังเปียโน เธอสัมผัสคีย์บอร์ดเบาๆ แล้วร้อง “ว้าว” เหมือนเด็ก
“นั่งได้ใช่ไหม?”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ผมมองฟุยุสึกิที่นั่งอยู่หน้าเปียโนเเละกําลังทาบมือกดคอร์ดคีย์บอร์ด
“ขอโทษที่จู่ๆ ถามตอนนี้นะ เธอเล่นได้แม้จะมองไม่เห็นหรอ?”
“ถ้าเป็นเพลงสมัยยังมองเห็นก็เล่นได้อยู่ค่ะ”
“จะว่าไปก็มีนักเปียโนมองไม่เห็นอยู่ด้วยนี่เนอะ”
“พวกเขาอยู่อีกระดับนึงค่ะ ฉันจำเพลงใหม่ๆ ไม่ได้หรอกค่ะถ้ามองไม่เห็น”
ฟุยุสึกิหัวเราะเบาๆ
“ถ้าเป็นความทรงจำหรือท่าทางบางอย่างที่เคยเห็นผ่านตามาก่อนก็ยังจําได้อยู่ค่ะ อย่างเวลาเล่นเปียโนก็ต้องมองโน้ต เวลามีคนคุยด้วยก็ยังหันไปหาพวกเขา เวลาเห็นพลุก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยังมีบางคนคิดว่าฉันยังมองเห็นอยู่เลยค่ะ เเต่นั่นก็เพราะว่าฉันมีภาพในหัวจากช่วงเวลาที่ยังมองเห็นอยู่ ฉันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เคยมีช่วงเวลาที่มองเห็นค่ะ”
ผมตกตะลึงกับรอยยิ้มของเธอขณะที่พูดออกมาว่า “ขอบคุณตัวเองที่เคยมีช่วงเวลาที่มองเห็น”
สุดยอดไปเลย…ควรเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบเธอที่ถูกต้องรึเปล่านะ แต่ถ้าตอบเเบบนั้นไปอาจจะฟังดูเหมือนตัดสินว่าโดยปกติแล้วคนทั่วไปคิดบวกไม่ได้มากขนาดนี้น่ะสิ
ผมนิ่งเงียบไปชั่วครู่ไม่รู้จะตอบโต้เธอยังไง
เเต่เเล้ว เสียงโน๊ตจากคีย์บอร์ดเรียกสติผมกลับมา
“อ๊ะ แกรนด์เปียโนสินะคะ”
“รู้ด้วยหรอ?”
“ความรู้สึกตอนกดมันต่างกันน่ะค่ะ แกรนด์เปียโนปุ่มจะเด้งกลับมาเร็วกว่าค่ะ”
“เห..”
ฟุยุสึกิพูดว่า “พอรู้ว่าโซราโนะคุงฟังอยู่ด้วยรู้สึกประหม่าจัง” ขณะที่เธอลองกดคีย์บอร์ดเพื่อปรับท่านั่งและตำแหน่งของเก้าอี้
“ถ้างั้นขอเล่นหน่อยนะคะ”
“เชิญเลย”
ฟุยุสึกิวางนิ้วอันเรียวยาวลงบนคีย์บอร์ด สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ หายใจออกพร้อมกับกดคีย์บอร์ดเบาๆ
ท่วงทำนองอันไพเราะและนุ่มนวลแผ่กระจายไปทั่วห้องอันกว้างใหญ่ที่เงียบสงบ
นิ้วของเธอบรรเลงโน๊ตอันไพเพราะราวกับกำลังลูบคีย์บอร์ดอยู่
ผมทึ่งกับความสามารถของเธอ เพลงที่เธอเล่นนั้นราวกับเป็นเพลงของท้องทะเล
เหมือนกับกําลังยืนอยู่ในน้ำทะเลที่นํ้าท่วมมาถึงข้อเท้า มีคลื่นซัดเข้ามาและถอยกลับไป พื้นผิวทะเลอันไกลส่องเป็นประกายระยิบระยับจากการตกกระทบของเเสงแดด พลางมองดูนกทะเล พลันนั้นก็ได้มีคลื่นสีขาวซัดเข้ามา ยอดคลื่นตกมาลงที่เท้าพร้อมเเสงประกายแวววาวอย่างพอดิบพอดี
การเล่นเพลงของฟุยุสึกิให้ความรู้สึกเช่นนั้น
“เป็นยังไงบ้างคะ?”
หลังจากจบเพลง ฟุยุสึกิถามความเห็นผม
จะตอบยังไงดี…
“อืม เพลงของบาคเนี่ยสุดยอดเลยเนอะ”
หลังจากผมตอบไปแบบสุ่มๆ ฟุยุสึกิก็หัวเราะออกมา
“นั่นสินะคะ เเต่นี่ไม่ใช่บาคค่ะ”
“อ๊ะ หรือจะเป็นโมทซาร์ท?”
“ไม่…ใกล้เคียงเลยค่ะ”
“งั้นโชแปง!”
ฟุยุสึกิหัวเราะใหญ่
“อย่างที่คิด โซราโนะคุงเป็นคนตลกจริงๆ เพลงนี้ชื่อ ‘คลื่นของอะราเบสก์’ ของมิโยชิ อากิระค่ะ”
“ไม่เคยได้ยินเลยเเฮะ”
คนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนดนตรีคลาสสิกคงรู้จักแค่ บีโธเฟน บาค โมทซาร์ท เเล้วก็โชแปง ที่มีรูปเเปะอยู่ในห้องดนตรี
“เพลงนี้เป็นเพลงที่ถูกเลือกใช้ในงานประกวดเปียโนอยู่บ่อยๆ ค่ะ ฉันเริ่มเล่นเพลงนี้ครั้งเเรกสมัยประมาณ ป.5 ตั้งเเต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็รู้สึกชอบเเละหลงใหลในเพลงนี้เลยเล่นอยู่บ่อยๆค่ะ ส่วนตัวเเล้ว ฉันชอบเล่นช้ากว่าตามโน้ตที่มีมาให้ค่ะ”
“ถ้าให้พูดตรงๆ ฉันว่าเธอเล่นเก่งมากเลยนะ”
ผมทึ่งที่เด็กประถมสามารถเล่นเพลงระดับนี้ได้ หลังจากที่ผมชม ฟุยุสึกิก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนพูดว่า “ขอเล่นอีกหน่อยนะคะ” ด้วยความดีอกดีใจ
“อืม ตามสบายเลย”
จากนั้นฟุยุสึกิก็เล่นต่ออีกประมาณสามสิบนาที
*
“เปียโนอาจจะต้องจูนนิดหน่อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ค่ะ”
ฟุยุสึกิที่เล่นเปียโนจนพอใจแล้ว เดินอยู่ข้างๆ ผมพร้อมน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้น
“เล่นเปียโนอยู่บ่อยๆ เหรอ?”
“ใช่ค่ะ เล่นตอนอยู่ที่บ้านอยู่บ่อยๆ แต่เป็นเปียโนไฟฟ้านะคะ”
ในเมื่อเวลาที่จะเวลานอนไม่เหลือแล้ว ผมเเละฟุยุสึกิตัดสินใจกลับไปที่มหาลัยเพื่อไปนั่งทานข้าว
หลังเดินออกมาจากโซนหอพักเเละกําลังรอสัญญาณไฟอยู่นั่นเองฟุยุสึกิก็ทักขึ้น
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรๆ”
เกี่ยวกับเรื่องเปียโนน่ะค่ะ ฟุยุสึกิพูดต่อ
“ตอนที่ไม้เท้าตก ฉันพลางคิดในใจว่า สงสัยต้องติดกระดิ่งจริงๆเเล้วสินะเนี่ย เเต่ในเวลาเดียวกันฉันก็รู้สึกว่าเดี๋ยวคุณโซราโนะก็คงช่วยเก็บให้ เเล้วก็เป็นเเบบนั้นจริงๆด้วย! นั่นทําให้ฉันดีใจมากๆเลยล่ะค่ะ”
คำสารภาพของเธอทําผมประหลาดใจมาก
“ไม่จำเป็นว่าต้องคิดว่าฉันเป็นคนเก็บให้ก็ได้นี่…..”
“แต่สุดท้ายก็เก็บให้ใช่ไหมคะ”
ฟุซึกิยิ้มหวาน
“ตอนที่คุณโซราโนะทักฉันในห้องบรรยาย ฉันคิดในใจว่า ‘อ๊ะ เสียงคุณโซราโนะนี่นา’ ตอนนั้นฉันแอบหวังลึกๆในใจว่าจะได้ดื่มชาร่วมกันที่ที่นั่งระเบียงอีกไหม แต่การเรียก ‘คุณโซราโนะ’ ในห้องบรรยายมันค่อนข้างนั้นน่าอายพอสมควรเลย แต่ก็รู้สึกดีใจนะคะ ที่ได้คุยด้วยกันอีก”
“เราก็แลก LINE กันแล้วนี่ คุยผ่านทางนั้นก็ได้นะ ไม่จําเป็นต้องเรียกชื่อฉันในห้องบรรยายก็ได้”
พอถูกบอกว่า ‘ดีใจที่ได้คุยกันอีก’ ด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ก็ทําผมเขินแล้วก่อนตอบออกไปตามมารยาททางสังคม
“เอ๊ะ ได้หรอคะ” ฟุยุสึกิถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อื้ม”
ฟุยุสึกิยิ้มแย้มก่อนบอกว่า เข้าใจแล้วค่ะ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเธอเป็นคนแปลกจริงๆ
สัญญาณไฟคนเดินเปลี่ยนเป็นสีเขียว พร้อมกันนั้นเองก็มีเสียงนกร้องดังมาจากฝั่งไฟสัญญาณจราจร
หลังจากฟุยุสึกิได้ยินเสียงก็ได้พูดขึ้นว่า “ถ้างั้นเราข้ามกันเถอะค่ะ”
ไม่รู้ทำไม เเต่รู้สึกว่าเสียงของเธอเหมือนกับเสียงนกที่ดังจากไฟสัญญาณจราจร